โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ส่องการพักผ่อนแบบชนชั้นสูงสยาม อิทธิพลจากฝรั่ง ดูยุคเริ่มยอมถ่ายรูป สู่ฮิตพักตากอากาศ

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 16 เม.ย. 2565 เวลา 17.06 น. • เผยแพร่ 16 เม.ย. 2565 เวลา 17.02 น.

ชนชั้นสูงสยามกับการพักผ่อนหย่อนใจของฝรั่ง [1]

เมื่อเอ่ยถึง“การพักผ่อนหย่อนใจ“หลายท่านคงจะนึกถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา การสังสรรค์ การร้องเพลง–เต้นรำ การเดินช็อปปิ้ง การชมภาพยนตร์ และการท่องเที่ยว กิจกรรมเหล่านี้มีการแบ่งส่วนอย่างชัดเจนออกจากการงาน การพักผ่อนดังกล่าวทำหน้าที่สร้างความสำราญในเวลาว่างที่แสนจะจืดชืดของเรา หรือเป็นกำไรชีวิตหลังจากที่เราต้องฝ่าฟันภาระการงานที่แสนหนักหน่วง การพักผ่อนหย่อนใจที่ว่านี้เราต่างคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน เราคงรู้ คงเห็น แล้วคงทำตามๆ กันมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่จนแทบจะหาที่มาไม่ได้ หากจะตั้งข้อสังเกตสักนิด เราอาจจะพบความน่าแปลกใจบางอย่างที่อาจไม่ทันฉุกคิด เป็นต้นว่า การพักผ่อนส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ของไทยแท้ แต่กลับเป็นสินค้านำเข้ามาจากฝรั่งเช่นเดียวกับสิ่งของอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อลองหันมองไปรอบๆ ตัวเราจะพบว่า การพักผ่อนที่นิยมในทุกวันนี้แทบจะไม่มีอะไรเป็นของไทยแท้ ฟุตบอลมาจากแดนผู้ดี เพลงที่เราร้องเราฟังกันจนติดหูก็เป็นร็อค แจ๊ส แร็พ ริทึ่มแอนด์บลู ของฝรั่งและคนผิวสี บางครั้งจะซื้อของก็ต้องไปคาร์ฟูหรือโลตัสห้างสัญชาติฝรั่ง เพราะตลาดสด ตลาดน้ำ และตลาดนัด คงจะไม่มีของให้เราซื้อได้ทุกอย่าง เวลาเราจะชมความบันเทิงคงไม่มีใครนั่งไปดูโขนดูละครไทย แต่พวกเรากลับไปดูหนังโรงที่มีเครื่องฉายทันสมัยที่ฝรั่งคิดขึ้น และหากเลือกที่จะเชื่อการสังสรรค์หลังเลิกงานหรือในวันหยุดเสาร์–อาทิตย์ก็ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเช่นกัน

แต่กระนั้นการพักผ่อนของไทยก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เราอาจจะไม่นิยมชมชอบเท่ากับของใหม่ที่ทันสมัยกว่า เราคงต้องยอมรับว่า หนังแผ่นคงจะน่าดูกว่าลิเก เล่นวิดีโอเกมคงน่าสนุกกว่าเล่นหมากเก็บหรือมอญซ่อนผ้า เที่ยวอาร์ซีเอคงสนุกกว่าเที่ยวงานวัด กิจกรรมแบบไทยๆ จึงเหมือนกับของเก่าอันทรงคุณค่าควรอนุรักษ์ในพิพิธภัณฑ์ มากกว่าของที่มีชีวิตยังเล่นยังใช้ในสังคม

ความแตกต่างอันชัดเจนของการพักผ่อนหย่อนใจทั้งไทยและเทศแสดงให้เห็นว่า การพักผ่อนทั้งสองเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกัน การจะสืบค้นหาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกี่ยวกับการพักผ่อนในสยามจึงเป็นสิ่งท้าทายอย่างยิ่ง แต่ปัญหาในการศึกษากลับอยู่ที่ว่าเราจะสืบยังไงและจะสืบหาเรื่องไหนประเด็นไหนก่อน

บทความนี้ขอถือวิสาสะเริ่มศึกษาเรื่องราวจากสิ่งที่ผู้ค้นคว้าคุ้นเคยก่อนนั่นคือ การพักผ่อนหย่อนใจแบบฝรั่งกับพวกผู้ดีสยาม ซึ่งทั้งสองสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกันมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอันน่าทึ่งในช่วงสมัยหนึ่งของสยาม หากเราอยากจะเห็นที่มาที่ไปของปรากฏการณ์ดังกล่าว เราคงต้องหลับตาแล้วถอยหลังย้อนเวลากลับไปราวร้อยกว่าปีในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นต้นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายสิ่งหลายอย่างของสยามประเทศในเวลาต่อมา

