โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

อ๋องสารเลวผู้นี้ข้าหย่าแล้ว

นิยาย Dek-D

อัพเดต 24 พ.ค. 2567 เวลา 17.41 น. • เผยแพร่ 24 พ.ค. 2567 เวลา 17.41 น. • ไป๋เหลียน
เป็นเพราะค่ำคืนนั้น ทำให้อ๋องมู่เฉินผู้แสนดีเปลี่ยนไปราวกับคนละคน..ในค่ำคืนมงคลก็ถูกเรียกตัวไปประจำชายแดนโดยด่วน ผ่านมาสามปี เขายังพา ว่าที่พระชายาเอกกลับมาตอกย้ำให้นางรู้ว่าตัวเองต้อยต่ำไร้ค่าเพียงใด

ข้อมูลเบื้องต้น

สตรีต่ำต้อยเช่นเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้ต่อรองกับข้า"

“หม่อมฉันเกิดมาไร้ชาติตระกูล ชีวิตนี้ต่ำต้อยไร้ค่านัก เกรงว่าจะทำให้มือที่สูงศักดิ์ของพระองค์ต้องแปดเปื้อน…"

"ถ้าหากว่าหลันเอ๋อร์ร้องขอสิ่งหนึ่งได้ ท่านอ๋องจะกระทำตามสิ่งที่หลันเอ๋อร์ร้องขอหรือไม่"

นางจะใช้สิทธิ์นั้นเพื่อร้องขอชีวิตของทารกในครรภ์ของนาง ถึงแม้เขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้เกิดมาก็ตาม เพียงแค่เขาพูดออกมาว่าจะไว้ชีวิตลูกของพวกเขาให้กำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างปลอดภัย แม้ว่านางจะต้องถูกเขาย่ำยีเพียงใด…นางก็ยินดี

"สตรีต่ำต้อยเช่นเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้ต่อรองกับข้า"

นั่นไม่ใช่คำตอบรับ…แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เช่นนั้นนางยังจะพอมีความหวัง

เมิ่งอีหลันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ รวบรวมความกล้าถามออกไป สบตาคู่คมที่ดุดันของเขาตรงๆ อย่างจริงจัง ไม่ได้หลบสายตาอย่างที่ผ่านมาอีก

"ถ้าหากว่าหลันเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ท่านจะทำเช่นไร"

"ข้าจะทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นเด็กที่โชคร้ายที่สุดที่มีมารดาเช่นเจ้า"

---------------------------------------------

พระเอกทรงแบด ดีกับคนทั้งโลก ร้ายกับเธอคนเดียว (เอ๊ย! ไม่ใช่)สำหรับสายสุขนิยมวางใจได้ค่ะ

ถึงอ๋องจะชั่วแต่ก็ไม่มีนอกกายนอกใจ รักเธอคนเดียว ><

ก่อนพี่จะกลายร่างเป็นโบ้ พี่ก็เคยเป็นคนชั่วมาก่อนนะ

ตราบาป

เสียงดนตรีบรรเลงเพลงไพเราะในคืนมงคล เสียงบุคคลภายนอกหัวร่อต่อซิกกันอย่างสนุกสนาน ผ้าแดงมงคลที่ตกแต่งไปทั่ววังบูรพาของชินอ๋องโบกพลิ้วตามกระแสลมแรง แม้กระทั่งแสงตะเกียงที่อยู่ภายในห้องหอก็ริบหรี่ลงเช่นกัน

ฝีเท้าหนักๆ ที่ใกล้เข้ามาทำให้ร่างที่อยู่บนเตียงขยำชายกระโปรงแดงของตัวเองเอาไว้แน่น ปลายนิ้วทั้งสิบสั่นคลอนไปด้วยความหวาดหวั่น สายตาของนางเห็นปลายรองเท้าของเขาที่อยู่ตรงหน้าแล้ว

โครม! เพล้ง!

