โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

สัญญาณฟ้าสางที่ประเทศเมียนมา

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 09 ส.ค. เวลา 19.45 น. • เผยแพร่ 03 ส.ค. เวลา 22.00 น.

สัญญาณฟ้าสางที่ประเทศเมียนมา คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เข้าสู่วันที่ 1 สิงหาคมซึ่งเป็นเดือนที่ 8 ของปีนี้ รัฐบาลเมียนมาได้ส่งสัญญาณออกมาค่อนข้างจะชัดเจนว่า “ท้องฟ้าในเมียนมากำลังเริ่มสาง” แล้ว เห็นได้จากการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มรัฐบาลทหาร จากเดิมที่เรียกว่าสภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council:SAC) มาเป็นคณะกรรมาธิการความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ (State Security and Peace Commission:SSPC) หรือ “คณะกรรมาธิการความมั่นคงและสันติภาพแห่งชาติ” ก็น่าจะสวยงามกว่านะครับ ซึ่งประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้และรักษาการประธานาธิบดี ก็ยังคงเป็นท่านพลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย ดำรงตำแหน่งอยู่ แต่ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีท่าน อู โญ ซอ (U Nyo Saw) ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ควบรัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนแห่งชาติด้วย

นอกจากนี้ยังได้ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกหรือภาวะฉุกเฉิน และมีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญๆ อีกหลายตำแหน่ง นอกเหนือจากท่าน U Nyo Saw ที่เป็นอดีตผู้บริหารธุรกิจของกลุ่มธุรกิจของกองทัพ ซึ่งหลังจากที่ท่านได้เกษียณจากตำแหน่งจเรทหารบกของกองทัพบกในปี 2020 ท่านเป็นประธานกลุ่มบริษัท Myanmar Economic Corperation : MEC และตำแหน่งสำคัญของ Myanmar Economic Holdings Ltd : MEHL และผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร Inwa Bank ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินการธนาคาร และทางด้านการบริหารที่มือฉกาจมาก ที่ไว้วางใจได้ของท่านพลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย เป็นอย่างดียิ่งทีเดียวครับ

ยังมีรัฐมนตรีที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ในการนี้อีกหลายท่าน ซึ่งก็เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เช่น ท่านรัฐมนตรี Dr.Daw Wah Wah Maung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในประวัติการทำงานของท่าน ท่านได้ผ่านงานด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปและตำแหน่งหัวหน้าคณะการทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์อาเชียน (Asean Geoeconomics Task Force:AGTF) ซึ่งถือว่าเป็นหญิงแกร่งมือฉกาจ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของเมียนมา อีกทั้งยังเคยเป็นผู้นำทีมของประเทศเมียนมา ในการเข้าประชุม SEOM ของกลุ่มประเทศอาเชียน และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับสถิติและการพัฒนาในระดับโลกหลายครั้งทีเดียว

ยังมีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คนใหม่ที่ย้ายมาจากกระทรวงแรงงาน นั่นคือท่าน Chit Swe ท่านนี้เคยเป็นเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ในยุคของรัฐบาลท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ จันทร์โอชา มาก่อน ผมเชื่อว่าเมื่อท่านเข้ารับตำแหน่งนี้ รัฐบาลไทยน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอย่างยิ่งครับ

ยังมีอีกท่านหนึ่งที่น่าสนใจ คือท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่าน Dr.Kan Zaw ที่มาจากสายตรงเศรษฐศาสตร์ เพราะท่านเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย นั่นคือ สถาบันเศรษฐศาสตร์ย่างกุ้ง (Yangon Institute of Economices) โดยมีตำแหน่งถึงอธิการบดีของสถาบันนี้มาก่อนที่จะถูกเชิญเข้าทำงานทางด้านการเมือง โดยท่านเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจมาก่อนจะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังครับ

จะเห็นว่าการวางหมากของพลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย ในครั้งใหม่นี้ น่าจะมีนัยสำคัญจากฉากทัศน์ใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิยุทธศาสตร์และมหาอำนาจสามเส้าตามแนวคิดที่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศเมียนมา เข้ากับภูมิยุทธศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และมีเหตุมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคตอย่างยิ่งยวดครับ เพราะการที่ พลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย ตัดสินใจวางคนที่เชี่ยวชาญด้านบริหารและเศรษฐศาสตร์เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ ผมคิดว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้น แต่อาจมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอิทธิพลจากมหาอำนาจต่างๆ ด้วย

