‘Girl Dad’ พ่อที่ใกล้ชิด และสนิทสนมกับลูกสาว โอบอุ้ม เปิดกว้าง และเข้าใจสิทธิเสรีภาพในตัวลูก ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ชายก็เข้าใจความเป็นหญิงในตัวลูกสาวได้ไม่ต่างจากคนเป็นแม่
ขณะที่หลายคนอาจคุ้นชินกับภาพของ ‘แม่’ ที่มีหน้าที่ดูแลลูกเป็นหลัก โดยเฉพาะหากมีลูกสาว คนเป็นแม่ก็น่าจะเข้าใจลูกได้มากที่สุด เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน หรือกระทั่งสนิทสนมมากกว่า เนื่องจากบางบ้าน พ่อก็ไม่ได้ใกล้ชิดลูกสาวเสียเท่าไร ซึ่งอันที่จริงภาพจำที่ว่า “ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหาเงิน ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก” ไม่อาจเป็นสูตรตายตัวที่กำหนดบทบาททางเพศในครอบครัว เพราะถ้าฝ่ายไหนอยากทำหน้าที่อะไร ก็ควรมีสิทธิ์ตกลง และเลือกแนวทางที่แฮปปี้กับทุกฝ่ายได้ ที่สำคัญเราไม่อาจตัดสินแบบเหมารวมได้ด้วยว่า เพศไหนจะเลี้ยงดูลูกได้ดีกว่ากัน เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของแต่ละบ้านมากๆ
การมีอยู่ของ ‘Girl Dad’ หรือพ่อที่สนิทกับลูกสาว ซึ่งคอยมอบความรัก ความเข้าใจให้ลูกสาว และเลี้ยงดูลูกสาวในทุกการเติบโต จึงเป็นหนึ่งตัวอย่างที่บอกได้ดีว่า ผู้ชายก็เลี้ยงลูกสาวได้ และบางคนก็อาจจะเข้าใจประเด็นละเอียดอ่อนของลูกสาวได้ไม่ต่างจากคนเป็นแม่ หรือบางครั้งก็อาจจะเข้าใจมากกว่าแม่ได้เหมือนกัน และนั่นทำให้เหล่าลูกสาวที่สนิทกับพ่อ หรือ Daddy’s Girl หลายคนรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับพ่อ
Jeff Cookston ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ที่ San Francisco State University กล่าวว่า เมื่อคุณพ่อมีส่วนร่วมเชิงบวกในชีวิตของเหล่าลูกสาว ลูกสาวเหล่านั้นก็มีแนวโน้มที่จะมีความสุขและมีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งการมีส่วนร่วมที่ว่า เราคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่การดูแลแบบผิวเผิน พาไปเที่ยวเป็นครั้งคราว หรือเล่นด้วยนานๆ ที แต่มันอาจจะต้องมาพร้อมกับการพยายามทำความเข้าใจลูกสาว และเลี้ยงดูลูกสาวอย่างต่อเนื่องจริงๆ
Sean Williams ผู้เป็น Girl Dad คนหนึ่ง เขาเขียนบอกเล่าเรื่องนี้ลงบนเว็บไซต์ของ Parents ไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า การเป็น Girl Dad ไม่ใช่แค่การถ่ายรูปให้ลูก และแกล้งทำเป็นเล่นกับลูกเท่านั้นเพราะจริงๆ แล้วมันเกี่ยวเนื่องกับการเรียนรู้ความต้องการของลูกต่างหาก ซึ่งหากจะทำแบบนั้นได้ คุณพ่อก็ต้อง ‘มีเวลา’ ที่จะดูแลลูกด้วย ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาได้กลายเป็นเฟมินิสต์ และสนับสนุนสิทธิสตรีไปโดยปริยาย เช่นเดียวกับ Girl Dad หลายคน เพราะเขาคิดว่า เขาคงจะทนไม่ได้ ถ้าเห็นสังคมให้สิทธิ์ต่างๆ ในชีวิตของลูก น้อยกว่าที่เธอสมควรจะได้รับจริงๆ
“ผมจึงแสดงให้ลูกสาวเห็นถึงความรัก และการยอมรับในตัวพวกเขา เพื่อให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและไร้กังวล” เขากล่าว และ “อนุญาตให้พวกเขาแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเปิดเผย และรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา”
เพราะเราอาจจะเห็นพ่อบางบ้านที่หวงลูกสาวมาก จนปิดกั้นอิสระไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะกับเรื่องการแสดงออกทางเพศ จนทำให้ลูกยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถพูดคุยเรื่องแฟน หรือความสัมพันธ์ได้อย่างตรงไปตรงมาได้ และอาจนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่งก็ต้องดูว่า แม้พ่อบางคนที่คิดว่าตัวเองสนิทกับลูกก็จริง เลี้ยงลูกมากับมือก็จริง หากยังติดหล่มเรื่องของกรอบทางเพศอยู่ ความสนิทสนมนั้นก็อาจไม่ได้นำพาให้ลูก ‘กล้า’ ที่จะคุยกับพ่อในบางเรื่องได้อยู่ดี
