โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่ช่วยปักชื่อประเทศไทยบนแผนที่โลกยุคหลังสงคราม ด้วยความงามของ ‘ผ้าไทย’ ในการตัดเย็บแบบกูตูริเยร์

Mirror Thailand

อัพเดต 04 พ.ย. เวลา 11.15 น. • เผยแพร่ 04 พ.ย. เวลา 11.15 น.
ภาพไฮไลต์

ในหนังสือ Power Dressing ของ Robb Young ที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์การแต่งกายของผู้นำสตรีและสุภาพสตรีหมายเลข 1 ทั่วโลก กล่าวไว้ว่า “อำนาจของการแต่งกายเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาจากมุมมองที่ว่ามันเป็นเรื่องบุคคลทางการเมือง ที่ตั้งใจจะสื่อสารผ่านภาพลักษณ์ภายนอกให้ผู้อื่นได้รับรู้ และการแต่งกายนี่เองที่กลายเป็นสิ่งที่สามารถสถาปนาอำนาจบางอย่างขึ้นมาได้ หรือแม้กระทั่งการรักษาไว้ซึ่งอำนาจ และปกครองผู้อื่น”

การที่ Margaret Thatcher เลือกสวมใส่ชุดสูทกระโปรงสีน้ำเงินสดท่ามกลางมวลหมู่นักการเมืองชายในสูทสีเข้ม หรือ Michlle Obama เลือกสวมเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์หลากหลายเชื้อชาติแต่เป็นอเมริกันบอร์น จึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม หรือรสนิยมส่วนตัว เฉกเช่นเดียวกันกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ หญิงสาวราชนิกูลที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระบรมราชินีของประเทศในวัยเพียง 18 ปี ที่ต้องตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปรวม 14 ประเทศ

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเพิ่งจะผ่านพ้นการเป็นประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม ฉลองพระองค์ทุกชุด ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องและกลายเป็นที่เล่าขานจึงไม่ใช่เพียงตัวเลือกเพื่อความสวยหรูเพียงเท่านั้น แต่ยังกลายมาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสายตาชาวโลกได้อีกด้วย

From Paris to Bangkok : ทำไมถึงต้องเป็น Pierre Balmain

โดยส่วนใหญ่แล้ว ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (พระอิสริยยศ ณ เวลานั้น) มีคุณหญิงอุไร ลืออำรุง ช่างตัดฉลองพระองค์ เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ แต่ในการเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศในครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะเป็นการเดินทางไปประเทศฝั่งตะวันตกที่มีกำหนดการเดินทางยาวนาน ที่สำคัญนี่เป็นการเดินทางครั้งสำคัญที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองอย่างชัดเจนในการจะ ‘โปรโมท’ ประเทศไทยที่กำลังบอบช้ำจากการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองสู่สายตาชาวโลกในฐานะประเทศที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี และความสง่างาม

ฉลองพระองค์ที่ก่อนหน้านั้นเป็นฉลองพระองค์ ‘อย่างไทย’ จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกาลเทศะและสภาพภูมิอากาศ นั่นจึงทำให้คุณหญิงอุไร ลืออำรุง ถวายคำแนะนำว่า ช่างไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมในการจัดหาฉลองพระองค์ในครั้งนี้ เนื่องจากช่างไทยยังไม่มีความชำนาญในการตัดเย็บเสื้อผ้าแพตเทิร์นแบบฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อโค้ตหรือถุงมือ รวมไปถึงการใช้วัตุดิบอย่างผ้าวูลหรือขนสัตว์ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ จึงถวายคำแนะนำให้หาช่างฝรั่งอย่างกูตูริเยร์จากฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะเชี่ยวชาญมากกว่า

ทางรัฐบาลไทยเองก็เห็นด้วยกับคำแนะนำนี้ และให้คำแนะนำว่า หรือจะเป็นห้องเสื้อ Christian Dior ซึ่งกำลังโด่งดังมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น จากสไตล์ New Look ที่ออกมาในช่วงปีค.ศ. 1947 แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้ที่มารับหน้าที่ในครั้งนี้ก็คือ Pierre Balmain กูตูริเยร์ชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักและเกือบจะเปิดห้องเสื้อร่วมกันกับคริสเตียน ดิออร์ ก่อนที่จะแยกกันก่อตั้งแบรนด์ของตนเองและโด่งดังด้วยกันทั้งคู่

แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าเหตุใดพระองค์จึงเลือก Pierre Balmain เพื่อมาสร้างสรรค์ฉลองพระองค์ในการเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศในครั้งนี้ มีเรื่องเล่าหนึ่งกล่าวว่า อาจเป็นเพราะความบังเอิญด้วยส่วนหนึ่ง

