“หญิง รฐา” เล่านาทีเจอเนื้องอก 6 ซม. และเกือบเสียคนรัก “ตุลย์” กลางเขาเพราะภาวะกล้ามเนื้อสลาย!
ทุกคู่รักมีจุดเปลี่ยน “หญิง รฐา – ตุลย์ ตุลยเทพ” กับเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่าชีวิตสำคัญกว่าเวลา สุขภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เริ่มจากตรวจพบเนื้องอก 6 ซม.ที่โตขึ้นเรื่อยๆ และสัญญาณอันตรายอุบัติเหตุกล้ามเนื้อสลายของแฟนหนุ่ม คือเหตุการณ์จริงที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจรักชีวิตใหม่แบบจริงจังที่สุด ด้วยวิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้อง ในรายการ Glow On แบบจัดเต็ม
หญิง เผยว่า "ตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงปัจจุบัน ก็มีเรื่องของการออกกำลังกายในเรื่องของการเต้นหรืออะไรมาตลอด หมายถึงช่วงสักประมาณ 15 ปีในวงการที่เรายังต้องเต้นยังต้องออกกำลัง มีบางช่วงที่ไปเข้าฟิตเนสบ้าง ไปปั่นจักรยานอะไรตามเทรนด์ทั่วไปในยุคนั้นก็ทำมาหมด จนกระทั่งเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้วได้มารู้จักกับพี่ตุลย์ จริง ๆ รู้จักกันมา 15 ปีแล้ว แต่ว่า 8 ปีที่แล้ว เป็น Timing ที่ได้กลับมาคุยกันจริง ๆ ในฐานะแฟน เขาก็เหมือนเห็นเราออกกำลังกายแบบในยิมในอะไรเยอะ ก็รู้สึกว่าเราโดนแดดน้อย เขารู้สึกว่าเราน่าจะต้องออกกำลังกายที่ไปเจอแดดไปคาร์ดิโอ ไปช่วยในเรื่องของหัวใจ เรื่องของการเต้นกับการวิ่งหรือการทำให้มันต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 40 นาทีแบบไม่หยุด ทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้นนะ เราก็เริ่มมาสนใจเรื่องของการวิ่งก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่พาเราเข้าวงการนี้ คบกันมาได้สัก 3 ปี แม่น้อยก็อยากให้เราฝากไข่ ก็ไปเข้า process ของการฝากไข่ก็บังเอิญว่าได้เจอเนื้องอก แต่ว่าเนื้องอกไม่ได้อยู่ในมดลูก เนื้องอกมีฐานอยู่ในมดลูก แต่ตัวเนื้องอกที่งอกออกมาดันลำไส้ข้างนอก ตอนนั้นไซซ์มันประมาณ 6 ซม. ได้"
"ตอนแรกก็คิดว่าจะผ่าเลยดีไหม แต่ในมุมของพี่ตุลย์เขาก็รู้สึกว่าการผ่าน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เราลองใช้ชีวิต หาวิธีการทำให้มันหยุดโต หรือทำให้มันเล็กลงด้วยการใช้ชีวิตก่อนไหม ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้เริ่มมาสนใจในเรื่องของการออกกำลังกาย การทาน การควบคุมไขมัน เพราะว่าเราตรวจสุขภาพทุกปี ไขมันพี่สูงทุกปี ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักบางทีบางปีก็ผอมกว่าเดิม ก็เลยรู้สึกว่าอันนี้มันน่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพภายในที่อาจจะต้องมาดูแลอย่างจริงจัง มันก็เลยเป็นจุดที่เริ่มรู้สึกกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการอยากออกกำลังเพื่ออยากให้ดูดี ก็มา concentrate