Trip.com เปิดข้อมูลเทรนด์เที่ยวคนไทยเปลี่ยนไป แนวครอบครัว-เมืองรองมาแรง
ภาพรวมการท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทยในปี 2025 กำลังสะท้อนภาพใหม่ที่แตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน ความสนใจเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนของนักท่องเที่ยวไทย ตอนนี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่เมืองยอดนิยมเดิมๆ อีกต่อไป แต่เริ่มขยับไปสู่เมืองดาวรุ่งของเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีน ที่หลายเมืองทำสถิติยอดนักท่องเที่ยวเติบโตสูง ทั้งเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เฉิงตู กวางโจว ไปจนถึงฉงชิ่ง ที่มียอดค้นหาและการจองเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ต่อปี
กระแสนี้สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างน้อยสองด้าน หนึ่งคือ “พฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย” ที่เริ่มเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ มากขึ้น จากเดิมที่นิยมเดินทางซ้ำไปยังจุดหมายที่คุ้นเคย เช่น โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือโอซาก้า มาสู่การค้นหาเสน่ห์ของเมืองรองและเมืองวัฒนธรรมที่กำลังถูกจับตาทั่วเอเชีย
อีกจุดหนึ่งคือการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังโควิด ที่ทำให้แพลตฟอร์มท่องเที่ยว เร่งดึงดูดนักเดินทางด้วยเส้นทาง วัฒนธรรม อาหาร และประสบการณ์เฉพาะถิ่นมากขึ้น และกำลังนิยามให้เห็นนิสัยการท่องเที่ยวใหม่ๆ ของคนไทยขึ้นมา
TODAYBizview มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน Trip. Best Roadshow: Southeast Asia Travel Trends Unpacked ที่เพิ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์เมื่อต้นเดือนธันวาคม โดยในงานนี้ ‘’เอ็ดมันด์ ออง’ ผู้อำนวยการอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้จัดการทั่วไป Trip. com ประเทศสิงคโปร์ ได้นำเสนอข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในตลาดอาเซียน และประเทศไทย ซึ่งเป็นอินไซต์จากผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวระดับโลก
โดยเขาระบุว่าพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยเปลี่ยนไปจากการเที่ยวชมสถานที่แบบเดิมๆ มาสู่การท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
“ข้อมูลจาก Trip.Best พบว่า ผู้ใช้งานชาวไทยใช้เวลาเฉลี่ย 6 วัน ในการค้นคว้าข้อมูลก่อนตัดสินใจจองการเดินทาง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการประสบการณ์ที่วางแผนมาอย่างดี เมื่อเทียบกับผู้ใช้งานจากประเทศอื่น ๆ” เอ็ดมันด์ฉายภาพ
จากข้อมูลจะพบรูปแบบของนักท่องเที่ยวไทยในปี 2568 ที่น่าสนใจ เป็นต้นว่า
– เซี่ยงไฮ้ครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทย ด้วยการเติบโต 334% YoY ตามด้วยฮ่องกง (เติบโต 52%) โตเกียว (71%) และโอซาก้า (132%)
– ประสบการณ์สำคัญกว่าการชมสถานที่ การค้นหา “กิจกรรม” เติบโต 808% YoY โดย “สถานที่หลบร้อน (Cool Escape Attractions)” พุ่งสูงถึง 1,941%
– การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตต่อเนื่อง การท่องเที่ยวภายในประเทศของไทยเติบโต 25% YoY โดยมีกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นเมืองยอดนิยม
[ อิทธิพลของ KOL กำหนดการตัดสินใจท่องเที่ยวของคนไทย ]
สอดคล้องกับระบบนิเวศดิจิทัลของไทยที่ผู้บริโภคกว่า 95% ค้นหาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ผ่านคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์ โดยจากข้อมูล Trip. Best พบว่า
• 47% ของผู้ใช้งานแบบครอบครัวเลือกติดตามอินฟลูเอนเซอร์ท่องเที่ยวที่แชร์ประสบการณ์จริง
• 45% ของนักท่องเที่ยวที่สำรวจในปี 2568 ค้นหาไอเดียทริปล่าสุดจากโพสต์โซเชียลมีเดียของ KOL ไทย เพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2567
