โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ของขวัญจากห้วงอวกาศ กล้องเจมส์ เว็บบ์ เผยภาพกระจุกดาว Westerlund 2 อันตระการตา

SPACEMAN

อัพเดต 20 ธันวาคม 2568 เวลา 14.50 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • SPACEMAN มนุษย์อวกาศ

ส่งท้ายปี 2025 ด้วยความมหัศจรรย์จากห้วงลึกของจักรวาล เมื่อกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ ได้เผยภาพความละเอียดสูงของ "Westerlund 2" กระจุกดาวอายุน้อยที่ส่องประกายราวกับอัญมณีท่ามกลางหมู่เมฆก๊าซ

องค์การอวกาศยุโรป (ESA) และทีมงานกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (JWST) ร่วมเฉลิมฉลองวาระสุดท้ายของปี 2025 ด้วยการเปิดเผยภาพถ่าย "ภาพประจำเดือน" (Picture of the Month) สุดพิเศษ ซึ่งเป็นภาพของกระจุกดาว Westerlund 2 ที่ตั้งอยู่ใจกลางแหล่งอนุบาลดาวฤกษ์ขนาดมหึมานามว่า Gum 29 ห่างจากโลกออกไปประมาณ 20,000 ปีแสง ในทิศทางของกลุ่มดาวกระดูกงูเรือ (Carina) ภาพนี้ไม่เพียงแต่มีความสวยงามราวกับภาพวาด แต่ยังบรรจุข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับการกำเนิดของดาวฤกษ์และระบบดาวเคราะห์ไว้อย่างมหาศาล

ภาพอันน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานข้อมูลจากเครื่องมือหลักสองชิ้นบนกล้องเจมส์ เว็บบ์ ได้แก่ กล้องถ่ายภาพย่านอินฟราเรดใกล้ (NIRCam) และเครื่องมือย่านอินฟราเรดกลาง (MIRI) ซึ่งช่วยให้เรามองทะลุฝุ่นอวกาศอันหนาทึบเข้าไปเห็นใจกลางของกระจุกดาวที่มีขนาดกว้างประมาณ 6 ถึง 13 ปีแสงได้ กระจุกดาวแห่งนี้ถือเป็นแหล่งรวมตัวของดาวฤกษ์ที่ร้อนที่สุด สว่างที่สุด และมีมวลมากที่สุดในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2015 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลเคยบันทึกภาพกระจุกดาวนี้เพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีการปฏิบัติงานมาแล้ว แต่ในครั้งนี้ เจมส์ เว็บบ์ ได้เผยรายละเอียดที่ลึกซึ้งและคมชัดยิ่งกว่าเดิม

ในส่วนบนของภาพ เราจะเห็นกระจุกดาวที่ส่องแสงเจิดจ้าอัดแน่นไปด้วยดาวฤกษ์มวลมหึมาอายุน้อย พลังงานมหาศาลและรังสีที่รุนแรงจากดาวเหล่านี้เปรียบเสมือนลมพายุที่พัดพาและกัดเซาะก๊าซรอบข้าง จนเกิดเป็นโครงสร้างคล้ายกำแพงและกลุ่มเมฆสีส้มแดงที่บิดเบี้ยวสวยงาม หากสังเกตให้ดีจะพบดาวฤกษ์ดวงเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่เพิ่งเริ่มเปล่งแสงกระจายอยู่ทั่วไป บางดวงยังคงถูกห่อหุ้มด้วยดักแด้ของก๊าซและฝุ่นซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพวกมัน ขณะที่กลุ่มก๊าซเบาบางสีฟ้าและชมพูอ่อนที่ลอยฟุ้งอยู่นั้นคือส่วนประกอบของเนบิวลาที่กำลังเคลื่อนที่ไปตามแรงผลักดันจากพลังงานดวงดาว

สิ่งที่ทำให้นักดาราศาสตร์ตื่นเต้นที่สุดจากการสังเกตการณ์ครั้งนี้ คือการค้นพบประชากรของดาวแคระน้ำตาล (Brown Dwarf) เป็นจำนวนมากเป็นครั้งแรกในกระจุกดาวที่มีมวลมหาศาลเช่นนี้ โดยดาวแคระน้ำตาลเปรียบเสมือน "ดาวฤกษ์ที่ไม่สมบูรณ์" เนื่องจากมีมวลไม่มากพอที่จะจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันให้สว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ได้ โดยเจมส์ เว็บบ์ สามารถตรวจพบวัตถุที่มีมวลน้อยเพียง 10 เท่าของดาวพฤหัสบดีเท่านั้น นอกจากนี้ ข้อมูลยังเผยให้เห็นดาวฤกษ์อายุน้อยหลายร้อยดวงที่ยังมีจานฝุ่นล้อมรอบ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของดาวเคราะห์ในอนาคต