นางเห็นถาดอาหารและเหล้ามงคลหล่นกระจายไปทั่วพื้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

เขาจะต้องโกรธนางมากๆ อย่างแน่นอน

“หลันเอ๋อร์มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพคะ”

“เลิกเสแสร้งต่อหน้าข้าเสียที เจ้ามันก็แค่สตรีที่น่ารังเกียจ”

น้ำเสียงเย็นชาเค้นออกมาทีละคำ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังมีโทสะที่เข้มข้นมากเพียงใด

เพียงพริบตาเดียวผ้าแดงที่ปิดหน้าของนางอยู่ก็ถูกเลิกขึ้นอย่างรุนแรง เสี้ยววินาทีนั้นนางมองเห็นแววตาของเขาที่แดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรงขามของเขามีแต่กลิ่นไอของความน่าหวาดกลัวอย่างชัดเจน

มือทั้งสองข้างประสานกันอยู่หน้าตัก แววตาของนางสั่นไหวยามที่สบกับดวงตาคู่คมดุจมังกรของเขา ความอ่อนโยนรักใคร่ที่เคยได้รับจากเขาเช่นในอดีตเหลือเพียงความว่างเปล่า

เมิ่งอีหลันไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่หลุบตาต่ำลงมองพื้นด้วยความหมองหม่น

“ท่านอ๋อง ท่านทำอะไร”

เสียงแว่ววานกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ เขาก็กระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางออกอย่างรุนแรง มงกุฏหงส์ถูกปลดออกก่อนที่เขาจะขว้างปาไปกระทบกับผนังห้องจนเกิดเสียงดัง ปัง!

ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งของเขากอบกุมอยู่ที่ลำคอระหง เพียแค่ออกแรงนิดเดียวก็ทำให้เกิดรอยจ้ำแดงขึ้นมา

“เมิ่งอีหลัน เป็นเจ้าที่ต้องการเช่นนี้มิใช่หรือ?”

ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะยังคงเย็นชาและราบเรียบ ริมฝีปากกลับกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ดุดันราวกับพญามัจจุราชที่เตรียมจะกระชากวิญญาณของนางให้หลุดลอยไป

แววตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่เหยเกของอีกฝ่ายเขม็ง ความโกรธที่ถูกนางหักหลังทำให้เขาไม่คิดออมแรง ถึงแม้พวกเขาจะรู้จักกันมาถึงห้าปี หากแต่นางกลับกระทำการที่น่าละอายอย่างหน้าตาใสซื่อ

“ท่านอ๋อง”

“…..” เขาไม่ได้ตอบรับคำของนาง หากแต่เพิ่มแรงบีบบริเวณลำคอจนใบหน้าของนางแดงไปหมดแล้ว

“ท่านอ๋อง หลันเอ๋อร์เจ็บ”

คำกล่าวของนางคล้ายอ้อนวอนอยู่ในที แน่นอนว่าอีกฝ่ายขบกรามแน่นพร้อมกับปล่อยมือออก ทว่าเพียงลมหายใจถัดมา ร่างสูงใหญ่กลับปลดเสื้อผ้าของตัวเองออก ขึ้นคร่อมหญิงสาวเอาไว้

ปฏิกิริยาที่สั่นเทิ้มของนางไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเห็นใจแต่อย่างใด

“เจ้าบอกทุกคนว่าคืนนั้นข้าล่วงเกินเจ้ามิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงได้ทำเหมือนมิเคยแปดเปื้อนเล่า”

เขาเค้นเสียงในลำคอขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน เมิ่งอีหลันอาศัยอยู่ในจวนอ๋องมาห้าปี ทุกคนภายในจวนโดยเฉพาะพระมารดาของเขาโปรดปรานนางเป็นพิเศษ

ถึงแม้ว่านางจะอาศัยอยู่ที่นี่ในสาวใช้ผู้หนึ่งก็ตาม หากแต่เขาก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูนางราวกับน้องสาวนับตั้งแต่วันที่รับนางเข้ามาอยู่ภายในจวน

ไม่คิดว่าวันหนึ่งนางจะมักใหญ่ใฝ่สูงต้องการเป็นชายาอ๋องจนถึงกับวางยาเขาและกุเรื่องขึ้นมาจนพระมารดาบังคับให้ตนต้องรับนางมาเป็นอนุภรรยาทั้งที่ยังไม่มีชายาเอกด้วยซ้ำ

เมิ่งอีหลันได้แต่หลับตาลงไม่กล้าสู้หน้าเขา

ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งทวีความกรุ่นโกรธขึ้นมา เขาโน้มตัวลงไปบดขยี้และขบกัดริมฝีปากอีกฝ่ายแรงๆ จนได้กลิ่นคาวเลือด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่หยุด

สตรีผู้นี้ต้องได้รับผลกรรมที่ตนได้กระทำเอาไว้!