• ยอดสั่งซื้อโดยตรงผ่านรหัสโปรโมชั่นของ KOL เพิ่มขึ้นสูงถึง 120%
[ ความพึงพอใจต่อแพลตฟอร์ม Trip.Best พุ่งสูงในหมู่ผู้ใช้ชาวไทย ]
‘เอ็ดมันด์’’ เล่าต่อว่า แพลตฟอร์ม Trip.Best ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในไทย โดยคะแนนความพึงพอใจสุทธิ (NPS) โดยรวมเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน ผู้ใช้งานชาวไทยให้ความสำคัญต่อความน่าเชื่อถือและการคัดสรรอย่างมืออาชีพของแพลตฟอร์มมากเป็นพิเศษ
“แสดงให้เห็นว่าผู้คนใช้ TripBest แบบตั้งใจใช้เพื่อค้นหาจุดหมายปลายทางสำคัญเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว และเรามักจะแนะนำสถานที่เหล่านั้น ซึ่งสถานที่ที่จะเข้ามาอยู่ใน Trip.Best ได้ต้องเป็น 1% แรกของการค้นหาสูงสุด โดยอิงจากข้อมูลการจองจริงและคะแนนความพึงพอใจ”
มาถึงตรงนี้อินไซต์เทคโนโลยี AI ของ Trip.Best ทำงานอย่างไรในการคัดสรรคำแนะนำเพื่อมารีวิว ‘เอ็ดมันด์ ออง’ อธิบายว่าหลักๆ คือ
1.การวิเคราะห์ปริมาณการจอง โดยติดตามแบบเรียลไทม์ว่านักท่องเที่ยวไทยกำลังจองอะไร ไม่ใช่แค่ค้นหาอะไร
2.ประมวลผลความรู้สึก (Sentiment processing) จากรีวิว โดยใช้ AI ประมวลผลรีวิวมากกว่า 100 ล้านรีวิวในหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย
3.มีการจับคู่ตามธีม (Thematic matching) เพื่อจัดคำแนะนำให้ตรงกับประเภทของนักท่องเที่ยว เช่น ครอบครัว, หรูหรา, หรือผจญภัย
4.การตรวจสอบคุณภาพ ซึ่ง Trip.Best มีนักรีวิวทั่วโลกและผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นประมาณ 2,200 คน เพื่อยืนยันการคัดเลือกจาก AI
5.การอัปเดต มีการรีเฟรชข้อมูลทุกวันเพื่อให้มั่นใจว่าเฉพาะตัวเลือกที่เยี่ยมที่สุดในปัจจุบันเท่านั้นที่จะได้รับการแนะนำ
ด้วยระบบนี้ ทำให้มีผลลัพธ์ที่วัดผลได้ โดยพาร์ทเนอร์กว่า 20,000 รายที่ได้รับคัดเลือกมียอดเข้าชมเพิ่มขึ้น 20% และยอดจองโตขึ้น 10% สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่านักท่องเที่ยวไทยเชื่อมั่นและวางใจในการคัดสรรโดย AI ของเรา
ขณะที่‘ซันนี่ ซัน’ รองประธาน Trip. com Group กล่าวเสริมว่า นักท่องเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการวางแผนท่องเที่ยวที่ละเอียดและซับซ้อน โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่สมดุลระหว่างการผจญภัยและความสะดวกสบาย โดยระบบแนะนำด้วย AI และข้อมูลเรียลไทม์ของ Trip.Best ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักเดินทางยุคใหม่โดยเฉพาะ
โดยข้อมูลชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนักท่องเที่ยวไทย ที่หันมาสนใจท่องเที่ยวไปยังเมืองรองของจีนมากขึ้น พร้อมปรับสไตล์การท่องเที่ยวจากการท่องเที่ยวแบบเข้าชมสถานที่ ไปเป็นการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์แทน
จากข้อมูลของ Trip.Best ในปี 2568 พบว่า ฉงชิ่ง กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่เติบโตเร็วที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวไทย โดยยอดการเข้าชมบน Trip.Best เพิ่มขึ้นถึง 395% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยอดจองพุ่งสูงถึง 828% เมืองบนภูเขาแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสจัดคล้ายอาหารไทย พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงกลายเป็นปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไทยที่กำลังมองหาประสบการณ์อย่างแท้จริง นอกเหนือจากจุดหมายปลายทางแบบดั้งเดิม
เมื่อมาดูการเติบโตของการค้นหาและการจอง (YoY Growth) ผ่าน Trip.Best พบว่ามีการเติบโตของยอดจองในฉงชิ่งจากนักเดินทางไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพิ่มสูงมาก
ภาพรวมจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวในอาเซียนนิยมเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นผลมาจากนโยบายยกเว้นวีซ่า (Visa-free) ระหว่างจีนกับประเทศอาเซียน ที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นนั่นเอง