โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘พิชัย’ แจงเลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นศก. หลังถกขันน็อตใช้งบ 1.57 แสนล.ไม่จบ!

ไทยโพสต์

อัพเดต 10 มิ.ย. เวลา 14.56 น. • เผยแพร่ 10 มิ.ย. เวลา 07.56 น.

เลื่อนไปก่อน! 'พิชัย' แจงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเลี่ยนประชุม เหตุคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเคลียร์แผนใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทไม่จบ หลังหน่วยงานส่งคำขอบาน 4 แสนล้านบาท ยันต้องพิจารณาอย่างโปร่งใส โครงการต่ำกว่า 5 แสนบาทโดนเททันที ด้าน 'จุลพันธ์' ประเมินไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยอ่วมเต็มที่

10 มิ.ย. 2568 - นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะมีการเลื่อนประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ออกไปก่อน จากเดิมมีกำหนดประชุมในวันที่ 11 มิ.ย. 2568 เนื่องจากยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทให้เรียบร้อยก่อน โดยหลักการใช้จ่ายเม็ดเงินในส่วนนี้จะต้องทำให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องมาพิจารณาอย่างละเอียดว่าแต่ละโครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือหน่วยงานจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ หลังจากได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วจึงค่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป

“เรื่องนี้เราจะไม่รีบร้อน เพราะเงินพวกนี้จะต้องใช้ให้ถูกต้อง ผมดูมาเบื้องต้น อะไรที่เขาเสนอมาแล้วไม่อยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็น ก็ต้องให้เขากลับไปทบทวน” นายพิชัย กล่าว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้มีคำขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เข้ามาแล้วเป็นหลักหมื่นโครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 แสนกว่าล้านบาท มีทั้งคำขอในส่วนของโครงการลงทุนเกี่ยวกับถนน น้ำ ท้องถิ่นและต่าง ๆ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะต้องมาตีกรอบเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกัน เช่น เรื่องน้ำ อาจจะพิจารณาสำหรับพื้นที่ที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้ว เรื่องถนน ต้องตอบโจทย์ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

ขณะเดียวกันโครงการลงทุนที่ต่ำกว่า 5 แสนบาทจะตัดทิ้งทันที เพราะโครงการที่ม่ีขนาดดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่ได้เป็นการ e-bidding เนื่องจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้การใช้จ่ายเม็ดเงินมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะงบประมาณส่วนนี้ถูกจับจ้องอย่างมาก ดังนั้นโครงการที่จะเข้ามาขอใช้เม็ดเงินจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความถูกต้องและเป็นโครงการที่มีความพร้อม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ครม. ในเรื่องสำคัญ คือ งบประมาณปี 2569, งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และงบกลางที่หลายส่วนงานมีคำขอใช้เข้ามา โดยกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่ให้เอื้อประโยชน์หรืออะไรต่าง ๆ และให้เป็นไปตามมมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า “การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้” และต้องอยู่ภายใต้ความเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องมานั่งสกรีนโครงการอย่างละเอียดมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม แนวทางการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท อาจจะไม่ได้ใช้ในสำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดก็ได้ อาจจะมีการจัดสรรบางส่วนไปเพื่อรองรับผลกระทบในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ รองรับโครงการจ้างงานต่าง ๆ โดยทั้งหมดจะต้องมาดูความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้งเกี่ยวกับกรอบแนวทางการดำเนินการว่าควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด และยอมรับว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะสรุปการจัดสรรเม็ดเงินออกเป็นล็อต ๆ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจสรุป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้มีการตัดสินใจชัดเจนใด ๆ ทั้งสิ้น

“เราปรับเปลี่ยนจากการแจกเงินหมื่นมาเป็นเรื่องนี้ เพื่อจะช่วยทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการลงทุน ซัพพลายเชนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดจะได้รับผลกระโยชน์ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจจะเกิดการหมุนเวียนหลาย ๆ รอบ แม้ว่าการเติมเงินจะมีข้อดี คือ เร็ว ใส่ลงปุ๊บมีผลทันที แต่การปรับมาเป็นการลงทุนมันมีการทอดเวลา เพราะต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานให้ความเห็นเข้ามา ครม.ก็รับฟังความเห็นและปรับฝิธีการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ส่วนงบ 1.57 แสนล้านบาท จะกระตุ้นจีดีพีได้เท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้สรุปว่าสุดท้ายจะเป็นงบประมาณเพื่อการลงทุนเท่าไหร่ หรือต้องเอาไปทำอย่างอื่นเท่าไหร่” นายจุลพันธ์ กล่าว

รมช.การคลัง กล่าวอีกว่า เบื้องต้นมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ีข่าวดีว่ามีความชัดเจนในเรื่องการนัดหมายการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งหากเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบก็อาจจะเบาบางลง

“ตอนนี้สถานการณ์ที่ต้องติดตามมี 2-3 อย่าง ทั้งเรื่องภาษีสหรัฐฯ ซึ่งที่น่าจะเริ่มชัดเจนแล้วคือเรื่องการเก็บภาษีศุลกากร 10% น่าจะมีอยู่ ส่วนการเจรจาที่เป็นโจทย์สำคัญของไทย คือ เราอย่าให้เสียเปรียบประเทศที่เป็นคู่ค้าหรือคู่แข่ง ต้องอยู่ในกติกาที่เรารับได้ จากปัจจุบันสถานการณ์ตอนนี้แทบจะฉีกข้อตกลงที่เป็นพหุพาคีทุกฉบับ ส่วน WTO ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป หมายความว่า ความเชื่อมั่นและความมั่นในในข้อตกลงระหว่างประเทศมันหายไป ตรงจุดนี้แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าต่อให้รัฐบาลทำดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ย่อมมีผลกระทบเชิงลงต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นระดับโลก ทุกประเทศได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่วนตอนนี้ที่เศรษฐกิจยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีปัจจัยเรื่องการเร่งส่งออก เร่งการผลิตเพื่อหลบเลี่ยงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” รมช.การคลัง ระบุ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...