ถึงแม้เขาจะรุนแรงกับนางถึงเพียงนั้น หากแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะยังคงบังคับตัวเองให้นอนอยู่เฉยๆ ได้เป็นอย่างดี

นั่นยิ่งทำให้มู่เฉินระบายโทสะลงกับร่างบอบบางโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะพร้อมหรือไม่

“จดจำความรู้สึกเอาไว้ แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าถูกข้าย่ำยี!”

ในที่สุดหญิงสาวก็ทนไม่ได้ เปล่งเสียงครวญครางออกมาอย่างน่าสงสาร มีแต่ความเจ็บปวดที่โถมเข้าใส่ราวกับคลื่นพายุรุนแรงสาดซัดจนร่างขาวนวลสั่นไหว เกิดรอยแดงช้ำไปทั่วทั้งตัว

แม้แต่ขาเตียงที่แข็งแรงก็ยังสั่นไหวไปตามแรงกระแทกที่เกิดขึ้น

นางไม่รู้ว่าความทุกข์ทรมานจะจบสิ้นลงเมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนที่เขาคำรามออกมาเสียงต่ำ ช่วงที่นางรู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นของตัวเองต่อไป หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่สติของนางพร่าเลือนจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว

เหลือเพียงประโยคสุดท้ายที่แว่วเข้ามาในหูอยู่ไกลๆ

“ท่านอ๋อง มีพระราชโองการด่วนให้ท่านอ๋องนำทัพไปที่ชายแดนทิศใต้พ่ะย่ะค่ะ”

นั่น…เป็นประโยคสุดท้ายที่นางได้ยินพร้อมกับร่างของมู่เฉินที่จากไปภายใต้ความมืด

-------------------------------------------------------

เปิดตัวอ๋องสารเลวรับเดือนใหม่ค่าา

ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ท่านอ๋องกลับมาแล้ว

สามปีผ่านไปแล้วที่ท่านอ๋องมู่เฉินจากบ้านเมืองไปสู่สนามรบที่ชายแดนทิศใต้ เพราะฉะนั้นวันนี้ภายในจวนอ๋องถึงได้เต็มไปด้วยความครื้นเครงกว่าทุกๆ วันที่ท่านอ๋องได้รับชัยชนะกลับมา

“หลันเอ๋อร์ เจ้าไปแต่งตัวรอเถิด ตอนนี้คงถวายรายงานอยู่ในวังหลวง ประเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาแล้ว”

พระสนมอี้หรืออี้เป่ย กล่าวกับเมิ่งอีหลันอย่างอ่อนโยน มองดูสาวน้อยวัยสิบเก้าภายใต้ชุดที่มอมแมมอยู่บ้าง ตั้งแต่รู้ว่ามู่เฉินกลับมา อีกฝ่ายก็ยุ่งอยู่กับการตกแต่งจวนและเมนูอาหารไม่หยุด

เมิ่งอีหลันก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างอ่อนน้อม

“เพคะ”

รับคำอย่างว่าง่ายในขณะที่อีกฝ่ายมองตามหลังไปแล้วลอบผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างสงสารเห็นใจ บุตรชายของนางถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปประจำการที่ชายแดนในวันแต่งงาน เป็นสตรีใดก็ล้วนทุกข๋ใจ

มู่เฉินเป็นองค์ชายสิบหกในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกับตัวนางซึ่งเป็นพระสนมปลายแถว

แน่นอนว่านางเองไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แต่อย่างใด พระองค์จำนางได้หรือไม่ก็ไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงว่าเมื่อองค์ชายสิบหกย่างเข้าสิบสี่ชันษา เขาเริ่มออกรบและสร้างผลงานมากมาย ในที่สุดก็ได้รับการอวยยศเป็นจวิ้นอ๋อง

ตอนนั้นเองกระมังที่ฮ่องเต้เพิ่งจะจำชื่อนางได้เพราะเป็นพระมารดาของมู่เฉิน

“พระสนม ท่านอ๋องออกจากวังหลวงมาแล้วเพคะ”

