[จบ]รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว
ข้อมูลเบื้องต้น
รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
การแปลนี้จัดร่วมกับ SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
ลิขสิทธิ์แปลไทย ⓒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็นจอยบุ๊ค
---------------------------------------
นิยายแปลเรื่อง รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
ผู้แต่ง : 葡萄 ผู้แปล : ทีมงาน Enjoybook
จำนวน 1360 ตอนจบ
อ่านตอนล่วงหน้าก่อนใคร คลิก >> https://bit.ly/3ENkKVi
เรื่องย่อ:
'หลี่จิ่วเต้า' ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย
อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง "เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?"
คุณอาจจะชอบเรื่องนี้
บทที่ 1 ระบบที่ไม่ตรงกัน
บทที่ 1 ระบบที่ไม่ตรงกัน
เสียงกังวานใสของกู่ฉินดังก้องไปทั่วบริเวณ ไม่เพียงไพเราะจับใจ แต่ยังงดงามตรึงตรา อีกทั้งลื่นไหลราวกับสายน้ำ ซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยหลากอารมณ์ ราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์
หลี่จิ่วเต้าไล้นิ้วเรียวยาวอันแสนพิสุทธิ์ไปตามเส้นสาย ขับทำนองบรรเลงมันจนจบในคราวเดียว
เมื่อบทเพลงจบลง แต่จิตใจของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ใบหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์เสียงกู่ฉินเมื่อครู่อยู่ไม่จางหาย
"หากเป็นชาติก่อน ตัวข้าคงโด่งดังจนพลุแตกไปแล้ว แม้แต่ราชินีแห่งเสียงเพลงก็ไม่ได้เกิดหรอก"
ชายหนุ่มถอนหายใจ อย่าว่าแต่เทพเจ้าเสียงเพลงในชาติก่อนเลย แม้แต่ปรมาจารย์กู่ฉินในสมัยโบราณก็ไม่อาจเทียบเขาได้
"เพ้ย ให้ข้ามาอยู่โลกนี้แล้วอย่างไรต่อ? โยนระบบนี้มาให้ข้าแล้ว ก็ควรส่งข้ากลับไปยุคราชวงศ์โบราณพวกนั้นด้วยสิ?"
เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ความขมขื่นในใจพลันปรากฏขึ้นมา เพราะบางสิ่งบางอย่างที่นำพาเขาข้ามสายธารแห่งกาลเวลาจากดาวเคราะห์สีฟ้าจนมาถึงที่แห่งนี้
โลกใบนี้คือโลกแห่งการฝึกตน ผู้ฝึกตนสามารถเรียกลมเรียกฝนตามใจปรารถนา มือพลิกแม่น้ำขวางทะเล และถึงขั้นเคลื่อนคล้อยวิถีดาราได้ เรียกได้ว่าพวกเขาคือผู้ไร้เทียมทาน เป็นตัวตนที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าในตำนานปรัมปราของดาวเคราะห์สีฟ้า
“โลกนี้ยังพอเข้าใจได้นะ แต่ระบบนี่มันเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ถึงเขาจะมีระบบเหมือนกับที่นักเดินทางต่างโลกคนอื่นมี ทว่ามัน…ดันไม่ตรงกันนี่สิ!
ติ๊ง!
[โฮสต์เล่นเพลง ‘ห่านป่าร่วงหล่นบนผืนทราย’ ได้รับ EXP 188888]
เสียงระบบดังขึ้นในหัวหลี่จิ่วเต้า ชายหนุ่มถึงกับตัวแข็งทื่อไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงมัน
หลังจากนั้นเอง แสงจาง ๆ พลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขา นี่ก็คือหน้าต่างข้อมูลของระบบที่มีเพียงหลี่จิ่วเต้าเท่านั้นที่มองเห็น
[โฮสต์: หลี่จิ่วเต้า]
[การบ่มเพาะ: มนุษย์]
[ทักษะ: การเล่นกู่ฉิน ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การเล่นหมากรุก ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: ศิลปะการเขียนพู่กัน ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การวาดภาพ ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: พิธีชงชา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การแกะสลัก ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การตกปลา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: ปรุงยา ‘ขั้นเทวะ’]
[ทักษะ: การยิงธนู ‘ขั้นเทวะ’]
…
แน่นอนว่ามันคือ ระบบของหลี่จิ่วเต้าที่เต็มไปด้วยทักษะมากมาย
‘ขั้นเทวะ’ คือระดับสูงสุด และหลี่จิ่วเต้าได้สำเร็จหลายทักษะไปถึงระดับสูงสุดแล้ว
แต่ว่า…มันไร้ประโยชน์!
เพราะนี่คือโลกของผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนสามารถพลิกคว่ำฟ้าดินด้วยเพียงมือข้างเดียว ดังนั้นต่อให้ทักษะของเขาจะประเสริฐเลิศเลอแค่ไหน มันก็นับว่าไร้ความหมายอยู่ดี
ซ้ำแล้ว ผู้ฝึกตนยังสามารถบดขยี้เขาจนตายได้ด้วยนิ้วเดียว
“ไอ้ระบบเวร นี่มันโลกของผู้ฝึกตน แต่เจ้ากลับยัดทักษะพวกนี้มาให้ข้า นี่ตั้งใจจะฆ่ากันจริง ๆ ใช่หรือไม่!?”