เค้าลางในสมัยรัชกาลที่ 4

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เราพอจะเริ่มเห็นเค้าลางของการพักผ่อนแบบใหม่ที่ฝรั่งนำเข้ามาสู่สยาม การเสด็จประพาสและเดินทางไปเปลี่ยนอากาศที่เขาสามมุข [2](พ.ศ. 2402) อ่างศิลา และเกาะสีชัง ชลบุรี ของรัชกาลที่ 4 และขุนนางชั้นสูง [3] ถือเป็นจุดเริ่มแรกเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในบ้านเมืองสยาม จะว่าไปเพียงแค่การไปเที่ยวชายทะเลอาจจะไม่สลักสำคัญอะไรในปัจจุบัน เพราะใครๆ ก็ไปเที่ยวทะเลกันได้ แค่มีเงินจ่ายค่ารถ–ค่าน้ำมันก็ไปได้แล้ว และหากถามว่าเราไปทะเลทำไม เราก็คงไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจากตอบไปว่า“ไปเพื่อพักผ่อนและหาความเพลิดเพลิน”

แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 การไปทะเลกลับมีความพิเศษกว่ามากอย่างคาดไม่ถึง คงจะไม่ผิดซะทีเดียวหากจะบอกว่า นี่คือการแสดงตนยอมรับแนวคิดฝรั่งในเรื่องการพักผ่อนอย่างเป็นทางการ เป็นแนวคิดที่เชื่อว่า การพักตากอากาศชายทะเลมีส่วนในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แนวคิดนี้เป็นสิ่งที่เฟื่องฟูอยู่แล้วที่ยุโรปในขณะนั้น เมื่อฝรั่งเดินทางเข้ามาสยาม ก็นำแนวคิดและค่านิยมการดำรงชีวิตเข้ามาด้วย แนวคิดเหล่านี้ถูกถ่ายทอดไปสู่ชนชั้นสูงโดยตรงพร้อมทั้งรูปแบบและแนวคิดที่มีต่อเรื่องการพักผ่อนที่สะท้อนออกมาในเรื่องการพักตากอากาศชายทะเล การพักผ่อนหย่อนใจแบบฝรั่งในสยามระยะแรกๆ จึงมีวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งเพื่อการรักษาสุขภาพ และได้จุดประกายให้พวกชนชั้นสูงเริ่มจากการแล่นเรือออกไปตากอากาศยังหัวเมืองชายทะเลเป็นครั้งแรก

ในเวลาไล่เลี่ยกันชนชั้นสูงสยามก็เปิดรับสิ่งที่ดูแปลกตายิ่งๆ ขึ้นไป พวกชนชั้นสูงหันไปคลั่งไคล้สิ่งประดิษฐ์ของเล่นแปลกๆ จากฝรั่ง ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ“กล้องถ่ายรูป” ไม่น่าเชื่อว่าการถ่ายรูปที่เป็นงานอดิเรกที่แสนจะธรรมดาในปัจจุบันเดิมจะเคยเป็นเรื่องสยองขวัญ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า“…เมื่อแรกมีช่างถ่ายรูปนั้นไม่ค่อยมีใครยอมถ่ายรูปกัน เพราะเกรงว่าจะเอาไปทำร้ายด้วยเวทมนต์ ขนาดสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เป็นขุนนางชั้นสูงก็ยังไม่ยอมถ่ายรูป” [4]

แต่การต่อต้านดังกล่าวกลับคลี่คลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเปิดพระทัยรับความแปลกใหม่ของการถ่ายภาพ ใน พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงส่งพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์เอง ฉายคู่กับสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี ไปให้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน เพียร์ซ แห่งสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยพระราชสาส์นลงวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2399 [5] เมื่อใจเปิดกว้างจากเรื่องสยองขวัญก็กลับกลายเป็นความคลั่งไคล้

สมัยรัชกาลที่ 5

ในสมัยต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกเป็นอย่างยิ่ง ในคราวเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2449 พระองค์ทรงหยุดถ่ายรูปทิวทัศน์ วัดวาอาราม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกว่า 40 ครั้ง [6] บรรดาชนชั้นสูงสมัยนั้นก็พลอยนิยมการถ่ายรูปไปด้วย หนังสือพิมพ์The Bangkok Times Weekly Mail ซึ่งกล่าวถึง “กลุ่มช่างถ่ายรูปสมัครเล่น” ที่ช่วยกันบันทึกภาพตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเข้ากลับสู่สยามตั้งแต่เมืองจันตบูนปากน้ำ จนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ ว่า ประกอบด้วย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ กรมหมื่นอดิศร กรมหมื่นจันทบุรี พระยามนตรี หม่อมอนุวงส์ พระนรินทร์ พระยาศรีสหเทพ พระยาอมรินทร์ พระยาราชสงคราม หลวงจาตุรงค์ หลวงบุรี หลวงสุวพิทย์ หลวงจิตจำนง หลวงนาวา หลวงจันทรมาส จหมื่นจงวา ส่วนที่เหลือนั้นล้วนแต่เป็นชาวตะวันตกทั้งสิ้น [7]

