โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เวเนซุเอลาจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรูสหรัฐ

ไทยโพสต์

อัพเดต 27 ธ.ค. เวลา 20.43 น. • เผยแพร่ 27 ธ.ค. เวลา 17.03 น.

ความต้องการถอนอิทธิพลสหรัฐ เปลี่ยนเวเนซุเอลาจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ สังคมอยู่ในสภาพอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย ช่วยตัวเองไม่ได้

ความตึงเครียดระหว่างเวเนซุเอลากับสหรัฐเป็นที่จับตาของนานาชาติ 19 ธันวาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เป็นไปได้ที่จะทำสงครามกับเวเนซุเอลา

ก่อนหน้านั้นทรัมป์สั่ง CIA เริ่มปฏิบัติการลับในเวเนซุเอลา ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอาจเพื่อปฏิบัติการทางทหารขั้นต่อไป เข้าไปบ่อนทำลาย ปฏิบัติการสงครามจิตวิทยา หรือล้มรัฐบาล เป้าหมายสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่เรื่องปราบปรามยาเสพติด น่าจะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำมัน

ภาพ: สหรัฐกล่าวหารัฐบาลมาดูโรเป็นรัฐยาเสพติด

เครดิตภาพ: ปัญญาประดิษฐ์.

การที่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) ถูกสหรัฐตีตราว่าเกี่ยวข้องกับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ การที่สหรัฐเตรียมกองทัพ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันที่แล่นเข้าออก ชี้ว่าทรัมป์ต้องการเล่นงานจริงจัง ไม่หยุดง่ายๆ

ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เป็นการฉลาดหากผู้นำเวเนซุเอลาลงจากตำแหน่ง ทั้งนี้ผู้นำเวเนฯ ต้องตัดสินใจเอง อย่าให้สถานการณ์รุนแรงกว่านี้

พัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเวเนซุเอลานับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากพันธมิตรหลักในช่วงสงครามเย็น สู่การเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ ปัจจัยสำคัญคือผลประโยชน์ด้านทรัพยากร ความล้มเหลวของเสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยม ที่นำสู่กระแสประชานิยมสายปฏิวัติ นโยบายต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐ

พันธมิตรสหรัฐในสงครามเย็น:

ย้อนหลังการเป็นพันธมิตร มาจาก 2 เรื่องคือ น้ำมันกับคอมมิวนิสต์

1) น้ำมัน ในช่วงสงครามเย็น เวเนซุเอลาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกไม่แพ้ตะวันออกกลาง เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดแก่สหรัฐ บรรเทาปัญหาในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันหลายครั้ง (ช่วงที่ตะวันออกกลางไม่ขายน้ำมันให้สหรัฐ) บรรษัทน้ำมันสหรัฐลงทุนจำนวนมาก

ส่วนเวเนซุเอลาใช้รายได้จากน้ำมันพัฒนาประเทศ เป็นแหล่งรายได้หลัก

2) ร่วมต้านคอมมิวนิสต์ รัฐบาลสหรัฐพยายามสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ไม่ให้ขยายตัวในภูมิภาคลาตินอเมริกา ที่สหรัฐมองว่าเป็นสนามหลังบ้านของตน จึงพยายามเป็นมิตรกับรัฐบาลเวเนซุเอลาที่เป็นประชาธิปไตย (หลังปี 1958) ยกย่องว่าเป็น “โมเดลประชาธิปไตย” คานอำนาจกับระบอบคอมมิวนิสต์

การเปลี่ยนแปลงภายใน:

ระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มเมื่อปี 1958 ประสบความสำเร็จในการ “สร้างรากฐานและเสถียรภาพ” แก่สังคมระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดพบว่าล้มเหลวในการ “กระจายความมั่งคั่งและปรับตัวทางเศรษฐกิจ” ความล้มเหลวสะสมเปิดประตูให้ อูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) ก้าวสู่อำนาจในปี 1998 ด้วยนโยบายประชานิยมที่สัญญาว่าจะรื้อระบบเก่าทิ้งทั้งหมด ด้วยลัทธิโบลิเวียเรียน (Bolivarianism) ความไม่เท่าเทียม ความยากจน ที่มาจากการกดทับของชนชั้นนำทางการเมืองที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ เป็นจุดเริ่มของการปฏิวัติ ลัทธิโบลิเวียเรียนคือการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว

สังเกตว่าเสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยมไม่สร้างชาติเวเนซุเอลาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นนำของเวเนฯ ด้วย

ความล้มเหลวของรัฐบาลชาเวซ:

ชาเวซอาจเริ่มต้นด้วยความตั้งใจดี แต่ความตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ เมื่อเป็นรัฐบาลบริหารผิดพลาด ไม่ช่วยให้ประเทศดีขึ้นจริง ยกตัวอย่าง

1) นโยบายยึดกิจการมาเป็นของรัฐ

รัฐบาลชาเวซยึดที่ดินเกษตรกรรมกับโรงงานเอกชนจำนวนมากเข้าเป็นของรัฐตามแนวทางสังคมนิยม เมื่อรัฐเข้าบริหารแทนมืออาชีพเกิดปัญหาคอร์รัปชันมากมายและการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ที่ดินเกษตรกรรมที่เคยผลิตอาหารกลับกลายเป็นที่รกร้าง ผลผลิตลดลงอย่างมหาศาล (เช่น ข้าวและน้ำตาลลดลงกว่า 50% ในเวลาไม่กี่ปี)