หลี่จิ่วเต้าหดหู่ใจมาก
ระบบทักษะเช่นนี้ ต่อให้เขาถูกส่งไปยังราชวงศ์ดาวเคราะห์ฟ้าในสมัยโบราณ แม้ไม่ต้องการ แต่เขายังสามารถใช้มันขยับขยายเส้นสายให้กว้างขวางได้อยู่ดี
ทว่าในโลกแห่งการฝึกตน ระบบทักษะนี้เรียกได้ว่าเป็นเพียงของขยะและไร้ประโยชน์สิ้นดี
“ข้าแค่อยากฝึกซ้อมเองนะ!”
หลี่จิ่วเต้าอยากจะร้องไห้ทั้งน้ำตา ระบบช่างไร้ประโยชน์นัก
อันที่จริงแล้ว เขาแค่อยากจะเปล่งประกายในต่างโลกเหมือนกับรุ่นพี่นักเดินทางจากดาวเคราะห์ฟ้า ที่สามารถมองเหยียดใต้หล้าและกลายเป็นผู้ชนะโลกทั้งใบได้ก็เท่านั้น
ทว่ามาตอนนี้แล้ว หลี่จิ่วเต้าทำได้แค่คิดเพ้อฝันถึงมัน เพราะเขาไม่สามารถเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าได้ และนั่นรวมถึงการเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนด้วย …เขาเป็นได้เพียงปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น
“เป็นคนธรรมดาก็ดี อย่างน้อยก็ไม่หิวตายละนะ”
หลี่จิ่วเต้าปลอบตัวเองว่า แม้ทักษะพวกนี้จะไม่สามารถทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุดได้ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เขาต้องพะวงว่าตนเองจะอดตาย หรือไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ในสักวัน
ณ ตอนนี้เขาใช้ทักษะที่มีเปิดร้านเล็ก ๆ อยู่ที่เมืองชิงซานซึ่งใกล้กับสำนักไท่หัว ทำให้ยังพอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีบ้าง
“เมืองชิงซานกลับมาคึกคักแล้ว สำนักไท่หัวเองก็กำลังจะเปิดประตูรับศิษย์อีกครั้ง”
ในใจหลี่จิ่วเต้าแอบรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง สำนักไท่หัวเป็นถึงสำนักผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งในแดนนี้ ซึ่งมักเปิดรับลูกศิษย์ทุก ๆ สามปี
เขาเองก็อยู่ในโลกแห่งนี้มาได้เก้าปีแล้ว คราแรกที่มาถึงนั้น หลี่จิ่วเต้าเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของสำนักไท่หัวด้วยความคาดหวังว่า ตนจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักไท่หัวและเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนได้
ทว่าเขากลับไม่มีคุณสมบัติของผู้ฝึกตน สุดท้ายแล้วจึงถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็อาศัยอยู่ในเมืองชิงซานที่ซึ่งใกล้กับสำนักไท่หัวมาตลอด
เมืองชิงซานนั้นกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ไม่น้อย ยิ่งกับช่วงเวลาเช่นนี้ยิ่งดูคึกคักมากขึ้นไปอีก หนุ่มสาวหลายคนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ เพื่อเข้าร่วมการประเมินอย่างเป็นทางการของสำนักไท่หัว
ถนนหนทางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ มีคนหนึ่งผู้หนึ่งซึ่งดูหยิ่งยโสและไม่ธรรมดา มองเพียงคราแรกก็รู้แล้วว่าหาใช่คนเดินดินแต่อย่างใด
“เสียงของกู่ฉิน…!”
เป็นเด็กสาวผู้งดงามไร้มลทินซึ่งมีผิวขาวราวหิมะ รูปร่างทรวดทรงล้วนอรชรสมบูรณ์แบบตามวัย กำลังยืนอยู่หน้าร้านของหลี่จิ่วเต้าอย่างเหม่อลอยและตกใจ!
“ทะ…ทะลวงขั้นได้แล้ว?”
นางไม่อยากจะเชื่อ ถึงกับที่คำพูดของนางสั่นระริกอย่างไม่รู้ตัว เพียงเพิ่งจะได้ยินเสียงกู่ฉินแว่วมาเล็กน้อย แค่นั้นก็กลับทำให้นางก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้เสียแล้ว!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!?
นางฝึกฝนมาตลอดหนึ่งปีและมิอาจบรรลุขอบเขตนี้ไปได้ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกู่ฉินเพียงเล็กน้อยกลับก้าวข้ามได้เสียอย่างนั้น แล้วจะให้นางเชื่อได้อย่างไร
“ทะลวงขั้นจริง ๆ ด้วย!”
นางตรวจสอบตนเองโดยละเอียด ก่อนจะมั่นใจแล้วว่านางก้าวข้ามไปอีกขอบเขตจริง ๆ !
“เป็นผู้อาวุโสท่านใดกันหนอที่กำลังเล่นกู่ฉินอยู่”
เด็กสาวมิอาจหักห้ามความตื่นตระหนกไว้ได้ ลำนำเพียงบทเดียวกลับทำให้นางก้าวข้ามขอบเขต เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่บรรเลงกู่ฉินอยู่ ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสสูงศักดิ์ซึ่งไม่อาจจินตนาการได้เป็นแน่!
ต้องทราบด้วยว่า แม้นางจะได้รับการชี้แนะจากผู้ฝึกตนที่มีพลังสูงส่งในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ยังมิอาจบรรลุขอบเขตไปได้
“ข้าช่างโชคดีนัก!”