ในเรื่องของออกแล้วมันเป็นยังไง คาร์ดิโอกี่วัน แล้วควรจะมีในวันที่เรา recovery กี่วัน ในเวลาเดียวกันเราควรจะมีการออกกำลังกายที่ช่วยในเรื่องของฮอร์โมนและความรู้สึกไหม เพราะว่าความเครียดเป็นจุดเริ่มต้นเหมือนกัน ในเรื่องของการที่ทำให้เซลล์เราไปเติบโตผิดที่ ก็คือเหมือนกับทำให้เราอาจจะเป็นต้นเหตุของการมีเนื้องอก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในวัยเด็ก เราเครียดจริง ๆ หมายถึงทำงานมาเยอะมากจริง ๆ ก็อาจจะมีบางบางช่วงเวลาที่จะไปทำให้เซลล์เราเติบโตผิดรูปแบบเกินไป เพราะความเครียดมันมีผลอยู่แล้ว แต่ว่าก็มี goal ว่าถ้าวันหนึ่งมันโตมากจริง ๆ เหมือนร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นสมองหรือว่าบริเวณอุ้งเชิงกรานของเรา มันก็จะมี place ที่มันสามารถมี pressure อยู่ได้ประมาณหนึ่ง การที่เรามีเนื้องอกในบริเวณนั้นมันโตขึ้น มันทำให้ pressure ความดันบริเวณนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไป ก็แค่เหมือนมอนิเตอร์ดูแล้ว ถ้าวันหนึ่งเรารู้สึกว่าต้องเอาออกก็คงผ่าเหมือนกัน แต่ว่า ณ วันนี้ก็ยังอยากลองวิธีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน"
หญิง เล่าต่อว่า "ตอนตรวจเจอ คิดมากอยู่แล้ว คือเป็นคนคิดเยอะ เป็นคนกลัว กังวล เครียด แต่ยิ่งเครียดมันก็ยิ่งไปโฟกัส ยิ่งเราไปโฟกัสมันเอาจริง ๆ มันโตขึ้นจริง ๆ นะ ปีแรกที่เจอพอ 2-3 ปีนั้นก็คือมันทำให้มีภาวะของความเครียด หรือการนอนไม่ดีขึ้นมาเลย แล้วพี่ก็อยู่กับมัน กับความรู้สึกนี้เป็นปีเลย ปี 2 ปีเลยที่รู้สึกว่าแบบเครียดอยู่กับมัน แล้วมันก็โตขึ้นมันไม่เล็กลง มันก็เพิ่มไซซ์เป็น 7 ซม. 8 ซม. 9 ซม. จนตอนนี้ติดอันดับ 10 กว่า แต่ก็ยังคงที่มาประมาณปีหนึ่งแล้ว ปี 2 ปีคงที่ขึ้นเพราะว่าพี่ว่าพี่เริ่มไม่ใส่ใจ เริ่มรู้สึกว่าอันนี้คิดเองเลยนะว่า ก็ขนาดนมเราผ่ามาอยู่ตรงนี้ ใหญ่กว่ามันอีก เรายังเอาของที่แปลกปลอมเข้ามาในร่างกายเลย สิ่งนี้มันเป็นของที่ที่เราเรียนแอนไทซ์ อาจารย์มาศบอกว่าจริง ๆ แล้วร่างกายเราป้องกัน คือสร้างเนื้องอกมา คือพยายามมองในด้าน positive ว่าป้องกัน ว่าเนื้องอกตรงนี้มาห่อหุ้มและดูแล ให้เหมือนเป็นอีกออร์แกน (Organ) หนึ่งในร่างกาย เพียงแต่ว่าถ้าวันหนึ่งมัน disturb จริง ๆ อย่างคุณหมอที่พี่มอนิเตอร์ ว่ามีเรื่องของเพราะมันเป็นดันลำไส้ การขับถ่ายไม่ดีหรือเปล่า ถ่ายไม่ออกหรือเปล่า หรือว่ามีในเรื่องของการปวดหรือเปล่า ซึ่งของพี่มันไม่ได้มีเรื่องของการปวด ไม่ได้มีเรื่องของประจำเดือนก็ปกติ ฮอร์โมนทุกอย่างปกติ ไม่ได้สวิงตรวจฮอร์โมนทุกอย่างแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งมันถึงวัยที่ฮอร์โมนมันจะน้อยลงไปเอง หมายถึงว่าฮอร์โมนเพศหญิงมันจะน้อยลงไปเอง เพราะพี่ก็ 42 แล้ว เลยคิดว่าจะรอให้ถึงช่วงที่ฮอร์โมนเพศมันน้อยลงแล้ว ดูว่า sizing มันเล็กลงไหม แต่มันคงไม่ได้เล็กลงแบบอะไรขนาดนั้น แต่ว่ามันคงเล็กลง แล้วค่อยผ่าตอนนั้นก็ได้"