2) นำเข้าทุกอย่าง ตั้งแต่แรกที่การส่งออกน้ำมันเฟื่องฟู รายได้หลักมาจากน้ำมันอย่างเดียว เงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศเยอะมาก ค่าเงินแข็งค่าอย่างรวดเร็ว สินค้าเกษตรกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศจึงมีราคาสูงจนสู้ตลาดโลกไม่ได้ สินค้านำเข้าถูกกว่ามาก

รัฐบาลจึงเน้น “นำเข้าสินค้าทุกชนิด” แทนการผลิตในประเทศ ภาคการเกษตรกับอุตสาหกรรมจึงไม่โต

3) รัฐสวัสดิการ รัฐบาลชาเวซดำเนินโครงการมิซิโอเนส (Bolivarian Missions) ใช้งบประมาณมหาศาลจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงในช่วงนั้น สร้างโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่ เช่น โครงการด้านสาธารณสุข โดยนำแพทย์หลายพันคนจากคิวบามาประจำการในคลินิกตามชุมชนแออัด โครงการรณรงค์การรู้หนังสือ โครงการร้านค้าอุดหนุนราคาอาหารและของใช้ที่จำเป็น

การให้สวัสดิการจำนวนมากสร้างคะแนนนิยม แต่รัฐสวัสดิการกับการพึ่งพาส่งออกน้ำมันกลายเป็น “กับดัก” ให้ประเทศไม่พัฒนา สังคมอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย รอรับความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว

การต่อต้านสหรัฐและมุมกลับ:

ในยุคที่น้ำมันกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์คือหัวใจความสัมพันธ์กับสหรัฐ ชาเวซมองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม ถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงตั้งปณิธานจะพาประเทศออกจากร่มเงาของมหาอำนาจ ยึดนโยบายต่อต้านสหรัฐเต็มกำลัง เรียกประธานาธิบดีบุชว่า 'ปีศาจ' ทั้งนี้ชาเวซไม่ได้สู้เพียงลำพัง ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่เหนียวแน่นทั่วลาตินอเมริกา ผนึกกำลังกับคิวบาและโบลิเวีย รวมถึงการดึงมหาอำนาจอย่างรัสเซียและอิหร่านเข้ามาเป็นแนวร่วมเพื่อคานอำนาจสหรัฐ

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด การต่อต้านสหรัฐยังเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ในมุมกลับกัน รัฐบาลสหรัฐต่อต้านชาเวซเต็มกำลังเช่นกัน เวเนฯ กลายเป็นอีกประเทศที่พลิกนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากพันธมิตรกลายเป็นปรปักษ์

เหตุทรัมป์ต้องจัดการมาดูโร:

ในสมัยทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐประกาศเหตุผลที่ต้องจัดการมาดูโร ดังนี้

1) เป็นรัฐยาเสพติด สหรัฐกล่าวหารัฐบาลของนิโกลัส มาดูโร ว่าเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็น “รัฐยาเสพติด” (Narco-state) ขึ้นบัญชีมาดูโรกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วยข้อหาร่วมกับกลุ่ม Cartel of the Suns ลักลอบขนโคเคนเข้าสู่สหรัฐ

2) รัฐบาลขาดความชอบธรรม สหรัฐกับพันธมิตรตะวันตกไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2024 ชี้ว่ามาดูโรสืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ปราบปรามคู่แข่งทางการเมืองอย่างรุนแรง

3) ยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน เวเนซุเอลามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก จึงตกเป็นเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ทรัมป์อ้างว่าเวเนซุเอลา “ขโมย” สินทรัพย์และน้ำมันที่ควรจะเป็นของสหรัฐ (ในแง่สัมปทานเดิมของบริษัทอเมริกัน) และต้องการทวงคืน

4) ปัญหาวิกฤตผู้อพยพ อ้างว่ารัฐบาลมาดูโรเป็นต้นเหตุวิกฤตผู้อพยพที่ทะลักเข้าสู่สหรัฐ

ไม่ว่าเหตุผลที่กล่าวมาถูกต้องชอบธรรมเพียงใด รัฐบาลสหรัฐเดินหน้าจัดการรัฐบาลมาดูโร นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า เป้าหมายคือล้มมาดูโร จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่เป็นมิตรกับสหรัฐ ให้บรรษัทน้ำมันอเมริกันเข้าครอบครองทรัพยากรน้ำมันเวเนฯ อีกครั้ง

เวเนซุเอลาเป็นอีกตัวอย่างที่แม้อุดมด้วยทรัพยากรน้ำมัน (รายได้จากน้ำมันเลี้ยงคนทั้งประเทศ) แต่ชนชั้นนำไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ ซ้ำกลายเป็นกับดักทำให้ประเทศไม่พัฒนา รวยกระจุก จนกระจาย นโยบายประชานิยมที่เริ่มตั้งแต่สมัยอูโก ชาเวซ ได้แค่คะแนนนิยมแต่เป็นยาพิษระยะยาว การปฏิวัติแค่ต่อลมหายใจเท่านั้น ระบบบริหารยังเต็มด้วยคอร์รัปชัน สังคมอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย ช่วยตัวเองไม่ได้

การเผชิญหน้ากับสหรัฐคงไม่จบง่ายๆ เพราะเริ่มมาหลายทศวรรษแล้ว ทรัมป์คืออีกฉากหนึ่งเท่านั้น และกำลังซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อทั้งรัสเซียกับจีนสอดมือเข้าช่วย กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า ยืนยันสนับสนุนและเป็นหนึ่งเดียวกับผู้นำเวเนฯ.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...