โดยในช่วงเวลานั้นปิแอร์ บัลแมง เดินทางจากออสเตรเลียเพื่อกลับไปฝรั่งเศส แต่ได้แวะที่กรุงเทพฯ ก่อน โดยที่กรุงเทพฯ เขารู้จักกับ Farncois Duhau de Berenx สถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งฟรังซัวส์ก็เป็นผู้กว้างขวาง รู้จักกับนักธุรกิจชาวต่างชาติและชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นก็คือ Jim Tompson ชาวอเมริกันผู้หลงใหลในผ้าไหมของไทย เขาจึงได้แนะนำปิแอร์ บัลแมงให้รู้จักกับจิม ทอมป์สัน และอีกหลายๆ คน

ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นฟรังซัวส์หรือจิม ทอมป์สัน นี่เองที่แนะนำปิแอร์ บัลแมง ให้รู้จักกับคุณหญิงอุไร ลืออำรุง และทำให้คุณหญิงอุไร ลืออำรุง แนะนำชื่อปิแอร์ บัลแมงให้แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จนสุดท้ายเป็นปิแอร์ บัลแมง นี่เองที่ได้รับเลือกให้มาสร้างสรรค์ฉลองพระองค์ในการเดินทางครั้งนี้

ในสมัยนั้น บุคคลระดับประเทศ ทั้งราชวงศ์และสตรีหมายเลขหนึ่ง มักจะใช้เสื้อผ้าแบบสั่งตัดพิเศษจากดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงในประเทศ นัยหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึง ‘ของดี’ ของประเทศตัวเอง ร่วมกับการใช้เสื้อผ้าจากการสั่งตัดพิเศษจากดีไซเนอร์ระดับโลกร่วมด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นระดับโลก โดยเฉพาะดีไซเนอร์ฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางแฟชั่นงานกูตูร์ของโลกในช่วงเวลานั้น ดังเช่น Jacqueline Kennedy ซึ่งใช้เสื้อผ้าของ Oleg Cassini หรือ Halston ดีไซเนอร์ในประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้ Hubert de Givenchy กูตูริเยร์ชาวฝรั่งเศสทำเสื้อผ้าให้เช่นเดียวกัน

นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว การเลือกปิแอร์ บัลแมง ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ยังอาจจะมาจากสไตล์การออกแบบที่หรูหราและเรียบง่าย ซึ่งไปกันได้ดีกับรสนิยมส่วนพระองค์อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงเวลานั้น ปิแอร์ บัลแมง เองก็ถือเป็นดีไซเนอร์ที่กำลังมีชื่อเสียงไปทั่วโลกทั้งจากการเปิดช็อปแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 1951 และเริ่มที่จะทำเสื้อผ้าให้กับคนดังระดับโลกทั้ง Mae West, Vivien Leigh, Brigitte Bardot ในหนังเรื่อง God Created Woman ในปี 1956 รวมถึง Marlene Dietrich และ Katherine Hepburn และไม่ใช่แค่ดาราฮอลลีวูดเท่านั้น ยังรวมไปถึงชนชั้นสูงอย่าง Lady Gladwyn ด้วยชุดกระโปรงเกาะอกลายดอกไม้สวยหวานในงานเลี้ยงต้อนรับสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ฝรั่งเศสในปี 1957

ปิแอร์ บัลแมง จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ชื่อและผลงานของเขาเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในประเทศที่กำลังจะเสด็จพระราชดำเนินไป การสวมใส่ฉลองพระองค์ที่ออกแบบโดยปิแอร์ บัลแมง จึงอาจจะทำให้ฉลองพระองค์มีเรื่องราวเล่าขานได้มากกว่าเพียงแค่ความงดงามหรูหรา อีกทั้งผลงานคอลเลกชั่นแรกของเขายังมีการผสมผสานสไตล์จากตะวันออกและมีการใช้ผ้าไหมในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงได้รับเลือกจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์มาเป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บฉลองพระองค์เพื่อใช้ในการเสด็จเยือนต่างประเทศในครั้งนี้ โดยหลังจากนั้นเมื่อได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการ ในปีค.ศ. 1959 ปิแอร์ บัลแมง ก็ได้เดินทางกลับมายังกรุงเทพฯ เพื่อเข้าพบสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์และเริ่มออกแบบฉลองพระองค์