ตุลย์ เผยว่า "ตอนรู้ว่าหญิงมีเนื้องอก ไม่ตกใจครับ เคยอ่านมาว่าเนื้องอกกับผู้หญิงเป็นเหมือนเป็นสิ่งที่ปกติ คือเรียกว่าผู้หญิงหลายคนจะมีเนื้องอก ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ได้เป็นอันตราย แล้วก็อยู่ที่ว่าแต่ละคนก็คือ บางคนอาจจะเลือกปล่อยไว้ บางคนอาจจะผ่า บางคนอาจจะรอมีลูกก่อนแล้วผ่าพร้อมลูก ก็พยายามบอกคุยกับเขาบอกว่า ก็เดี๋ยวเรารอดู เราดูอาการเขาก่อนแล้วกันว่าเขาจะเป็นยังไง ส่วนผมเป็นคนชอบออกกำลังกายมากๆ มันเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น อายุของพี่ตอนนั้นก็คือเรียกว่าเป็น Midlife crisis ของถ้าในกีฬาไม่ว่าจะเป็นวิ่ง หรือไตรกีฬาอะไรพวกนี้ ถ้าเราไปดูอายุของผู้สมัครที่มาวิ่ง มันจะเป็น Bell curve อันนี้ก็คือแบบเด็ก 19 20 30 40 50 มันจะมาเบลตรงสูงสุดประมาณ 30 40 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่เหมือนคนจะออกกำลังกายเยอะที่สุด มันน่าจะมีสาเหตุว่า 1 เขาอาจจะเป็น Financial Stable แล้ว คือมีงานทำมีเงินเดือนก็เลยมีเวลามาใช้ชีวิต ซึ่งในช่วง 20 กว่าจะต้อง First jobber เพิ่งเรียนจบก็ต้องไปทำงานหาเงินไม่มีเวลา 40-50 บางคนอาจจะด้วยสุขภาพอาจจะไม่ไหวแล้ว ก็เลยไม่ได้เป็นช่วงที่แบบสูงสุด ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็คือเป็นช่วงที่เริ่ม ตอนนั้นก็ทำงานมาสักพักหนึ่งแล้วก็ออกกำลังกายโดยการเข้ายิม ก็เล่นแบบเป็นยกเวท คาร์ดิโอนิดหน่อย ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่าทำไมออกกำลังกายแล้วน้ำหนักมันไม่ลด ก็คือตัวหนา ยิ่งแบบไม่ลดน้ำหนักยกเวทตัวมันยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนพี่มีเพื่อนสวนกุหลาบ มันก็จะมีในกลุ่มใน Facebook ที่เป็นกลุ่มออกกำลังกาย ก็จะเป็นแก๊งวิ่ง แก๊งไตรกีฬา แล้วก็ไปออกกำลัง ไปแข่งมาแล้วก็ลงรูป พี่ก็เอออันนี้ก็น่าสนใจนะ หรือว่าเราอยากลองไปเจอเพื่อน ไปออกกำลังกายอย่างนี้บ้าง"
"มีเหตุการณ์เกือบตาย คือที่สุดของประสบการณ์ในการวิ่งตอนนั้น คือไปวิ่งเทรลที่มองบลังค์ (Mont Blanc) ก็คือรายการ UTMB แต่ว่าระยะ UTMB เขาจะมีหลายระยะปี 2019 ตอนนั้นไปวิ่งระยะ 171 กม. แต่ตอนนั้นไปวิ่งแล้วก็ไม่จบ วิ่งได้ 100 กม. ก็คือไม่ทันเวลา ก็คือเลิกตอนนั้น 24 ชม. ครึ่งมั้งเลยรู้และคราวนี้ 171 กม. อาจจะไม่ใช่สำหรับเรา เพราะตอนนั้นเราวิ่งได้ 100 กม. มันก็มีรายการเล็กลงมาก็คือวิ่ง 100 กม. เราก็เลยสมัครอันนั้นไป ว่าคราวนี้จบแน่นอน 100 กม. เขาให้เวลาถ้าจำไม่ผิด 26 ชม. 26 ชั่วโมงคือ cut off และคราวที่แล้วที่เราวิ่ง 20 เราวิ่ง 100 กม. 24 ชม. ก็เลยคิดว่าเราวิ่งเหมือนเดิมก็น่าจะจบได้ คราวนี้ไปถึง 50 กม. ตอนนั้นก็คือ 50 กม. แล้วก็แวะรู้สึกปวดฉี่ แวะปัสสาวะหน่อย