นางแย้มรอยยิ้มออกมา ในใจนั้นร่าเริงและตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่คาดมาก่อนว่าตนจะมีวาสนาพานพบกับผู้อาวุโสซึ่งไม่อาจจินตนาการได้ที่นี่!
“ห้ามหยาบคายและห้ามเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโสเชียว!”
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำใจให้เย็นลง ก่อนจะมองไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง
ร้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก มันมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถมองเห็นข้างในได้ทั่ว ทุกพื้นที่ดูสะอาดสะอ้านและการตกแต่งก็ดูธรรมดา หาได้มีความหรูหราฟุ้งเฟ้อแต่อย่างใด ซ้ำแล้วยังเต็มไปด้วยภาพวาดรวมไปถึงศิลปะพู่กัน อันบ่งบอกได้ทันทีว่า นี่คือร้านขายภาพวาดและภาพอักษรพู่กัน
นางเงยหน้ามองป้ายร้าน
‘เต๋า’!
มีเพียงหนึ่งตัวอักษรบนแผ่นป้าย ทว่าลายพู่กันกลับวิจิตรนัก ป้ายถูกแขวนไว้บนตะขอเงิน มิหนำซ้ำ มันยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไร้ตัวตน และแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา!
“เป็นตัวอักษรที่ทรงพลังจริงด้วย!”
อารมณ์ที่เพิ่งจะเย็นลงพลันกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาอีกครา เพียงแค่คำว่า ‘เต๋า’ นางก็สัมผัสได้ถึงคุณธรรมอันไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นสิ่งที่คนปกติธรรมดามิอาจเขียนได้อย่างแน่นอน!
และเกรงว่าแม้แต่บิดาของนาง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็คงเขียนด้วยคุณธรรมเช่นนี้มิได้!
อย่าว่าแต่คุณธรรมนี้เลย เกรงว่าแม้แต่ใช้พันหมื่นของคุณธรรมก็คงมิอาจเขียนออกมาเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำ!
มันช่างลึกซึ้งและสุดยอดยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ขอบเขตของนางนั้นต่ำเกินกว่าจะรับความลึกซึ้งเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว นางต้องแข็งแกร่งขึ้นและเลื่อนขั้นพลังได้อีกเป็นแน่!
สุดท้าย นางก็พยายามทำใจให้เย็นลงและเดินไปที่ร้านเล็ก ๆ นั้น
“โอ๊ะ มีแขกมางั้นหรือ”
ลึกเข้าไปในร้าน เมื่อหลี่จิ่วเต้าเห็นเด็กสาวเดินเข้าประตูมา เขาก็รีบลุกจากโต๊ะและเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
“เสียมารยาทแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้ ท่านเป็นผู้บรรเลงกู่ฉินอยู่ใช่หรือไม่”
เด็กสาวเอ่ยถามอย่างประหม่าและระมัดระวัง เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าลุกเดินออกมาจากโต๊ะ
‘สุภาพดีแฮะ’
เพียงแวบแรกเห็นก็รู้แล้วว่า เด็กสาวตรงหน้าหาใช่คนธรรมดาหรือมาจากตระกูลผู้ฝึกตนทั่วไป ทว่าหลี่จิ่วเต้าไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาพูดคุยกับเขา ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาด้วยความเคารพเช่นนี้
บทที่ 2 ขายในราคาที่เหมาะสม
บทที่ 2 ขายในราคาที่เหมาะสม
ในโลกผู้ฝึกตน แม้มิอาจพูดได้ว่ามีผู้ฝึกตนอยู่ทั่วทุกที่ แต่ก็อาจใช้คำว่า ‘เกือบแทบ’ ได้ เพราะในหลาย ๆ พื้นที่นั้น ไม่เพียงมีสำนักผู้ฝึกตนมากมาย ทว่ายังมีตระกูลผู้ฝึกตนเล็กใหญ่อีกด้วย
ดรุณีตรงหน้ามีการวางตัวที่ไม่ธรรมดายิ่ง ซ้ำกิริยายังนุ่มนวลไม่น้อย แน่นอนแล้วว่านางหาใช่คนธรรมดา กระทั่งอาจพูดได้ว่าเป็นผู้ก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว
สำหรับคนปุถุชนธรรมดา ผู้ฝึกตนถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่สูงขึ้นไป และน้อยคนนักจะสุภาพกับคนธรรมดา เช่นนั้นแล้ว ความสุภาพอ่อนน้อมที่แม่นางตรงหน้าแสดงออกมา ทำเอาหลี่จิ่วเต้าประหลาดใจไม่น้อย
“ข้าเพียงแค่นึกอยากบรรเลงมันเท่านั้น หากรบกวนแม่นางเข้า โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าเอ่ยเช่นนั้น!”
เซี่ยเหยียนชะงักกับคำพูดของอีกฝ่ายทันที ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความตกใจยิ่ง
ที่บอกว่ารบกวนนี่หมายความว่าเยี่ยงไร?
ผู้อาวุโสล้อนางเล่นใช่หรือไม่?
มุมปากของหลี่จิ่วเต้ากระตุก แม่นางน้อยผู้นี้งดงามยิ่ง แต่ไยถึงดูแปลกคนนัก? เหตุใดจู่ ๆ นางถึงตัวสั่นเช่นนั้นเล่า?
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ?”
หลี่จิ่วเต้าเลิ่กลั่กแทน เมื่อได้ยินนางเรียกขานตนเช่นนั้น
เขากลายเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร…?