การศึกษาภายใต้โครงการ Extended Westerlund 1 and 2 Open Clusters Survey (EWOCS) นี้ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่า จานฝุ่นรอบดาวฤกษ์มีวิวัฒนาการอย่างไร และดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะก่อตัวขึ้นได้อย่างไรในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยรังสีรุนแรงจากดาวฤกษ์มวลมาก ถือเป็นก้าวสำคัญในการไขปริศนาเรื่องกำเนิดของระบบสุริยะและโลกของเราผ่านการเฝ้าสังเกตห้องแล็บธรรมชาติขนาดมหึมาในอวกาศแห่งนี้

ดาวแคระน้ำตาล กับ ดาวเคราะห์ ต่างกันอย่างไร?

แม้ในภาพถ่ายเราอาจเห็นวัตถุทรงกลมขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยก๊าซและพายุหมุนคล้ายกัน แต่จุดตัดสำคัญประการแรกคือ มวล (Mass) หรือน้ำหนักของวัตถุนั้น ๆ นักดาราศาสตร์กำหนดเกณฑ์คร่าว ๆ ว่า วัตถุที่จะถูกจัดว่าเป็นดาวแคระน้ำตาลจะต้องมีมวลระหว่าง 13 ถึง 80 เท่าของดาวพฤหัสบดี ตัวเลข $13$ เท่านี้ไม่ใช่ตัวเลขสุ่ม แต่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่แรงโน้มถ่วงจะบีบอัดแกนกลางจนเกิดความร้อนสูงพอที่จะจุดปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear Fusion) ของ ดิวเทอเรียม (Deuterium) หรือไอโซโทปหนักของไฮโดรเจนได้สำเร็จ

ในขณะที่ ดาวเคราะห์ มีมวลน้อยกว่าเกณฑ์ดังกล่าวมาก ทำให้แรงโน้มถ่วงไม่สามารถสร้างแรงบิดคั้นจนเกิดความร้อนเพียงพอที่จะจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ใด ๆ ได้เลย ดาวเคราะห์จึงเป็นวัตถุที่เย็นกว่าและไม่สามารถสร้างแสงสว่างในตัวเองได้มากพอที่จะส่องประกายเหมือนดวงดาว แต่จะสะท้อนแสงจากดาวฤกษ์ที่มันโคจรอยู่รอบ ๆ เป็นหลัก

ประเด็นถัดมาที่สำคัญไม่แพ้กันคือ กระบวนการถือกำเนิด ดาวแคระน้ำตาลมักถูกเรียกว่า "ดาวฤกษ์ที่ล้มเหลว" (Failed Stars) เพราะพวกมันเกิดจากการยุบตัวของกลุ่มก๊าซและฝุ่นอวกาศขนาดใหญ่ในลักษณะเดียวกับการเกิดของดวงอาทิตย์ แต่เผอิญว่ามีเนื้อสารไม่มากพอที่จะพาสภาวะไปถึงจุดการหลอมรวมไฮโดรเจนปกติเหมือนดาวฤกษ์ทั่วไป ส่วนดาวเคราะห์นั้นมักเกิดขึ้นจากเศษซากวัสดุที่หลงเหลือจากการก่อตัวของดาวฤกษ์แม่ ซึ่งรวมตัวกันขึ้นภายใน จานกำเนิดดาวเคราะห์ (Protoplanetary Disk) และพอกพูนมวลขึ้นจากระดับเล็กไปสู่ใหญ่

นอกจากนี้ ตำแหน่งที่อยู่ ยังเป็นตัวบ่งชี้ที่น่าสนใจ ตามคำนิยามดั้งเดิมของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) ดาวเคราะห์ต้องโคจรรอบดาวฤกษ์เสมอ แต่ดาวแคระน้ำตาลมีความเป็นอิสระมากกว่า พวกมันสามารถล่องลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในห้วงอวกาศโดยไม่ต้องมีพันธะกับดาวดวงใด หรืออาจอยู่รวมกันเป็นระบบดาวคู่ก็ได้ ซึ่งการศึกษาวัตถุก้ำกึ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจรอยต่อระหว่างดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง: European Space Agency

  • Webb captures dwarf stars in a glittering sky
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...