เมื่อ ‘ผ้าไทย’ พบกับการตัดเย็บแบบงานกูตูร์ฝรั่งเศส

ในขณะที่บุคคลระดับประเทศใช้ทั้งดีไซเนอร์ในประเทศเพื่อแสดงให้เห็นถึงของดีของประเทศตนเอง และดีไซเนอร์ระดับโลกเพื่อบ่งบอกถึง ‘สเตตัส’ และความพิเศษที่มากขึ้นไปอีก แต่ในการสร้างสรรค์ฉลองกระองค์ครั้งนี้ใช้เพียงดีไซเนอร์ระดับโลกด้วยเหตุผลเชิงช่างในการตัดเย็บดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะละทิ้งการนำเอา ‘ของดีของประเทศตนเอง’ ไปนำเสนอต่อสายตาชาวโลก แต่กลับใช้กลวิธีที่แยบยลมากกว่านั้นด้วยการผสมผสานในแบบ East Meets West กับการใช้วัตถุดิบของไทยนั่นก็คือผ้าไหมมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งานแฟชั่นกูตูร์ด้วยรูปทรงและงานตัดเย็บในแบบตะวันตก

สำหรับชุดกลางวัน ใช้ผ้าไหมไทยเป็นหลัก โดยคาดว่าน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากจิม ทอมป์สัน ในการจัดหาผ้าไหมให้ โดยคงคอนเซ็ปต์ ‘หรูหราและเรียบง่าย’ ด้วยรูปแบบชุดกระโปรงมาพร้อมเสื้อตัวในและเสื้อคลุมตัวนอก เดรสโค้ต หรือชุดกระโปรงทรงตรงที่มาพร้อมเสื้อโค้ต โดดเด่นด้วยการใช้ผ้าไหมสีสด ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง ส้ม เขียว แอบซ่อนงานฝีมือในแบบกูตูร์ไว้ด้วยการปักเป็นลวดลายดอกไม้ไว้ที่ซับในของตัวเสื้อ หรือมีการใช้ผ้าซับในคนละสีเพื่อสร้างความโดดเด่นในแบบงานตัดเย็บชั้นสูง

ในส่วนของชุดค็อกเทลเดรสนั้น ส่วนหนึ่งมาจากคอลเลกชั่น Spring 1960 ของแบรนด์ Pierre Balmain ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดกระโปรงสั้นผ้าลูกไม้ เนื่องจากในช่วงยุค 1960s นั้นนิยมใช้ผ้าลูกไม้มาทำค็อกเทลเดรส ความโดดเด่นของงานออกแบบในครั้งนี้อยู่ที่ชุดสำหรับงานกลางคืน หรืออีฟนิ่งเดรส ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างไทยและตะวันตกได้อย่างลงตัว ในหลากหลายชุด ปิแอร์ มัลแมง ใช้ผ้าไหมไทยในการสร้างสรรค์ชุดกระโปรงหรูหราในซิลูเอต์แบบชุดฝรั่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสไตล์เสื้อผ้าในยุคศตวรรษที่ 18 ของตะวันตก

โดยปิแอร์ บัลแมงใช้ทั้งผ้าทอลายแบบไทยที่เรียกว่าผ้ายกผสมผสานกับผ้าไหมสีพื้นของไทยมาตัดเย็บเป็นเดรสในสไตล์ตะวันตก ซึ่งทำให้ดูแปลกตาและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนและไม่เหมือนใคร และในส่วนที่ใช้ผ้าจากต่างประเทศ เช่น ซิลค์เครป ก็ใช้การปักลวดลายท่ีมีกลิ่นอายของไทย เช่น ลวดลายดอกไม้ ซึ่งเป็นงานฝีมือชั้นสูงของ House of Lesage สถาบันช่างงานปักแบบโอต์กูตูร์ของฝรั่งเศส ที่มีมาตั้งแต่ปี 1924 ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในงานช่างฝีมือที่ Chanel อุปถัมภ์ไว้และทำงานแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับ Chanel

และ Lesage นี่เองที่เป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญไม่แพ้ปิแอร์ บัลแมง ที่ทำให้ ‘ความเป็นไทย’ เฉิดฉายอย่างงดงามในระดับสากล โดยในส่วนของชุดอีฟนิ่งเดรส นอกจากซิลูเอตต์ชุดสไตล์ ‘ฝรั่ง’ แล้ว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ยังมีพระราชประสงค์จะสวมใส่ฉลองพระองค์ในรูปแบบชุดไทยประจำชาติในรูปแบบชุดอีฟนิ่งเดรส หรือชุดราตรีอีกด้วย และนั่นก็นำมาซึ่งการสร้างสรรค์และหลอมรวมความเป็นไทยและความเป็นสากลเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ

โดยในบางลุค ปิแอร์ บัลแมง ได้นำชุดไทยมาประยุกต์ เปลี่ยนจากสไบเป็นเคป และใช้งานปักของ Lesage ช่วยสร้างมิติและความหรูหราลงบนผ้าลายไทยให้โดดเด่นและสวยงามมากยิ่งขึ้น ดังเช่นชุดไทยที่สวมใส่เมื่อครั้งเสด็จไปเยือนออสเตรเลียในปี 1964 หรือชุดไทยสีเงินยวงที่ปักด้วยปล้องเงินและคริสตัลทั้งตัวที่สวมใส่เมื่อครั้งเสด็จไปอิหร่านในปี 1967 ไม่เพียงแค่นั้นปิแอร์ บัลแมง ยังนำเอาผ้าไหมทอลายไม่ว่าจะเป็นลายขิต หรือไหมมัดหมี่ มาใช้สร้างเป็นชุดราตรีพร้อมการปักประดับของ Lesage ที่สวยงามโดดเด่นและมีเอกลักษณ์อย่างไทยในรูปแบบเสื้อผ้าสากลได้ลงลงตัว

ฉลองพระองค์ทั้งหมดที่ได้รับการกล่าวขานยกย่องมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความงดงามหรูหราในฐานะชิ้นงานแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์ซึ่งมาจากการปรึกษาหารือและทำงานร่วมกันระหว่างสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และปิแอร์ บัลแมง ที่นำเอา ‘ความเป็นชาติไทย’ อันแสดงผ่านผ้าไหม ซึ่งในขณะนั้นอาจจะยังไม่ชัดเจน และยังไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับโลก มาใช้อย่าง ‘ทัดเทียม’ ในระดับสากล ทั้งด้วยการใช้ดีไซเนอร์ระดับโลกในการออกแบบ ทั้งการใช้วัตถุดิบผ้าไหมไทยสร้างสรรค์ชุดที่เป็น ‘สากล’ หรือการใช้ ‘ชุดไทย’ สวมใส่ในแบบอีฟนิ่งเดรส อันเป็นการประกาศก้องให้เห็นว่าความเป็นไทยสามารถอยู่ในระดับสากลได้อย่างไม่อายใคร

จะเห็นได้ว่า ‘แฟชั่น’ ได้กลายมาเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้คนทั้งโลกประทับใจและอยากรู้จักราชินีจากประเทศเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกท่ีห่างไกล ที่แทบไม่เป็นที่รู้จักในแผนที่โลก ณ เวลานั้น ทุกการปรากฏตัวของพระองค์ กลายเป็นภาพข่าวในสื่อระดับโลกในแทบทุกประะเทศที่เสด็จเยือนในฐานะ Best Dressed เทียบเคียงกับสตรีที่เป็นที่รู้จักระดับโลก ณ ช่วงเวลานั้นอย่างแจ็กเกอลีน เคเนดี้ ทั้งใน LIFE Magazine ในปี 1962 หรือในนิตยสาร Vogue อเมริกันในปี 1960 นิตยสารฝรั่งเศสอย่าง Point de Vue นิตยสารเยอรมนี อย่าง Bunte และ Neue Post หรือนิตยสาร Women’s Wear Weekly ของออสเตรเลีย

ตำนานของฉลองพระองค์แต่ละชุดจากการเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศในช่วงปี 1960 ซึ่งได้ดีไซเนอร์ระดับโลกอย่างปิแอร์ บัลแมง มาเป็นผู้อออกแบบสร้างสรรค์ ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นงานศิลปะจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ และแสดงให้เห็นถึงความงดงามหรูหราในเชิงงานออกแบบแล้ว สิ่งนี้ยังเป็นดั่งอาวุธที่พระองค์ใช้ต่อสู้บนเวทีโลก ในยามที่โลกใบนี้อาจจะยังไม่มีใครรู้จักว่า ‘ไทยแลนด์’ ตั้งอยู่ที่ไหนในแผนที่โลก และเป็นดั่งประตูที่เปิดให้ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจ ‘ไทยแลนด์’ ผ่านความเลอค่าของฉลองพระองค์ที่สวมใส่โดยราชินีที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง

อ้างอิง

https://artsandculture.google.com/story/SgVRA6Wcte14LA

https://thepinklookbook.com/pierre-balmains-designs-for-queen-sirikit-of-thailand/

https://us.balmain.com/en/experience/house-foundations-the-first-balmain-show?srsltid=AfmBOooYmu1ckHAtEW7Kl2YYq_rhRHKjH39FQUpvdYCSwrCKlhyiyBS6

https://www.vam.ac.uk/articles/my-years-and-seasons-by-pierre-balmain?srsltid=AfmBOoq2DX9knZ0NgyjwGEOnhNM0zQDoRsC_atECejCrgTy3oq5Ryn0n

บทความต้นฉบับได้ที่ : ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่ช่วยปักชื่อประเทศไทยบนแผนที่โลกยุคหลังสงคราม ด้วยความงามของ ‘ผ้าไทย’ ในการตัดเย็บแบบกูตูริเยร์

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...