เรามีตัวอย่างเพื่อนผู้หญิง ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อคนละแบบ คนหนึ่ง พ่อของเธอ เปิดกว้างเรื่องเพศ สามารถให้เธอพูดคุยเรื่องเซ็กซ์กับพ่อได้ตรงๆ และพ่อก็แนะนำให้เธอพกถุงยางอนามัยติดตัวไว้ และบอกวิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยเสร็จสรรพ เพราะพ่อของเธอคิดว่า การห้าม ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง และลูกของเขาก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ซึ่งนี่ถือเป็นการเปิดบทสนทนาที่ดี ที่คนเป็นลูกรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดหรือบอกเรื่องราวของตัวเองให้พ่อฟังโดยไม่กลัวการถูกตัดสิน
ส่วนเพื่อนเราอีกคน เป็นผู้หญิงที่พ่อค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเป็นใยมากเป็นพิเศษ ห้ามกลับบ้านดึก ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว คอยโทรตามอยู่ตลอดเวลา ห้ามแต่งตัวโป๊ ปิดกั้นอิสระในการใช้ชีวิตโดยอ้างว่าเป็นห่วง ซึ่งนั่นก็สร้างความอึดอัดใจ และทำให้การใช้ชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับพ่อ จนทำให้หลายครั้ง เธอก็ต้องเลือกวิธีการโกหก เพื่อความสบายใจ ซึ่งนี่อาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เมื่อลูกไม่สามารถมีพื้นที่ปลอดภัยในบ้านได้
หรืออีกคนที่ให้ภาพชัดเจนว่า บางครั้งพ่อก็เข้าใจลูกสาวมากกว่าแม่ เพราะเพื่อนเราคนนี้ซึ่งเป็น LGBTQ+ มีพ่อที่พยายามเข้าใจเรื่องของตัวตนของลูก และยอมรับได้ในสิ่งที่ลูกเป็น ขณะเดียวกัน ฝั่งแม่ กลับยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า สักวันลูกจะกลับไปคบกับคนเพศตรงข้ามเหมือนเดิม กระทั่งมีความคิดว่า ที่ลูกเป็นแบบนี้ เพราะคบเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งถือเป็นความคิดที่ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพจิตของลูกอย่างมาก และทำให้ความรู้สึกอยากจะพูดคุยกับคนในบ้าน เหลืออยู่น้อยนิด
Amelia Flynn นักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัว กล่าวว่า การมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกของพ่อสามารถ “ส่งผลในเชิงบวกต่อความมั่นใจในตัวเอง การนับถือตัวเอง ความขัดแย้งในตัวเอง และวิธีที่ใช้มองตัวเองได้” เธอยกตัวอย่างว่า “พ่อที่เปิดกว้างในการสื่อสารกับลูกสาวในเรื่องของพาร์ตเนอร์ เซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์โรแมนติก เราเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อการเลือกคนรักของลูกสาวในแง่ของความคาดหวังในความสัมพันธ์ และลักษณะของคนรัก”
“ที่ผ่านมา งานวิจัยอาจจะมุ่งเน้นไปที่แม่ แต่เรากำลังจะหลุดพ้นจากไอเดียที่แม่ควรมีหน้าที่เลี้ยงลูกที่สำคัญที่สุด ไปสู่การมี Girl Dad ที่พ่อสามารถมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกได้” เธอกล่าว
จะเห็นได้ว่า ที่เราพูดมาทั้งหมดจริงๆ ไม่ได้จำกัดแค่ ‘พ่อ’ แต่ ‘แม่’ เอง หากมอบความรัก และพร้อมรับฟังลูกๆ โดยให้เขามีอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ลูกๆ ก็จะกล้าที่จะพูดกับคนในครอบครัวมากขึ้น กลับกัน หากผู้ปกครองที่มีความห่วงลูกเกินไป จนกลายเป็นความท็อกซิก ที่ปิดกั้นอิสระทางความคิดของลูก ก็นับเป็นเรื่องน่าระมัดระวัง ที่อาจสั่นคลอนความมั่นคงในครอบครัวไปได้เช่นกัน
อ้างอิง:
https://www.parents.com/dad-gang-founder-being-a-girl-dad-means-fighting-misogynoir-7182271
https://www.newsweek.com/power-girl-dad-opinion-1596063
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ‘Girl Dad’ พ่อที่ใกล้ชิด และสนิทสนมกับลูกสาว โอบอุ้ม เปิดกว้าง และเข้าใจสิทธิเสรีภาพในตัวลูก ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ชายก็เข้าใจความเป็นหญิงในตัวลูกสาวได้ไม่ต่างจากคนเป็นแม่
- ‘Digital Body Language’ อย่าง อีโมจิ สติกเกอร์ เครื่องหมาย ฯลฯ ที่ทำให้หลายคนหมกมุ่นกับการตีความ และอาจยิ่งสร้างกำแพงให้การสื่อสารของคนยุคใหม่ยิ่งซับซ้อนขึ้น
- กินที่ชอบ บาลานซ์ที่ใช่ ไปกับเนสท์เล่ เนสท์เล่ และ มารี เบรินเนอร์ เผยเคล็ดลับ เอนจอยอาหารอร่อย โดยไม่เสียสุขภาพ ด้วยวิธีคิดแบบ ‘Balanced Diet’
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com