นอกจากการเล่นถ่ายรูปแล้วบรรดาชนชั้นสูงยังตื่นตาตื่นใจกับการพักผ่อนและเล่นสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่หลากหลายชนิด ภาพคลาสสิคภาพหนึ่งที่มักกล่าวถึงบ่อยครั้งก็คือ การเล่นโครเกต์” (การตีลูกลอดห่วง) ของรัชกาลที่ 5 กับข้าราชสำนักเมื่อ พ.ศ. 2418 [8] นอกจากนี้ยังมีการขับรถยนต์ โดยเจ้าของคนแรกก็คือ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี(เจิม แสงชูโต) [9]

การขับเรือยนต์เล่นของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ [10] และการเล่นกล้วยไม้ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต [11] สังเกตได้ว่าการพักผ่อนหย่อนใจแบบใหม่ของฝรั่งที่เข้ามาจะมาอยู่กับพวกชนชั้นสูงเสมอ ทั้งนี้เพราะกิจกรรมเหล่านี้เสียค่าใช้จ่ายสูง คงไม่มีพวกไพร่หรือสามัญชนคนใดจะมีปัญญาซื้อกล้องล่องเรือไปเที่ยวไกลๆ ได้ การพักผ่อนแบบตะวันตกในสยามจึงเป็นการพักผ่อนเฉพาะของชนชั้นสูงและพวกผู้ดีมีสตางค์โดยเฉพาะ

กำหนดเวลาทำงานแบบสากล

นอกจากตัวกิจกรรมแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวก็มีการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพักผ่อนแบบใหม่ คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่สั่นสะเทือนสังคมได้เท่ากับเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏในกรอบเล็กๆ ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 เชื่อหรือไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้สั่นสะเทือนคนทุกคนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ แต่เรากลับก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้คือการลงประกาศสั้นๆ ของกระทรวงการคลังใจความว่าตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม(พ.ศ. 2441) เป็นต้นไป กระทรวงการคลังเปิดทำการในวันจันทร์–เสาร์ เวลา 10.00 นาฬิกา ถึง 14.00 นาฬิกา วันเสาร์เวลา 10.00 นาฬิกา ถึง 14.00 นาฬิกา วันอาทิตย์หยุดทำการ ผู้ประกาศคือ หม่อมเจ้าปิยะภักดี” [12]

ถึงตอนนี้อาจจะสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแค่เรื่องประกาศเวลาทำงานจะสั่นสะเทือนสังคมสยามอย่างไร ความน่าทึ่งของปรากฏการณ์นี้อยู่ที่ว่า นี่คือการกำหนดเวลาทำงานแบบสากลเป็นทางการครั้งแรกเท่าที่เคยมีมาในสยาม [13] เป็นการอิงกับระบบเวลาการทำงานของฝรั่ง คือ ทำงานเช้า เลิกงานเย็น ทำงานทุกวัน หยุดทำงานในวันอาทิตย์ การกำหนดวันและเวลาทำงานดังกล่าวส่งผลอันใหญ่หลวงต่อมา ทำให้คนสยามมีมาตรฐานในการจัดเวลาพักที่แน่นอน รู้ว่าทำงานวันไหนหยุดวันไหน เราจะเลิกงานกี่โมง พอเลิกงานเราจะทำอะไรต่อไป

การรู้เวลาพักที่แน่นอนทำให้เราสามารถกำหนดการพักผ่อนที่แน่นอนล่วงหน้าได้ สามารถนัดเพื่อนๆ ได้ ลักษณะดังกล่าวจึงเอื้อต่อความเจริญของการพักผ่อนแบบใหม่ที่เข้ามา ซึ่งอิงกับระบบการจัดเวลาทำงานและพักผ่อนอันเป็นสากล ปรากฏการณ์นี้ยังทำให้เกิดความผิดฝาผิดตัวอันสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้คนสยามอย่างเราท่านต้องหยุดทำงานในวันอาทิตย์ ทั้งๆ ที่การหยุดงานในวันอาทิตย์ไม่เกี่ยวอะไรกับคนสยามเลย เพราะการหยุดทำงานวันอาทิตย์เป็นการหยุดทำงานตามวันสำคัญทางศาสนาของชาวคริสต์ ทั้งๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ดังนั้นมีวันหยุดในลักษณะดังกล่าวแสดงถึงการปรับตัวให้เข้ากับการพักผ่อนแบบใหม่ของฝรั่ง เมื่อการพักผ่อนรูปแบบใหม่ๆ เข้ามาในภายหลัง เราจึงหาความสำราญได้โดยไม่แปลกแยก