ผู้อาวุโสมันใช้เรียกผู้ฝึกตนที่ทรงพลังนี่ เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเองนะ
“เรียกผู้อาวุโสไม่ได้หรือเจ้าคะ”
เมื่อเซี่ยเหยียนเห็นท่าทางของหลี่จิ่วเต้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หรือว่าผู้อาวุโสตรงหน้านางจะไม่ชอบโดนเรียกว่าผู้อาวุโส?
ต้องใช่แน่ ๆ
‘ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสท่านนี้นับว่ายากหยั่งถึงโดยแท้ เขาต้องฝึกฝนมานานนับหลายปีเป็นแน่ ที่สำคัญเขายังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย ข้าว่าผู้อาวุโสผู้น่าเคารพท่านนี้คงไม่ชอบโดนเรียกว่าผู้อาวุโสเป็นแน่’
นางโทษตัวเองและนึกเสียใจขึ้นมา อุตส่าห์คิดสร้างความประทับใจดี ๆ ให้แก่ผู้อาวุโส แต่สุดท้ายนางกลับทำผิดพลาด และเอ่ยในสิ่งที่ผู้อาวุโสมิชอบลงไปเสียแล้ว
“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ใครเล่าจะกล้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส แม่นางสุภาพเกินไปแล้ว”
หลี่จิ่วเต้ายิ้มดูถูกตนเอง แน่นอนว่าการฝึกตนเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าถวิลหาถึง แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาไร้ซึ่งความสามารถในการฝึกตน ทำให้มิอาจฝึกตนได้
มนุษย์ธรรมดา?
เซี่ยเหยียนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ได้โปรดผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่อย่าโกหกนางเช่นนี้เลย…
นางอยากจะเอ่ยเหลือเกินว่าหากท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา นางก็คงหาใช่มนุษย์แล้ว เกรงว่าจะเป็นเพียงขยะเสียด้วยซ้ำ!
แต่มิอาจทำพลาดได้อีกแล้ว!
นางไม่คิดโต้แย้งในคำกล่าวของเขา เพียงเอ่ยกับหลี่จิ่วเต้าว่า “ตัวข้าชมชอบในการบรรเลงกู่ฉินมาตั้งแต่เด็กแล้ว เช่นนั้น ยามได้ยินเสียงกู่ฉินของท่าน ข้าถึงได้แต่ทอดถอนใจในการบรรเลงกู่ฉินของท่าน คิดเพียงว่าผู้เล่นมัน ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสแน่นอน!”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หลี่จิ่วเต้าถึงบางอ้อในทันที มิน่าเล่าเด็กสาวผู้ฝึกฝนถึงมีท่าทีสุภาพกับเขานัก ที่แท้นางก็ชอบกู่ฉินนี่เอง
เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงเหมาะสมที่จะเป็นผู้อาวุโสแล้ว”
เขายังคงภาคภูมิใจกับทักษะการเล่นกู่ฉินของเขา
ทักษะการเล่นกู่ฉินที่อยู่ ‘ขั้นเทวะ’ ไม่นับว่าเสียแรงเปล่าแล้ว
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียนเองก็ดีใจมาก
ในที่สุดนางก็ไม่ได้ทำผิดพลาด และกลับมาตั้งตัวได้เสียที!
ตอนที่นางอยู่ในพระราชวัง เคยได้ยินผู้ฝึกตนในวังหลายท่านบอกเล่าว่า ผู้อาวุโสบางคนชอบใช้ชีวิตดุจปุถุชนธรรมดา และออกเดินทางท่องไปทั่วโลกกว้าง
มาตอนนี้ ดูท่านางจะได้พบกับผู้อาวุโสที่ว่าเข้าเสียแล้ว!
“องค์หญิงเพคะ อยู่ที่นี่เอง! ข้ามตามหาเสียตั้งนาน!”
ในตอนนั้นเอง สตรีในชุดสีฟ้าก็วิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
สตรีผู้นี้คือนางกำนัลรับใช้ของเซี่ยเหยียนนั่นเอง นางตามเซี่ยเหยียนมาถึงเมืองชิงซาน แต่เพราะไม่เคยออกจากพระราชวัง จึงถูกความเจริญรุ่งเรืองของเมืองชิงซานดึงดูดเข้า พอรู้ตัวอีกทีองค์หญิงก็หายตัวไปเสียแล้ว
นางเดินหาไปตามรายทาง และในที่สุดก็พบเซี่ยเหยียนในร้านเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า
องค์หญิง?
ใบหน้าของหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าตัวตนของเซี่ยเหยียนจะธรรมดาสามัญอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าจะเป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักร
สำนักไท่หัวนับว่ามีอำนาจเสียจริง ถึงขนาดว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรยังต้องการจะเข้าร่วมกับสำนักฝึกตนแห่งนี้ด้วย
“เสี่ยวหลาน อย่าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโสเชียว”
เซี่ยเหยียนเอ่ยเสียงเบา เนื่องจากกลัวว่าเสี่ยวหลานจะเผลอทำทุกอย่างพังพินาศไป เพราะนางอุตส่าห์ทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจได้แล้ว
“เอ๊ะ ผู้อาวุโส?”
ดวงตาของเสี่ยวหลานเบิกกว้าง มองไปยังหลี่จิ่วเต้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
หลี่จิ่วเต้าดูจะมีอายุพอ ๆ กับพวกนาง แต่แท้จริงแล้ว เขากลับเป็นผู้อาวุโสแห่งการฝึกตนหรือนี่?
สิ่งสำคัญคือนางมิอาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณในตัวหลี่จิ่วเต้าเลยสักนิด หลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น!
“อย่าได้เข้าใจผิดไป องค์หญิงของเจ้าเพียงชื่นชอบการเล่นกู่ฉิน และข้าเองก็พอจะบรรเลงกู่ฉินอยู่ได้บ้าง องค์หญิงของเจ้าจึงเรียกข้าว่าผู้อาวุโสน่ะ”
หลี่จิ่วเต้าอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิง ท่านชอบเล่นกู่ฉินตั้งแต่เมื่อใดเพคะ ไฉนข้าถึงไม่รู้เลย! มิใช่ว่าพระองค์ทรงเกลียดมันที่สุดเลยหรือเพคะ กู่ฉินที่องค์จักรพรรดิทรงมอบให้ก็ถูกองค์หญิงฟาดจนไม่เหลือชิ้นดี และองค์หญิงก็ทรงตรัสเองว่า พระองค์ไม่มีความอดทนมากพอจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้”
เสี่ยวหลานมองเซี่ยเหยียนด้วยสายตาแปลก ๆ
จิตใจของเซี่ยเหยียนเต็มไปด้วยขีดสีดำ นางหวาดกลัวว่าเสี่ยวหลานจะทำทุกอย่างพังพินาศไปเสียหมด ทั้งยังกลัวด้วยว่าจะมีเรื่องอันใดตามมา!
อนิจจา นางทำเสี่ยวหลานเสียคน เพราะเสี่ยวหลานเป็นนางกำนัลรับใช้ แต่อย่างไร นางก็ไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้เลย กลับกัน นางปฏิบัติต่อเสี่ยวหลานเฉกเช่นพี่น้อง!
“เจ้าจะไปรู้อันใด หากข้าไม่ชอบเล่นกู่ฉิน แล้วจักรพรรดิจะมอบกู่ฉินให้ข้าทำไมกัน? ตอนนั้นข้าทะเลาะกับองค์จักรพรรดิอยู่ ก็เลยฟาดกู่ฉินที่จักรพรรดิมอบให้ข้าน่ะสิ!”
นางรีบอธิบาย
“อ๋อ ครานั้นความสัมพันธ์ขององค์จักรพรรดิกับองค์หญิงยังไม่ค่อยดีจริง ๆ ด้วย ที่แท้ก็เป็นการทะเลาะกันนี่เอง”
เสี่ยวหลานย่อมไม่ได้คิดอะไรมากกับคำกล่าวอ้างขององค์หญิง
“ช่างเป็นจี้หยกแสนงดงามอะไรเยี่ยงนี้!”
เมื่อเห็นจี้หยกถูกวางไว้บนโต๊ะ นางก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปแล้วถือมันขึ้นมาดู
มันคือจี้หยกสลักลายแกะ ซ้ำแล้ว แกะนั้นยังเหมือนจริงราวกับสลักสิ่งมีชีวิตเอาไว้
“อย่าได้แตะต้องมั่วซั่วเชียว!”
เซี่ยเหยียนนั้นหวาดกลัวยิ่งนัก เหตุใดเสี่ยวหลานจึงไร้ความเคารพเช่นนี้ กล้าแตะต้องของอันล้ำค่าของผู้อาวุโสอย่างเลินเล่อเช่นนี้ได้อย่างไร
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคำพูดของพวกนางเหมือนกับว่าไม่เคยพบเคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน?’
‘เซี่ยเหยียนเป็นองค์หญิงจริง ๆ งั้นหรือ?’
หลี่จิ่วเต้าเต็มไปด้วยความสับสน
“ไม่เป็นไรขอรับ ทุกอย่างในร้านนี้มีไว้เพื่อขาย หากมองแล้วชอบก็หยิบไปได้เลย”
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หากไม่มองหรือลองจับมัน แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเป็นของดีจริงหรือไม่? องค์หญิงมานี่เร็วเพคะ จี้หยกเหล่านี้งดงามมากเลยเพคะ!”
เสี่ยวหลานดึงตัวเซี่ยเหยียนเข้ามาใกล้
ดวงตาของเซี่ยเหยียนกวาดมองจี้หยกบนโต๊ะ ก่อนจะตื่นตกใจสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นไหลซึมผ่านหน้าผากขาวนวลของนาง
จี้หยกแต่ละชิ้นมีลวดลายแตกต่างกัน มีทั้งราชสีห์ พยัคฆ์ กิเลน มังกร วิหคเพลิง และอีกมากมายนับไม่ถ้วน!
โดยไร้ซึ่งข้อยกเว้น การแกะสลักเหล่านี้กลับเหมือนของจริง ราวกับมีชีวิตจริง ๆ ก็มิปาน!
นางเหมือนกับได้ยินเสียงคำรามของราชสีห์และพยัคฆ์ลอยล่องออกมา มันราวกับว่านางได้เผชิญหน้ากับกิเลน หรือมังกรจริง ๆ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุด!
นี่ต่างหากที่คือสมบัติ!
สมบัติในอาณาจักรเซี่ย ตราแผ่นดินหยกที่สืบทอดกันมา ล้วนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าจี้หยกเหล่านี้เลย!
“ทั้งหมดนี้…มีไว้ขายหรือเจ้าคะ?”
เสียงของนางสั่นระริก จี้หยกเหล่านี้หากนำออกไปย่อมทำให้เกิดพสุธาสั่นไหวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน ซ้ำยังดึงดูดให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมัน!
