“เสธ.แมว” ชี้คุมเกมชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องครบทุกมิติ เตือนรัฐบาลอย่าหลงเชื่อแรงกดดันมหาอำนาจ
“เสธ.แมว” ชี้คุมเกมชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องครบทุกมิติ เตือนรัฐบาลอย่าหลงเชื่อแรงกดดันมหาอำนาจ ย้ำไทยต้องพึ่งตัวเอง แก้วิกฤตควบคู่กฎหมายสากล
วันที่ 15 ธ.ค. 2568 พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประธานยุทธศาสตร์ความมั่นคง พรรคไทยสร้างไทย(ทสท.) และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เหตุที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และฝ่ายไทยตอบโต้กัมพูชารุนแรงเกินควรนั้นว่า เป็นการสื่อสารที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงในพื้นที่ และไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะการละเมิดข้อตกลงและการรุกรานจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง จำเป็นที่ไทยต้องป้องกันตนเองภายใต้สิทธิอันชอบธรรม มิใช่การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ท่าทีของสหรัฐฯที่สื่อสารในลักษณะกดดัน หรือข่มขู่ให้ไทยหยุดยิง โดยไม่ได้เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีอยู่ เป็นความไม่สมดุลทางการทูต อาจทำลายหลักความยุติธรรมระหว่างประเทศ หากชาติมหาอำนาจเลือกกดดันฝ่ายที่ปกป้องอธิปไตยของตนเอง มากกว่าการเรียกร้องให้ฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดการกระทำดังกล่าว ย่อมทำให้ระบบกติกาสากลขาดความน่าเชื่อถือ และส่งสัญญาณที่ผิดไปยังประเทศขนาดเล็กว่าการรุกรานอาจไม่ต้องรับผิดชอบ
พล.ท.ภราดร กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่ฝ่ายไทยยึดอาวุธขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีรุ่นใหม่ GAM-120LR ซึ่งมีแหล่งผลิตจากจีน สะท้อนบทบาทของจีนที่ให้ความสำคัญกับการค้าขายอาวุธมากกว่าความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวกับไทย ทั้งที่สถานการณ์นี้ กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานอธิปไตยของไทยชัดเจน การที่จีนยังคงขายอาวุธให้กัมพูชาจึงควรถูกทบทวนอย่างจริงจัง เพราะไม่เพียงกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค แต่ยังสะท้อนถึงข้อจำกัดของการพึ่งพามหาอำนาจในยามวิกฤต ตนเห็นว่า การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่อาจหวังพึ่งพามหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ หรือจีนเป็นหลักได้อีกต่อไป ไทยจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้านความมั่นคงด้วยตนเอง โดยยึดการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัดเป็นเกราะคุ้มกัน เพื่อสร้างความชอบธรรมในสายตานานาชาติ ควบคู่กับการเสริมสร้างขีดความสามารถของรัฐในการป้องกันประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือ หรือเหยื่อของเกมอำนาจระหว่างประเทศ
“ผมขอย้ำว่าการเอาชนะความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ไม่อาจใช้เพียงปฏิบัติการทางทหารเพียงมิติเดียว แต่ต้องอาศัยยุทธศาสตร์การสถาปนาความมั่นคงชายแดนแบบบูรณาการ ครอบคลุมทั้งภารกิจทางทหาร การจัดระเบียบความมั่นคงชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การควบคุมการโยกย้ายถิ่นฐาน และมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามขนส่งน้ำมันไปยังกัมพูชา รวมถึงการดำเนินการด้านการทูตอย่างรอบคอบ พร้อมกันนี้ยังแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีที่มีคนไทยถูกกักกันค้างอยู่ในกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะเสมือนการใช้พลเรือนเป็นตัวประกัน อันอาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมสากล และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความรับผิดชอบของรัฐต่อประชาคมโลก” พล.ท.ภราดร กล่าว