วันนี้ผมอยากให้เราลองมาคิดดูและมองไปที่มหาอำนาจรายแรกก่อน นั่นคือ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เราต้องยอมรับว่าบทบาทสำคัญของประเทศเมียนมาที่มีต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันนี้ เมียนมาเป็นประเทศที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อจีนอย่างยิ่ง โดยประตูทางออกสู่ทะเลของจีนผ่านประเทศเมียนมา เป็นเส้นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean)ที่สำคัญ โดยผ่านโครงการ China-Myanmar Economic Corridor (CMEC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความต้องการให้เมียนมามีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อให้การลงทุนมหาศาลของตนในโครงการต่างๆ เช่น

ท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอ่าวเบงกอล มายังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนฝากฝั่งตะวันตก และโครงการท่าเรือน้ำลึกจ้าวผิ่ว (Kyaukpyu) ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นการแต่งตั้งผู้นำที่เน้นการบริหารและเศรษฐกิจของเมียนมา อาจเป็นสัญญาณที่ส่งไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า รัฐบาลเมียนมาจะให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และรับประกันความต่อเนื่องของโครงการลงทุนจากจีน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ได้

ทางด้านมหาอำนาจที่สอง สหรัฐอเมริกา (United States) หากเรามองท่าทีของสหรัฐฯที่ผ่านๆ มาต่อเมียนมา เราจะเห็นว่าสหรัฐฯมักจะมีจุดยืนที่ชัดเจน ในการประณามการรัฐประหารและพยายามโดดเดี่ยวรัฐบาลทหารของเมียนมา ผ่านการแทรกแซงหรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ว่าเมียนมาจะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว และยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แต่ครั้งนี้ความรุนแรงของผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ เมียนมาก็ได้รับผลค่อนข้างรุนแรง จนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ และปัญหาอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง

ดังนั้นการแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ อาจเป็นความพยายามของรัฐบาลทหารเมียนมา ในการแสดงให้เห็นว่า พวกเขากำลังพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการรับมือกับแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแทรกแซงจากสหรัฐฯและพันธมิตร หรืออย่างน้อยก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จากนโยบายภาษีของทรัมป์ก็เป็นไปได้ครับ

ทางด้านมหาอำนาจประเทศที่สาม คือประเทศรัสเซีย (Russia) รัสเซียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างแข็งขัน ทั้งในด้านการทหารและทางการทูต โดยเป็นแหล่งจัดหาอาวุธและเทคโนโลยีทางการทหารที่สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับรัสเซียเป็นไปในเชิงยุทธศาสตร์ โดยประเทศเมียนมาต้องพึ่งพาประเทศรัสเซีย เพื่อรักษาอำนาจทางการทหาร และถ่วงดุลอำนาจจากมหาอำนาจอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของเมียนมาในครั้งนี้ อาจไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ทางทหารกับรัสเซีย แต่การที่ผู้นำคนใหม่เป็นสายเศรษฐกิจ อาจเป็นสัญญาณว่าประเทศเมียนมา มีความต้องการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัสเซียมากขึ้น นอกเหนือจากเรื่องการทหาร เพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่ และลดการพึ่งพาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมากเกินไป ซึ่งก็เป็นการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจทีเดียวครับ

การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเมียนมาในครั้งนี้ ในมุมมองของผมจึงไม่น่าจะใช่แค่การปรับปรุงภายใน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อการเลือกตั้ง ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเท่านั้น แต่เป็นการปรับหมากรุกทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนจากมหาอำนาจต่างๆ ที่กำลังปรับเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศกันอยู่ เพราะว่ามหาอำนาจทั้งสามประเทศที่ผมกล่าวมา ล้วนให้ความสำคัญต่อประเทศเมียนมาทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เมียนมาจะต้องมีการสร้างความมั่นใจว่าการลงทุนทางเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไป หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เมียนมาจะต้องมีการแสดงออกถึงความพยายามในการแก้ปัญหาภายใน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากการคว่ำบาตร แม้ลึกๆ อาจจะมีเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา เช่น แร่ธาตุหนักที่หายาก (HREs) การวางหมากกลทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของสหรัฐฯมาตลอด

สุดท้ายก็ประเทศรัสเซีย ที่เมียนมาต้องการรักษาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และอาจเปิดโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้นการที่ พลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย วางคนที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเข้ามาบริหารประเทศ จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่มีความฉลาดหลักแหลมในการรักษาดุลอำนาจ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศและกองทัพ ในขณะที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากทั่วทุกทิศทางครับ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...