‘องค์หญิงอะไรกันเนี่ย อาณาจักรนี้คงไม่ได้มีขนาดเท่าฝ่ามือหรอกใช่ไหม!’
หลี่จิ่วเต้าอับจนคำพูด
‘องค์หญิงพระองค์นี้ดูไม่สมกับฐานะเอาเสียเลย แม้ว่าสิ่งที่ข้าสลักจะสวยมากก็จริง แต่ไม่เห็นต้องตกใจมากเลยนี่นา’
‘นี่กระทั่งน้ำเสียงคำพูดยังสั่นเลย เหลือจะเชื่อจริง ๆ’
“ขายขอรับ ทุกอย่างในร้านขายหมด และหากราคานั้นสมน้ำสมเนื้อ แม้แต่ตัวข้าก็ขายเช่นกัน”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยติดตลก
“ขายเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”
เซี่ยเหยียนรีบถาม แต่ก็ต้องเสียใจทันทีหลังจากเอ่ยถามออกไป
สมบัติเช่นนี้ คุณค่าของมันคงสูงลิ่วเป็นแน่ แล้วนางจะมีพอจ่ายได้อย่างไร…
บทที่ 3 พยัคฆ์หลากสี
บทที่ 3 พยัคฆ์หลากสี
“ทั้งหมดนี้เป็นข้าแกะสลักด้วยตนเอง แต่พวกมันก็หาใช่หยกเนื้อดี ราคาเพียงสิบตำลึงเงินเท่านั้น”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ย
“อันใดนะเจ้าคะ!?”
สิบตำลึงเงิน?
ใบหน้าของเซี่ยเหยียนแปลกพิลึก นางคิดด้วยซ้ำว่าตนเองได้ยินผิดไป!
หลี่จิ่วเต้าอับจนคำพูด ‘เป็นองค์หญิงจากชนเผ่าหรือไงกัน? สิบตำลึงเงินยังหาไม่ได้เนี่ยนะ?’
“ช่างเถิด หาได้ยากนักที่จะได้พานพบกับผู้บรรเลงกู่ฉินเช่นกัน เช่นนั้น จี้หยกสองชิ้นนี้ข้าขอมอบให้เป็นไมตรี”
ทักษะแกะสลักของหลี่จิ่วเต้าไปถึง ‘ขั้นเทวะ’ แล้ว อีกทั้งยังสามารถแกะสลักพวกมันได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้ หากจะมอบให้อีกฝ่ายก็นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด…
“ให้…ให้พวกข้าสองชิ้นเลยหรือเจ้าคะ?”
เซี่ยเหยียนตื่นเต้นเสียจนพูดติดอ่าง
ต่อให้ขนย้ายท้องพระคลังราชวงศ์เซี่ยทั้งหมดมา พวกเขาก็ไม่อาจซื้อสมบัติเช่นนี้ได้ หลี่จิ่วเต้าเอ่ยชัดเจนว่าจะมอบให้สองชิ้น นางไม่อยากจะเชื่อหู ทั้งยังสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวนางกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่!
“องค์หญิงเพคะ เป็นอันใดไปเพคะ?”
เสี่ยวหลานรู้สึกอับอาย ‘แค่จี้หยกราคาสิบตำลึงเงิน เหตุใดองค์หญิงจึงได้มีทีท่าตื่นเต้นเช่นนี้กัน? ราวกับเด็กน้อยไม่เคยเห็นโลกอย่างไรอย่างนั้น!’
ของอย่างเงินนั้นถือว่ามีประโยชน์ในโลกมนุษย์ แต่สำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขา มันนับว่าไร้ประโยชน์นัก
เพราะนางสามารถใช้เงินหลายหมื่นตำลึงแลกกับของอะไรก็ได้ของมนุษย์
ทว่าเซี่ยเหยียนเมินเสี่ยวหลานโดยสิ้นเชิง
นี่เพราะขอบเขตของเสี่ยวหลานยังต่ำอยู่ นางจึงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้ กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจี้หยกนั้นเป็นสมบัติอย่างแท้จริง
“ให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
นางถามหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง
‘เป็นองค์หญิงจากหมู่บ้านชายขอบจริง ๆ ด้วย!’
‘ไม่เช่นนั้นด้วยฐานะขององค์หญิง นางจะจนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!’
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “หยิบอันที่ชอบไปสองชิ้น คิดเสียว่าเป็นไมตรีจากข้าก็พอ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
เซี่ยเหยียนรีบขอบคุณผู้อาวุโสตรงหน้า หยาดน้ำตาแห่งความตื่นตันแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
นางเลือกจี้หยกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบจี้หยกวิหคสวรรค์ออกมา แล้วขอบคุณหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง
“พวกเราจนขนาดนั้นเลยหรือเพคะองค์หญิง?”
เสี่ยวหลานอยากจะร้องไห้ทว่ากลับไร้ซึ่งน้ำตาไหลออกมา
อาณาจักรเซี่ยนั้นทรงอำนาจและเจริญรุ่งเรือง มีพื้นที่ในปกครองมากกว่าสองแสนลี้ ดูแลผู้คนมากกว่าสิบล้านชีวิต และมีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนภายในอาณาจักร ด้วยฐานะองค์หญิงของเซี่ยเหยียน นางจะยินยอมให้ผู้อื่นมอบสิ่งของราคาสิบตำลึงเงินแก่ตนได้อย่างไร?
“งี่เง่าเสียจริง เจ้ามีเงินติดตัวมาหรือไร? เหตุใดจึงไม่รีบเลือกจี้หยกให้ไว แล้วขอบคุณผู้อาวุโสเล่า!”