“หลันเอ๋อร์ยังไม่เสร็จอีกหรือ”

อี้เป่ยหันมองไปรอบๆ ถึงแม้ว่าบรรดาสาวใช้คนอื่นๆ จะมายืนเรียงรายกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว หากแต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างของเมิ่งอีหลัน

“หม่อมฉันเสร็จแล้วเพคะ”

ร่างบอบบางภายใต้ชุดสีเขียวอ่อนเดินเข้ามาหา ถึงริมฝีปากจะระบายเป็นรอยยิ้มออกาจางๆ หากแต่แววตาของนางกลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

“เข้ามายืนใกล้ๆ ข้า”

พระสนมอี้เอื้อมมือออกไปคว้าร่างบอบบางให้มายืนแนบชิด ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

ขบวนรถม้าของจวิ้นอ๋องก็เคลื่อนตัวเข้ามาภายในจวนอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนภายนอกต่างโห่ร้องยินดีต้อนรับการกลับมาของมู่เฉิน ในขณะเดียวกันยิ่งขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้มากเพียงใด แววตาของเมิ่งอีหลันก็สั่นไหวไปด้วยความประหม่า

แววตาที่เย็นชาราวกับหุบเขาน้ำแข็งยามที่เขาร่วมเสพสมอยู่บนร่างกายของนางยังตราตรึงมาจนถึงทุกวันนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาล้วนมีแต่ความโกรธเกลียด…

มือทั้งสองของเมิ่งอีหลันกำติดกันแน่น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดลงอยู่ตรงหน้า ประตูรถม้าถูกเปิดออก เพียงพริบตาเดียวร่างกายบึกบึนภายในชุดเกราะก็ลงมายืนอยู่ที่พื้นเบื้องล่างแล้ว

แววตาคมกริบราวกับพญามังกรคู่นั้นมองตรงไปอย่างดุดัน องดูสตรีสองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกันแล้วก็ขบกรามแน่น ไม่ได้มีความรู้สึกยินดีใดๆ อยู่บนใบหน้าเลย

นางเผลอสบสายตาคู่นั้นเพียงลมหายใจเดียวภายในสมองก็อื้ออึงไปหมด ถึงแม้จะผ่านไปถึงสามปีแล้วทว่าโทสะของเขายังคงแสดงให้เห็นออกมาอย่างครบถ้วนเลยทีเดียว

พระสนมอี้เห็นบุตรชายเต็มๆ ตาแล้วก็รีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปสวมกอดเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ฝ่ามือลูบไล้แผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆ ถึงแม้จะยังมีคราบสกปรกและกลิ่นเหงื่ออยู่บ้าง นางก็ไม่คิดรังเกียจ

“เฉินเฉินลูกแม่” ว่าแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนกลับมาอย่างปลอดภัยทุกประการ

ไม่นานมู่เฉินก็ผละออกพร้อมกับคุกเข่าลง

“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

“อย่ามากความเลย ไปเถิด…ไปชำระเนื้อตัวเสีย” ว่าแล้วก็เบือนสายตาไปทางเมิ่งอีหลันที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “เจ้าช่วยปรนนิบัติสักหน่อยเถิด”

“รอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ว่าแล้วก็ปลดมือออกจากการเกาะกุมของมารดา เดินกลับไปที่รถม้าท่ามกลางสายตาฉงนของทุกคน

สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าทำเอาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ ถึงแม้จะหันมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งพระสนมอี้

เมิ่งอีหลันเองก็ได้แต่มองดูมู่เฉินประคองร่างบอบบางของสตรีผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า ผิวที่ขาวละเอียดรับกับชุดสีขาวละมุนขับให้นางดูน่าทะนุถนอม

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของพระสนมอี้จางลงเล็กน้อย

“นางผู้นี้?”