เมื่อมีการจัดเวลาพักผ่อนที่เอื้ออำนวย การพักผ่อนหย่อนใจแบบฝรั่งในสยามก็พัฒนามีรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ความแปลกใหม่สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดคือ การเกิดสถานที่ให้บริการพักผ่อนอย่างเป็นทางการ สถานที่ดังกล่าวอาจจะไม่สะดุดตาเมื่อมองจากมุมปรกติทั่วไป หากจะลองสังเกตสักนิดพื้นที่โล่งกว้างเขียวชอุ่มด้วยผืนหญ้าล้อมรอบไปด้วยลู่วิ่งอันใหญ่โตบริเวณถนนอังรีดูนังด์เรื่อยไปจนถึงถนนราชดำริ เวลาเรานั่งรถไฟฟ้าจะสังเกตเห็นสถานที่แห่งนี้ได้ชัดเจน

บางคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าสถานที่นี้คืออะไร เหมือนเป็นที่ที่มีกำแพงใหญ่โตสงวนไว้สำหรับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่หลายคนก็คงตอบได้ว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ“รอแยลสปอร์ตคลับ”(ในรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็น สโมสรราชกรีฑา และปัจจุบันเรียกว่า ราชกรีฑาสโมสร) เป็นสถานที่ที่ให้บริการกิจกรรมต่างๆ แก่สมาชิกซึ่งเป็นชาวตะวันตก มีกิจกรรมต่างๆ ไว้บริการ เช่น การแข่งม้า โปโล เทนนิส คริคเก็ต และกีฬาชนิดอื่นๆ [14] การก่อตั้งราชกรีฑาสโมสรเกิดขึ้นเพราะว่า ชาวต่างชาติต้องการให้สยามมีสโมสรที่ให้สมาชิกได้โดยเฉพาะชาวต่างชาติได้พักผ่อน เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ที่มีสโมสรอยู่ก่อนแล้ว เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และย่างกุ้ง [15]

แน่นอนว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่เดินเล่นของฝรั่งและพวกผู้ดีเท่านั้น การก่อตั้งสโมสรแห่งนี้คือจุดเริ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญของประเทศสยาม เมื่อมีการสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนโดยเฉพาะ สถานที่ลักษณะนี้ไม่เคยมีมาก่อนเพราะคนสยามไม่เคยเสียเงินเพื่อใช้บริการพื้นที่ในลักษณะ“Club House” เช่นนี้ สโมสรแห่งนี้เปิดบริการให้ชาวต่างชาติรวมทั้งผู้ดีสยามที่มีฐานะเข้ามาใช้บริการ โดยมีทั้งกีฬาและสถานที่เพื่อพบปะสังสรรค์ไว้ให้บริการ ในเวลาต่อมา “รอแยลสปอร์ตคลับ” ก็เป็นสนามม้าขึ้นชื่อของสยาม จนมีชื่อเรียกอย่างคุ้นหาจวบจนปัจจุบันว่าสนามฝรั่ง”

ในเวลาต่อมา การพักผ่อนหย่อนใจอีกหลากหลายประเภทก็หลั่งไหลเข้าสู่สยาม แต่การพักผ่อนหย่อนใจใหม่ๆ ที่เข้ามาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 กลับมีลักษณะต่างไปจากเดิม ถึงสมัยนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการเล่นของแปลกๆ ใหม่ๆ เท่านั้น แต่การพักผ่อนที่ว่านี้ได้รวมถึงการดำเนินงานและการให้บริการอย่างเป็นระบบมีทั้งสถานที่รองรับสมาชิกและองค์กรสนับสนุนกิจกรรมให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราอาจจะเห็นมาบ้างแล้วในกรณีรอแยลสปอร์ตคลับ”

สมัยรัชกาลที่ 6

เค้าลางการเปลี่ยนแปลงของการพักผ่อนแบบฝรั่งในสยามเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อรัชกาลที่ 6(ครั้นยังดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร) เสด็จนิวัติพระนครหลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2445 การเสด็จฯ กลับมาของพระองค์พร้อมทั้งคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีโอกาสใช้ชีวิตที่เมืองนอกนับ 10 ปี มีส่วนในการนำการพักผ่อนแบบใหม่ๆ เข้ามา และกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ใช้บริการและสนับสนุนการพักผ่อนแบบใหม่ที่ตนคุ้นเคยจากเมืองนอก ให้เป็นที่แพร่หลายและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา

มหกรรมแห่งการพักผ่อนหย่อนใจในสมัยนี้เริ่มตั้งแต่ การเข้ามาของละครพูดแบบตะวันตก” ละครในลักษณะนี้ไม่ใช่ละครร้องแบบเดียวกับละครปรีดาลัยอันโด่งดัง แต่เป็นละครแบบฝรั่งที่มีการพูดโต้ตอบล้วนๆ เป็นละครประเภทเดียวกับละครเวทีอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ละครดังกล่าวเข้าสู่สยามโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตามพระราชนิยมส่วนพระองค์ แล้วจัดแสดงโดยมีพระองค์และข้าราชบริพารใกล้ชิดเป็นผู้เล่น การจัดแสดงมักจะเก็บค่าเข้าชมที่แพง เพื่อหารายได้เข้าการกุศล ในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินประพาสปักษ์ใต้ ร.ศ. 128(พ.ศ. 2452) ของรัชกาลที่ 6 มีการบันทึกถึงรายได้จากการเก็บค่าเข้าชมละครไว้ว่า

“…วันที่ 28 พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก 128 ละครสราญรมย์ที่เล่นเมื่อคืนนี้ นับว่าเป็นอันเรียบร้อยดี เป็นที่พอใจของคนที่มาดูมาก…ที่ซึ่งจัดไว้เป็นที่นั่งคนดูนั้นไม่ว่างเลย บ๊อกซ์มี 12 บ๊อกซ์ มีเก้าอี้บ๊อกซ์ละ 6 เก้าอี้ ขายบ๊อกซ์ละ 30 บาทเต็มหมด นอกนั้นก็มีเก้าอี้ปลีกและขั้นบันไดให้นั่ง ขายตั๋วราคาถูกๆ ตั้งแต่ 3 บาท ถึง 1 บาท ได้เงินรวมเบ็ดเสร็จประมาณ 800 บาท ยังค่าโปรแกรมและบทร้องอีกสัก 40 บาท ได้ เพราะฉะนั้นนับว่าอยู่ในฐานรวย เงินนี้ทูลกระหม่อมทรงพระราชทานอุทิศถวายเป็นค่าปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุ” [16]

ความแปลกของละครประเภทนี้อยู่ที่ว่า เป็นละครที่ดำเนินเรื่องโดยเป็นบทพูดล้วนๆ ซึ่งต่างจากละครไทยที่มักมีบทร้อง ส่วนเนื้อเรื่องก็ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ หรือทรงดัดแปลงจากบทประพันธ์ของชาวตะวันตก ไม่เพียงแต่บทพูดเท่านั้น ละครประเภทนี้ยังสร้างความตื่นตระหนกแก่คนดูจากการแสดง“แม่พลอย” ในเรื่องสี่แผ่นดินคงจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในคืนหนึ่งที่ไปชมละครกับ“คุณเปรม” เมื่อแม่พลอยถึงกับตกใจเมื่อเห็นนักแสดงชายร่วมแสดงอย่างใกล้ชิดกับนักแสดงหญิง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในละครแบบไทยๆ และแม่พลอยก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นนักแสดงนำในเรื่อง คือ ในหลวงรัชกาลที่ 6 กับพระวรกัญญาฯ สวมกอดบอกรักกันในฉากสุดท้ายของละคร [17]

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทุกคนตกใจและสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า ความแตกต่างทางวัฒนธรรมการพักผ่อนในเรื่องการชมการแสดงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมสยามต้องปรับตัว มีรายงานบางชิ้นกล่าวว่า ละครพูดแบบตะวันตกไม่เป็นที่นิยมเท่าใดเพราะมีความแปลกที่คนสยามยังไม่คุ้นเคย ละครประเภทนี้จึงเหมือนเล่นกันเองดูกันเองในหมู่ราชสำนักรัชกาลที่ 6 และได้ทำหน้าที่เป็นละครเพื่อการกุศล เป็นที่เข้าสมาคมของพวกผู้ดีไปในที่สุด

สมาคมฟุตบอล-การเล่นกอล์ฟ

นอกจากละครพูดแล้ว ยังมีการก่อตั้งสมาคมกีฬาขึ้นอย่างเป็นทางการนั่นคือสมาคมฟุตบอล” แม้ว่าในความเป็นจริง ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ชาวตะวันตกได้นำมาเล่นกันเองในสยามตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้มีการสนับสนุนให้มีการก่อตั้งสมาคมหรือจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการระหว่างสโมสรแต่อย่างใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นอย่างเป็นทางการ ในนาม“คณะฟุตบอลแห่งสยาม” เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2459 เพื่อควบคุมการแข่งขันชิงถ้วยต่างๆ มีถ้วยใหญ่ ถ้วยน้อย และถ้วยนักรบ [18] และสนับสนุนให้มีการจัดการแข่งขันระหว่างสโมสรสมาชิกด้วยกัน ทำให้เกิดระบบการแข่งขันกีฬาระหว่างกลุ่มองค์กรอย่างเป็นทางการ มีสมาชิก มีผู้เล่น มีการแข่งขัน มีรางวัล และมีกองเชียร์จวบจนปัจจุบัน

กีฬาอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนคือมีการสนับสนุนการแข่งขันจัดตั้งสโมสรและสมาคม เช่น กอล์ฟ ชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้นำเข้ามาเล่นในสมัยรัชกาลที่ 5 กอล์ฟเป็นกีฬาของชาวยุโรป ต่อมามีคนไทยร่วมเล่นด้วยแต่เป็นการเล่นเพื่อเข้าสังคม ความนิยมจึงอยู่ในวงจำกัด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานพระบรมราชานุญาตเปิดสนามกอล์ฟแห่งแรกในประเทศขึ้นที่ทุ่งพระสุเมรุ(สนามหลวง) ต่อมามีการก่อตั้ง“The Bangkok Golf Club ขึ้นที่ The United Club” เมื่อวันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2438 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้รับเลือกเป็นประธาน จวบจนสมัยรัชกาลที่ 7 จึงมีการก่อตั้งสโมสรกอล์ฟแห่งแรกของคนไทยขึ้นชื่อว่า“สโมสรกอลฟดุสิต” ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2470 โดยมีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกสโมสร [19]

เช่นเดียวกับกอล์ฟ“เทนนิส” ก็เป็นกีฬาที่นิยมเล่นในสยาม สโมสรลอนเทนนิสแห่งแรกของสยาม ตั้งขึ้นที่พระราชอุทยานสราญรมย์ ในราว พ.ศ. 2454 ในสโมสรนี้มีสมาชิกราว 10 คน และมีสองสนาม ต่อมาจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น จึงย้ายไปเล่นที่สนามของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สโมสรนี้รุ่งเรืองอยู่หลายปี แต่ที่สุดก็ต้องล้มเลิกไปเพราะไม่มีสนามเป็นของตนเอง [20]

ต่อมามีความคิดกันในหมู่นักกีฬาเหล่านี้ว่าควรมีการจัดตั้งสโมสรเป็นการถาวรเสียเลย ซึ่งเป็นความจริงขึ้นมาในปี พ.ศ. 2460 ซึ่งร่วมใจกันตั้งชื่อว่า“สโมสรสีลม”เพราะอยู่ในย่านถนนสีลม มีเครื่องหมายของสโมสรเป็นรูปโรงสีลม [21] จนปลาย พ.ศ. 2463 พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ มิสเตอร์อาร์.ดี. เคร็ก และพระยาสุพรรณสมบัติ ได้จัดตั้งลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2470 โดยความร่วมมือจากสโมสรเทนนิสต่างๆ รวม 12 สโมสร [22]

ที่พักตากอากาศ

นอกจากนี้การพักผ่อนหย่อนใจยังขยายตัวออกไปด้วยเส้นทางคมนาคม ทางรถไฟสายใต้ที่สร้างสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 ถือเป็นจุดเริ่มของการเกิดสถานที่พักตากอากาศอันเลื่องชื่อนามว่าหัวหิน” ทางรถไฟสายใต้เปิดเดินทางจากสถานีบ้านชะอำ–หัวหิน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ก่อนหน้านั้นได้เปิดเดินรถไฟจากสถานีธนบุรี–เพชรบุรี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2446 และจากสถานีเพชรบุรี–บ้านชะอำ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2454 [23]

การขยายเส้นทางรถไฟถึงหัวหินทำให้ชนชั้นสูงไม่ต้องนั่งเรือออกอ่าวไทยไปเกาะสีชังให้ลำบากเช่นสมัยก่อน การโดยสารรถไฟมาหัวหินมีความสะดวกมากกว่า สามารถขนข้าทาสบริวารเดินทางมาด้วยกันทั้งขบวน ลักษณะภูมิประเทศอันงดงามของชายหาดบริเวณนี้ เป็นเหตุจูงใจให้พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง คหบดีจากกรุงเทพฯ เริ่มมาสร้างบ้านพักชายทะเล พระราชวังของพระมหากษัตริย์ประกอบด้วย พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และพระราชวังไกลกังวล ส่วนบรรดาเจ้านายและข้าราชการชั้นสูงก็มักสร้างบ้านพักในบริเวณนี้เช่นกัน ได้แก่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย กรมพระจันทบุรีนฤนาถ สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ จอมมารดาอ่อน เจ้าจอมอาบ เจ้าพระยามหิธร [24]

ทางรถไฟดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางที่ชนชั้นสูงเดินทางมาพักตากอากาศเท่านั้น หากแต่เป็นเส้นทางที่เชื่อมชายทะเลกับเมืองกรุงเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการขยายตัวของวัฒนธรรมการท่องเที่ยวขึ้น ในเริ่มแรกหัวหินอาจจะเป็นเสมือนสงวนเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงมาสร้างบ้านพักตากอากาศส่วนตัว ต่อมาเมื่อมีเส้นทางรถไฟมาถึงทำให้คนมาเที่ยวหัวหินมากขึ้น ทำให้มีการสร้างที่พักเพื่อรองรับผู้มีฐานะและชาวต่างชาติที่หลั่งไหลไปพักตากอากาศ ในการสร้างที่พักพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง สร้างโรงแรมก่อด้วยอิฐขึ้นที่หัวหินพร้อมสนามกอล์ฟและสนามเทนนิส ใน พ.ศ. 2465 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามว่า“โฮเต็ลหัวหิน”จนถึงปัจจุบัน (2551)

แทบไม่น่าเชื่อว่าแค่ช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4–รัชกาลที่ 7 การพักผ่อนหย่อนใจแบบฝรั่งที่เดินทางเข้ามาสู่สยามประเทศจะพำนักทักทายทำความรู้จักกับคนสยาม และลงหลักปักฐานจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ เมื่อชนชั้นสูงปฏิเสธความกลัวและยอมรับความแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยได้ การพักผ่อนหย่อนใจที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าในทีแรกมาบัดนี้กลับกลายเป็นสหายที่คุ้นเคยไปในที่สุด ความนิยมชมชอบเห็นได้จากการพักผ่อนในรูปแบบต่างๆ ที่เจริญขึ้นตามลำดับ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาชนชั้นสูง ความแปลกใหม่ความน่าทึ่งเป็นสิ่งเย้ายวนให้พวกผู้ดีไขว่คว้าหาโอกาสที่จะพักผ่อนในแบบที่ฝรั่งที่เจริญแล้วทำ

กิจกรรมเหล่านี้ยังมีสถานภาพเป็นของสูงสงวนเฉพาะชนชั้นสูง เพราะผู้มีเงินทองเท่านั้นจึงสามารถจับจ่ายอุปกรณ์หรือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมได้ การพักผ่อนหย่อนใจของตะวันตกจึงเจริญเคียงคู่กับชนชั้นสูงสยามตั้งแต่แรก แต่กระนั้นก็ดีความสำคัญของการพักผ่อนหย่อนใจแบบฝรั่งที่แพร่เข้ามาไม่ได้มีเพียงเรื่องการปรับตัวเพื่อยอมรับของคนสยามหรือพัฒนาการของกิจกรรมเหล่านี้ในสยามเท่านั้น บางครั้งความสนุกสนานอาจจะมีความสำคัญน้อยกว่าความโก้หรูหรือเจตนารมณ์บางอย่างที่ชนชั้นสูงใช้กิจกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางสังคมบางประการ ในทางเดียวกันช่วงสมัยดังกล่าวคนสยามก็ไม่ได้สนใจแค่เพียงการพักผ่อนของฝรั่งเท่านั้น เรายังมีรากเหง้าการพักผ่อนในแบบดั้งเดิมของเราอยู่ แต่เพราะเหตุใดในภายหลังการพักผ่อนแบบใหม่ของฝรั่งกลับได้รับความนิยมมากกว่า และการพักผ่อนของคนสยามเป็นเช่นไรต่อไป

เรื่องเหล่านื้ถือเป็นประเด็นน่าสนใจที่รอคอยโอกาสอันดีในการศึกษาและไขความกระจ่าง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของคนสยาม รวมทั้งบริบทต่างๆ ของสังคมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยจนทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

เชิงอรรถ :

[1] ดัดแปลงจาก วีรยุทธ ศรีสุวรรณกิจ.การพักผ่อนหย่อนใจแบบตะวันตกของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2445–2475.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550

[2] เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. พิมพ์ครั้งที่ 6. (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2548), น. 148.

[3] เรื่องเดียวกัน, น. 296.

[4] “สำเนาลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึง สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2477,” ใน สาส์นสมเด็จ(ภาค 4). (พระนคร: ศิลปากร, 2493), น. 190.

[5] ศักดา ศิริพันธุ์. กษัตริย์และกล้อง: วิวัฒนาการการถ่ายภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2388–2535. (กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์, 2535), น. 24.

[6] เรื่องเดียวกัน, น. 109.

[7] เรื่องเดียวกัน, น. 117.

[8] สมบัติ พลายน้อย. เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย. พิมพ์ครั้งที่ 4. (กรุงเทพฯ: รวมสาส์น 1977, 2534), น. 288.