เซี่ยเหยียนเกลียดการไม่ตีเหล็กตอนร้อน*[1] นี่เป็นโอกาสดีงามโดยแท้ ทว่าเสี่ยวหลานกลับยังทำตัวเช่นนี้ได้
“ข้าลืมนำเงินออกมาด้วยก็จริง…”
เสี่ยวหลานเกาหัวอย่างงุนงง เงินนับเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้แล้วนางจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องการนำเงินออกมาด้วยเลย
“หยุดจู้จี้ รีบเลือกชิ้นที่ชอบเสียที”
เซี่ยเหลียนรีบดันหลังอีกฝ่าย
“จี้หยกแกะในมือของข้างดงามนัก ข้าเลือกชิ้นนี้ก็แล้วกัน”
“ดี”
เซี่ยเหยียนพยักหน้าและพาเสี่ยวหลานไปขอบคุณหลี่จิ่วเต้า
ก่อนจะบอกลาหลี่จิ่วเต้าในที่สุด
อันที่จริงนางต้องการอยู่ที่นี่ต่อ เพราะยังอยากถามบางสิ่งกับหลี่จิ่วเต้าอยู่
ทว่าเมื่อเสี่ยวหลานอยู่ที่นี่ด้วย นางก็ไม่อาจบอกเสี่ยวหลานได้ชัดเจนนัก ซ้ำยังกลัวว่าเสี่ยวหลานจะทำอะไรไม่ดีและทำให้ผู้อาวุโสของนางขุ่นเคืองเข้า
“ผู้อาวุโส ข้ามาที่นี่อีกได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางถามอย่างประหม่า
“ได้สิ มาได้เมื่อต้องการเลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะผู้อาวุโส!”
เซี่ยเหยียนออกจากร้านพร้อมเสี่ยวหลานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
และเมื่อออกห่างจากร้านแล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“องค์หญิง เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่เพคะ”
เสี่ยวหลานเอ่ยถาม การกระทำขององค์หญิงนั้นแปลกมาก
เซี่ยเหยียนกลับมามีท่าทีสง่างาม นางมองไปยังเสี่ยวหลานแล้วตอบว่า “เสี่ยวหลาน จี้หยกในมือเจ้าควรเก็บไว้ให้ดี และไม่ควรแสดงให้ผู้ใดเห็นได้โดยง่าย มันคือสมบัติล้ำค่า ซ้ำยังมีค่ามากกว่าตราแผ่นดินหยกที่สืบทอดกันมาในอาณาจักรเซี่ยของเราเสียอีก!”
“ว่าอันใดนะเพคะ!”
เสี่ยวหลานถึงกับผงะไป สิ่งที่ขายในราคาสิบตำลึงเงินนั้น แท้จริงแล้วกลับมีค่ามากขนาดนี้เชียวหรือ?
เซี่ยเหยียนหันไปมองทิศทางร้านของหลี่จิ่วเต้าแล้วเอ่ยต่อ “พวกเราเพิ่งจะได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คนผู้นั้นก็คือผู้อาวุโสที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึงอย่างไรเล่า!”
…
“ดันเสียจี้หยกไปสองชิ้นก่อนจะเปิดร้านซะได้ นี่มันลางไม่ดีชัด ๆ วันนี้ข้าไม่ควรเปิดร้านเลยจริง ๆ”
หลี่จิ่วเต้าถูจมูกตัวเอง มือปิดประตูร้านแล้วเดินตรงไปยังลานเล็ก ๆ ด้านหลัง เขาหยิบธนูคันใหญ่ขึ้นมาสะพายไว้ ก่อนจะเดินออกจากประตูลานด้านหลังไป
ด้านหน้าเป็นร้านที่หลี่จิ่วเต้าไว้ขายของ ส่วนด้านหลังคือลานบ้านเล็ก ๆ ที่เขาใช้พักอาศัย
ธนูใหญ่คันนั้นเป็นรางวัลที่ได้รับมาจากระบบ หลังจากทักษะธนูของเขาขึ้นไปถึง ‘ขั้นเทวะ’
“ล่าสัตว์กันดีกว่า!”
ชายหนุ่มออกจากเมืองชิงซานไปพร้อมธนูบนหลัง ตรงมายังเนินเขาที่อยู่ใกล้ชิงซาน
บนเนินเขาเขียวนั้นมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่มากมาย ด้วยเหตุผลนี้พรานป่าหลาย ๆ คนจึงมักจะมาล่าสัตว์ ณ ที่แห่งนี้
อนึ่ง เพราะระบบทักษะของหลี่จิ่วเต้ามีศาสตร์แห่งธนู เขาจึงมักมาล่าสัตว์ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“พี่เต้ามาแล้ว!”
“ฮ่า ๆ เรื่องการยิงธนู พี่เต้าไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าเหยื่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็หนีลูกศรในมือพี่เต้าไม่พ้น!”