แล้วก็ตอนนั้นมันกลางคืน ก็มีไฟ head lamp อยู่เราก็ยืนข้างทางหลบคนแล้วก็พอปัสสาวะออกมาไฟ head lamp ส่องปุ๊บสีก็คือเป็นสีน้ำชาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าโอเค เป็นเรื่องงานเข้าก็เลยคิดว่าจบแล้ว ไม่วิ่งต่อแล้ว แต่ว่าจากตรงนั้น 50 กม. มาจนถึงจุดเช็คพ์ที่ที่หญิงไปรอ ก็คือ 54 เหลือประมาณ 4 กม. ที่ต้อง ตรงนั้นก็คือเดินขึ้นเขา มาหยุดที่ check point แต่ตอนนั้นก็รู้แล้วว่าเราไม่สามารถออกกำลังกายได้แล้ว มันคือศึกษามาบ้างว่าอาการแบบนี้มันคือกล้ามเนื้อสลาย ตอนนั้นต้องระวังว่าแบบไม่หักโหมแล้ว มันคือการใช้กล้ามเนื้อหนักเกิน กล้ามเนื้อฉีก กล้ามเนื้อสลายพวกนี้ ก็เลยว่าค่อย ๆ ไปไม่เร่ง เหงื่อแทบไม่ออกเลยเพราะว่าเราเดินเบามาก แล้วก็พยายามดื่มน้ำ มีน้ำเท่าไหร่ก็ดื่ม แล้วก็ระหว่างทางเวลาขึ้นเขามันจะมีแบบเป็นลำธารเป็นก๊อก เขาจะมีอ่างให้รองแล้วก็แบบเติมน้ำคอยกินเรื่อย ๆ จนเดินขึ้นมาถึง check point เจอเขาก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว"
"ตอนนั้น อาการอื่นๆ ไม่มี คือมันแปลกมากว่า อันนี้คือหลังจากกลับมา พี่ก็ศึกษาว่าอาการกล้ามเนื้อสลายมันเป็นยังไง มันมีอะไรบ้าง เขาก็บอกว่า คือแล้วแต่คนอาการไม่เหมือนกัน โดยส่วนมากเขาจะบอกว่าเป็นแบบเจ็บกล้ามเนื้อ ตึงเป็นก้อน หรืออะไรพวกนี้ แต่พี่ตอนนั้นก็ไม่รู้สึก มันก็เหมือนรู้สึกตึง เหมือนการวิ่งทุกครั้ง เพราะเวลาขึ้นเขาแล้วลงเขามันก็กล้ามเนื้อเยอะ มันก็รู้สึกเจ็บ ที่อ่านมาบางคนบอกว่าเป็นตะคริวตอนนั้นก็ไม่ได้เป็นตะคริว ก็ไม่เป็นอะไร ก็ยังเดินแบบปกติเข้ามานั่งพัก พอเข้ามานั่งพักสักพักรู้สึกปวดฉี่ ก็เลยบอกเดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เดินไปหลัง check point เขาเอารถห้องน้ำมาตั้ง ก็ขึ้นไปฉี่ตอนนั้นก็โอเคฉี่ออกมา คราวนี้เป็นสีไวน์เลย ไวน์แดงแต่ไม่ได้แดงแบบเป็นเลือดมันก็แดง ๆ ม่วง ๆ ก็เลยกลับมาแล้วก็บอกว่าพาไปเต็นท์พยาบาลหน่อย อันนี้ไปถึงก็บอกพยาบาลพยาบาลก็โอเคนอนเลย ซึ่งเขาก็ไม่ได้ดูตกใจ จุดเปลี่ยนคือ ร่างกายมันเกิดความเสียหายแล้ว ตรงไตตรงอะไรพวกนี้ เราก็ต้องคอยระวังมากขึ้นกลับมา ก็มอนิเตอร์คือเช็คตรวจเลือด หมอไม่ได้สั่งแต่ก็ไปตรวจเอง แล้วก็จะมีน้องที่เป็นหมอที่วิ่งด้วยกันที่ Adidas ก็จะส่งผลไปถามเขา แบบค่าไปตรวจ CPK ว่าค่าตอนนี้มันเท่านี้เป็นอะไรบ้าง ซึ่งภาวะกล้ามเนื้อสลาย ความยากของมันคือเราไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนมันสลาย มันอาจจะเป็นขา กล้ามเนื้อขา มันอาจจะเป็นหัวใจ ซึ่งทุกอย่างพอสลายค่าพวกนี้มันก็โชว์เหมือนกัน เราจะไม่รู้ได้เลยว่ามันเป็นส่วนไหนสลายมา ต่อไปนี้ก็เบา ๆ ลง ปรึกษาน้องที่เป็นหมอเขาบอกว่าอย่าไปหักโหม ออกกำลังกายได้แต่ว่าไม่หนัก และก็ต้องใส่ใจกับการออกกำลังกายมากขึ้น การดื่มน้ำหรือการอะไรพวกนี้หลาย ๆ อย่างพักผ่อน"