[9] “สำเนาลายพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ถึง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2481,” ใน สาส์นสมเด็จ(ภาค 23). (พระนคร: ศิลปากร, 2493), น. 190.

[10]เรื่องของเจ้าพระยามหิธร. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยามหิธร(ลออ ไกรฤกษ์) ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499, น. 124–125.

[11] สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. ตำราเล่นกล้วยไม้. (พระนคร: โรงพิมพ์จันหว่า, 2502), น. ก.

[12] “Notice,” in Bangkok Times. (14 Feb 1899), p. 4.

[13] ในความเป็นจริงการประกาศเวลาทำงานแบบสากลอาจจะมีฉบับอื่นในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แต่ประกาศฉบับนี้คือการลงประกาศอย่างเป็นทางการเท่าที่พบได้ในปัจจุบัน อีกทั้งการลงประกาศนี้ย่อมมีผลเฉพาะกระทรวงการคลัง หน่วยงานราชการหรือห้างร้านเอกชนอาจจะยังไม่อิงตามเวลาทำงานนี้ก็เป็นได้ แต่ในเวลาต่อมาหน่วยงานต่างๆ ย่อมเปลี่ยนมาใช้เวลาทำงานมาตรฐานนี้ และกลายเป็นที่ยอมรับเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

[14]Celebrating 100 years : The Royal Sport Club. (Bangkok : Mark Standen Pub., 2000), p. 29.

[15] Ibid., p. 28.

[16] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ 42 ร.ศ. 128 ของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช. (พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2502), น. 205.

[17] ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช. สี่แผ่นดิน. พิมพ์ครั้งที่ 12. (กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, 2544), น. 492.

[18] ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์. “พัฒนาการของพลศึกษาในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2325-2525,” รายงานผลการวิจัย, ภาควิชาพลศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525, น. 84.

[19] สจช. สบ.2.55/4“งบประมาณสำหรับสนามกอลฟดุสิต”

[20] “ประวัติเทนนิสฉบับ นายนัติ นิยมวานิช อดีตเลขานุการกิตติมศักดิ์,” แหล่งที่มาwww.ltat.org (เว็บไซต์ของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ)

[21] ประทุมพร. สารคดีชุด ฉันรักกรุงเทพฯ ตอน พระอาทิตย์ขึ้นที่ถนนสีลม. น. 133–134.

[22] “ประวัติเทนนิสฉบับ นายนัติ นิยมวานิช อดีตเลขานุการกิตติมศักดิ์,” แหล่งที่มาwww.ltat.org (เว็บไซต์ของลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ)

[23] สงวน อั้นคง. สิ่งแรกในเมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. (พระนคร: แพร่พิทยา, 2514), น. 401.

[24] บัณฑิต จุลาสัย. โฮเต็ลหัวหินแห่งสยามประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 2. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541), น. 14.

บรรณานุกรม :

คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. สี่แผ่นดิน. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, 2544.

ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา และ นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยา. สาส์นสมเด็จ(ภาค 4) / ลายพระหัตถ์สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: ศิลปากร, 2493.

__. สาส์นสมเด็จ(ภาค 23) / ลายพระหัตถ์สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: ศิลปากร, 2493.

ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์. พัฒนาการของพลศึกษาในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2325–2525. รายงานผลการวิจัย. ภาควิชาพลศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525.

ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2548.

นครสวรรค์วรพินิต, สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระ. ตำราเล่นกล้วยไม้. พระนคร: โรงพิมพ์จันหว่า, 2502.

บัณฑิต จุลาสัย. โฮเต็ลหัวหินแห่งสยามประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541.

ประทุมพร. สารคดีชุด ฉันรักกรุงเทพฯ ตอน พระอาทิตย์ขึ้นที่ถนนสีลม. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์, 2547.

มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ 42 ร.ศ. 128 ของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2502.

เรื่องของเจ้าพระยามหิธร. พระนคร: โรงพิมพ์ตีรณสาร, 2499. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยามหิธร(ลออ ไกรฤกษ์) ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499).

ศักดา ศิริพันธุ์. กษัตริย์และกล้อง: วิวัฒนาการการถ่ายภาพในประเทศไทย พ.ศ. 2388–2535. กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์, 2535.

สงวน อั้นคง. สิ่งแรกในเมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. พระนคร: แพร่พิทยา, 2514.

สจช. สบ. 2.55/4“งบประมาณสำหรับสนามกอลฟดุสิต”

สมบัติ พลายน้อย. เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น 1977, 2539.

Celebrating 100 years : The Royal Sport Club. Bangkok : Mark Standen Pub., 2000.

“Notice,” in Bangkok Times. 14 Feb. 1899. htpp://www.ltat.org (20 มิถุนายน 2549).

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 เมษายน 2562

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...