เมื่อพรานป่าในชิงซานเห็นหลี่จิ่วเต้ามา พวกเขาต่างตื่นเต้นและทักทายหลี่จิ่วเต้ากันอย่างพร้อมเพรียง
หลี่จิ่วเต้าเป็นที่รู้จักของใครหลาย ๆ คน เช่นนั้นทุกครั้งที่ชายหนุ่มขึ้นเขามา ก็มักได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกันหลี่จิ่วเต้าเองก็โอบอ้อมอารีต่อทุกคน และทุกครั้งที่ล่าได้ เขาจะแบ่งปันสิ่งที่ได้มาให้กับผู้อื่นเป็นจำนวนมากเสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าพรานป่าย่อมดีใจที่ได้เจอหลี่จิ่วเต้าเป็นธรรมดา เพราะมันหมายความว่าวันนี้พวกเขาจะได้เหยื่อมากเป็นพิเศษ
หลี่จิ่วเต้าทักทายเหล่าพรานป่าด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเดินเข้าไปในเนินเขาเขียวพร้อมกับธนูคันใหญ่บนหลัง
เสือลายเมฆฝีเท้าว่องไว มันกระโดดตัดผ่านเนินเขาและพงไพร รวดเร็วดั่งสายลม ก่อนจะหายวับไปชั่วพริบตา!
ทว่าหลี่จิ่วเต้านั้นรวดเร็วยิ่งกว่า
หลังจากเห็นเสือลายเมฆ เขาก็รีบหยิบธนูคันใหญ่ออกมาจากหลัง ขึ้นศรอันคมกริบ ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วยิงลูกศรออกไป จากนั้นบังเกิดเสียง ‘ฟิ้ว’ กรีดอากาศ ปักเข้ากลางหัวใจของเสือลายเมฆอย่างจัง!
เสือลายเมฆร่วงลงบนพื้นเสียงดังและตายคาที่เช่นนั้น
“เนื้อเสือดาวรสชาติไม่ค่อยอร่อยนัก ปล่อยให้พรานป่าคนอื่นเก็บไปแล้วกัน”
หลี่จิ่วเต้าเดินเข้าป่าลึกพร้อมกับธนูคันใหญ่ แต่ไม่ได้คิดเอาเสือลายเมฆเข้าไปด้วย
นี่เพราะเสือลายเมฆตัวใหญ่เกินไป ซ้ำไม่ง่ายนักที่จะแบกไปด้วย เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ก่อน เมื่อเข้าป่าออกล่าสัตว์ หลี่จิ่วเต้าจะไม่นำเหยื่อที่เขาฆ่าติดตัวไปด้วย
ต้องอย่าลืมว่า เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนแต่เป็นคนธรรมดาเดินดิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเหยื่อมากมายติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ชายหนุ่มจึงมักขอให้พรานป่าคนอื่นช่วย และให้รางวัลเป็นเหยื่อที่ล่ามาได้เสียมากกว่า
โฮก!
หลี่จิ่วเต้าได้ยินเสียงคำรามของเสือ ใบหน้ารีบหันไปตามเสียงทันที
“ช่างเป็นพยัคฆ์หลากสีสันเสียจริง!”
เขาแอบประหลาดใจที่ได้เห็นพยัคฆ์ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเสือทั่วไป
“ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันควัน เมื่อเห็นชายชราผู้หนึ่งนอนอาบเลือดอยู่ตรงนั้น พยัคฆ์ตัวใหญ่กำลังพุ่งเข้าไปหาเฒ่าผู้นั้น มันพยายามจะกินเขาเข้าไปในคำเดียว!
หลี่จิ่วเต้าขึ้นเกาทัณฑ์อย่างรวดเร็ว ปล่อยศรพุ่งออกไปก่อนจะปักเข้าที่หัวใจของมัน พยัคฆ์ตัวใหญ่ร่วงลงกระแทกกับพื้นด้วยฝีมือของเขา
โฮก!
พยัคฆ์ตัวใหญ่คำรามออกมา เผยให้เห็นความไม่เต็มใจและไม่เชื่อในสายตาของมัน
อันที่จริง พยัคฆ์ตัวนี้แข็งแกร่งจนแม้แต่ผู้ฝึกตนในขอบเขตสุญญตายังสู้มิไหว เช่นนั้นแล้วมันจะถูกสังหารด้วยลูกธนูลูกเดียวได้อย่างไร
ขอบเขตรวบรวมปราณ ขอบเขตก่อกำเนิดวิญญาณ ขอบเขตประสานวิญญาณ ขอบเขตกงล้อชะตา ขอบเขตสุญญตา ขอบเขตนิพพาน ขอบเขตผันอนันต์…
นี่คือการแบ่งขอบเขตในโลกผู้ฝึกตน
และขอบเขตสุญญตา ก็คือขอบเขตที่สูงที่สุดของปรมาจารย์!
“มนุษย์?”
มันค่อย ๆ มองไปที่หลี่จิ่วเต้าอย่างยากเย็น มีสีหน้ายากจะเชื่อได้ปรากฏอยู่บนใบหน้า
‘นี่มันถูกมนุษย์ธรรมดายิงจริง ๆ หรือนี่?’
ก่อนที่หลังจากนั้น ลมหายใจสุดท้ายของมันจะถูกปล่อยออกมา พยัคฆ์ตัวใหญ่ตายด้วยสีหน้าไม่ยินยอมรับความแพ้และยากจะเชื่อลงได้
“ท่านผู้เฒ่าขอรับ เป็นอันใดมากหรือไม่?”
หลี่จิ่วเต้ารีบรุดไปที่ข้างกายชายชรา ก่อนจะช่วยเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านวิ่งไปมาในเนินเขาเขียวได้อย่างไร เนินเขาเขียวแห่งนี้มีแต่สัตว์ร้ายนะขอรับ”
*[1] ตีเหล็กตอนร้อน หมายถึง ให้รีบตัดสินใจทำสิ่งที่มีประโยชน์เมื่อยังมีโอกาส