“สวี่ซวงพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพสวี่ที่ประจำการอยู่ชายแดนทิศใต้”

พระสนมอี้ได้แต่เหลือบมองดูเมิ่งอีหลันอย่างเห็นใจ บุตรชายถูกเรียกตัวไปชายแดนในคืนวันมงคล

เมิ่งอีหลันเขียนจดหมายไปถึงเขาทุกสามสิบวัน ถึงแม้มู่เฉินจะไม่เคยตอบกลับมาหาสักฉบับเดียว ทว่าหญิงสาวก็ยังเพียรส่งไปอย่างสม่ำเสมอ

ห่างหายไปถึงสามปีกลับมาแล้วก็ไม่ทักทายสักคำ มิหนำซ้ำยังพาสตรีอื่นกลับมาด้วย

----------------------------------------------------------------------------

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านค่าา วันนี้แอบมาค่ำนิดนึง ^^

ขอฝากติดตามสำหรับลูกเขยคนเปรต เอ๊ย! คนโปรดคนใหม่ด้วยนะคะ

ว่าที่พระชายา

“ถวายพระพรเพคะพระสนม”

สวี่ซวงย่อตัวลงอย่างนอบน้อม เพราะเป็นถึงบุตรสาวขุนนางมียศตำแหน่งสูงศักดิ์ เช่นนั้นแล้วจึงได้รับการอบรมเรื่องกิริยามารยาทเป็นอย่างดี

พระสนมอี้ได้แต่ผงกศีรษะครั้งหนึ่ง

“เจ้ามาเที่ยวหรือ”

“หม่อมฉัน…” แววตาของนางเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาจางๆ แลดูน่าสงสารนัก

“ลูกนำตัวนางกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อแต่งตั้งนางเป็นพระชายาของลูกพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นเสียงของมู่เฉินนั่นเองที่กล่าวออกไปด้วยความหนักแน่น ไม่ได้มีความลังเลใจเลยแม้แต่นิดเดียว ชั่ววินาทีหนึ่งหางตาเขายังเหลือบมองไปยังร่างที่ก้มหน้าลงมองพื้นอยู่นิ่งๆ นั่นอีกด้วย

พระสนมอี้ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็พลันเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา นางรู้ว่าภายในใจของอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจเมิ่งอีหลัน หากแต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายในครั้งนั้น บุตรชายก็เปลี่ยนไป

นางรู้ว่ามู่เฉินไม่ยินดีนักที่ต้องรับเมิ่งอีหลันมาเป็นอนุภรรยา หากแต่ตนก็ไม่คิดว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้บุตรชายมีโทสะจนฝังรากลึกได้ถึงเพียงนี้

พระสนมอี้คว้าท่อนแขนกำยำเอาไว้แล้วขบเม้มริมฝีปาก

“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า”

“เสด็จแม่กลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องภายในจวน ลูกขอตัดสินใจ”

มู่เฉินกล่าวออกมาอย่างรู้ทัน เขารู้ว่ามารดาโปรดเมิ่งอีหลันมากและคงต้องการเก็บตำแหน่งนี้เอาไว้ให้นาง

เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดมารดาถึงได้หลงใหลนางมากถึงเพียงนี้!

ครั้งหนึ่งเขาเคยพลาดท่าเสียทีให้กับสตรีที่ตีหน้าซื่อแต่จิตใจต่ำช้าผู้หนึ่ง ยอมแต่งนางเป็นอนุภรรยาตามคำขอของมารดาแล้ว ต่อจากนี้เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้บงการชีวิตของเขาอีก

“กว่าที่ข้าจะทูลขอฝ่าบาทออกจากวังมาหาเจ้าได้ มิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้ากลับขับไล่ข้ากลับไปเช่นนี้น่ะหรือ”

พระสนมอี้กล่าวออกมาอย่างอ่อนใจ รู้แล้วว่าครั้งนี้บุตรชายคงไม่ฟังคำพูดของนางอีก ถึงแม้เขาจะยอมอ่อนข้อให้บางครั้ง แต่เรื่องใดที่ตั้งใจไว้แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ

คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าที่ตึงเครียดของมู่เฉินคลายลง รู้ตัวแล้วว่าตนเองกล่าวอะไรที่ไม่สมควรออกไปแล้ว

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”

“เจ้าไปชำระร่างกายให้เรียบร้อยเถิด ให้ข้าได้ร่วมโต๊ะกับเจ้าสักมื้อ ให้หลันเอ๋อร์…”

“ให้ซวงซวงปรนนิบัติลูกก็พอ”

คำพูดนั้นทำให้สวี่ซวงช้อนสายตาขึ้นมองคนพูดเล็กน้อยก่อนที่พวงแก้มทั้งสองจะเห่อร้อนและแดงก่ำขึ้นมาก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินนำไปโดยมีสวี่ซวงเดินตามไป

ถึงแม้จะผ่านหน้าของเมิ่งอีหลันไปเพียงหนึ่งช่วงแขนจนกลิ่นอายของเขาฟุ้งอยู่ในอากาศ แม้แต่หางตาเขาก็ไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ

ทุกวาจาและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทั้งหมดตรงหน้าทำให้เมิ่งอีหลันกลั้นหายใจอย่างลืมตัว แววตาที่ขาดชีวิตชีวาอยู่แล้วยิ่งหมองหม่นขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนางเลยด้วยซ้ำ…

“เจ้าอยากพักผ่อนหรือไม่”

พระสนมอี้ขยับเข้ามาหา วางมือลงบนไหล่ที่สั่นไหวของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างสงสารเห็นใจ

เรื่องที่สามีโอบกอดสตรีอื่นต่อหน้าต่อตาไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่สำหรับนาง เพราะฮ่องเต้เองก็ล้วนมีสาวงามอยู่มากมาย ถึงแม้จะเห็นจนชินตา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากว่าที่ความรู้สึกที่เจ็บปวดพวกนั้นจะมลายหายไปจนกลายเป็นความชาชินจนแทบไม่รู้สึกใดๆ ย่อมใช้เวลาที่ยาวนานอยู่เหมือนกัน

ถึงแม้เมิ่งอีหลันจะไม่เคยบอกว่ารักมู่เฉินมากขนาดไหน แต่เด็กคนนี้ก็มักจะทอดมองบุตรชายของนางด้วยแววตาเทิดทูนและชื่นชม นางมั่นใจว่ามิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมิ่งอีหลันจะไม่ทรยศหักหลังมู่เฉิน

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางยอมรับในตัวของอีกฝ่าย

เมิ่งอีหลันกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วโคลงศีรษะ

“หม่อมฉันมิเป็นอันใดเพคะ พระสนมเข้าไปข้างในก่อนเถิด ภายนอกร้อนอบอ้าว มิดีต่อพระหทัยนัก”

ได้ยินแบบนั้นแล้วพระสนมอี้ก็ได้แต่ผงกศีรษะเบาๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายประคองนางเข้าไปภายในเรือนใหญ่แต่โดยดี

ไม่นานนักมู่เฉินก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดผ้าต่วนสีเทาเข้มที่เรียบง่าย ผมที่มัดรวมเอาไว้ข้างบนถูกปล่อยสยายยาวลงมา การแต่งกายเช่นนี้ทำให้กลิ่นอายของความน่ากลัวลดลง

“ไปอยู่ที่นั่นเจ้าคงลำบากมาก”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

มู่เฉินกล่าวออกมาเมื่อมารดาตักอาหารใส่จานให้ตน ในขณะเดียวกันทั้งเมิ่งอีหลันและสวี่ซวงได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆ ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัว

“เจ้าเองก็ต้องกินให้มากหน่อย”

พระสนมอี้ตักอาหารใส่ในจานของเมิ่งอีหลันอย่างเป็นกันเองท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจของสวี่ซวง

หลันเอ๋อร์ผู้นี้เป็นใครกัน ดูไม่เหมือนสาวใช้หรือนางกำนัลทั่วไป อีกทั้งยังดูเหมือนว่าพระสนมยังโปรดปรานนางเป็นพิเศษ

สวี่ซวงได้แต่เก็บงำความรู้สึกสงสัยนี่เอาไว้อย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของบุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างกาย

ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะเป็นใครแล้วอย่างไร ในเมื่อท่านอ๋องรับปากบิดาของนางเอาไว้เสียดิบดีว่าจะแต่งนางเป็นพระชายาและดูแลนางให้ดีที่สุดเหนือสตรีอื่นใด!

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูอึมครึมกว่าที่คิด ถึงแม้อาหารที่อยู่บนโต๊ะจะพร่องไปมากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม

-----------------------------------------------------------

ขอกำลังใจให้ท่านอ๋องหน่อยค่าา

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...