รู้จัก “Cancel Culture” วัฒนธรรมการ “แบน” ในโลกโซเชียล
หากใครได้ติดตามข่าวที่เป็นกระแสดังมากอยู่ช่วงหนึ่ง กับข่าวของ J.K. Rowling หรือที่เรารู้จักกันดีในฐานะผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Harry Potter” ซึ่งถูกแฟนคลับหลายคนประกาศว่าจะเลิกอ่านหนังสือที่เธอเขียนและ “Cancel” งานต่างๆ ของเธอ หลังจาก J.K. ได้พูดถึงความคิดเกี่ยวกับการเหยียดคนข้ามเพศ (Transphobic)
.
หรือ Shane Gillis นักแสดงตลกชาวอเมริกันผู้ที่ถูก “Cancel” งาน Saturday Night Live ในปี 2019 หลังจากที่เขาถูกเล่นมุกตลกเกี่ยวกับการเหยียดคนรักร่วมเพศ (Homophobic)
.
มาจนถึงกรณีของ “ลูกหนัง” ที่เปิดตัวเป็นศิลปินเกาหลีวง H1-KEY ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเกิดกระแส #แบนลูกหนัง เมื่อผู้คนในโซเชียลมองว่า เราไม่ควรสนับสนุนคนที่ครอบครัวมีส่วนในม็อบกปปส. ซึ่งนำมาสู่การทำรัฐประหาร กระแสในโลกออนไลน์จึงพยายาม “Cancel” ลูกหนังดังที่ปรากฏเป็นกระแสเมื่อไม่นานมานี้
.
การ Cancel ที่ว่านี้ คือการเลิกติดตาม เลิกให้ความสนใจ เพื่อให้ผู้ที่ถูกแบนได้เกิดความตระหนักถึงการรับผิดชอบต่อทัศนคติของตนเองในด้านสังคมหรือการเมือง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในโลกออนไลน์ที่กำลังส่งผลเหมือนคลื่นใต้น้ำ แม้บางครั้งจะไม่สาดซัดตูมใหญ่ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างพอสมควร ลองมารู้จักกับวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ให้มากขึ้นกัน
.
.
Cancel Culture คืออะไร?
.
Cancel Culture หรือ Call-out Culture คือการที่คนจำนวนมากเลิกสนับสนุนบุคคลหรือแบรนด์หนึ่งๆ ผ่านทางออนไลน์ หรือที่เรารู้จักในคำว่ากันว่า "แบน" หรือคว่ำบาตรผู้ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากพวกเขาหรือครอบครัวมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมในสายตาคนบางส่วน ทั้งในเชิงพฤติกรรม คำพูด ทัศนคติ รวมไปถึงการโพสต์ หรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
.
.
Cancel Culture ต่างจาก Boycott ไหม?
.
หลายๆ เว็บไซต์ได้ให้ข้อมูลว่า ทั้งสองคำนี้มีความหมายเดียวกัน แต่ผู้เขียนใน Medium จากบทความเรื่อง “Is Cancel Culture The New Boycott?” ได้ให้ความเห็นไว้ว่า สองคำนี้แตกต่างตรงที่ “Boycott” คือ การแบนที่มีการวางแผนว่าเมื่อไหร่ถึงจะหยุดการแบนนี้ ต่างจาก Cancel Culture ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดไป
.
.
จุดกำเนิดของ Cancel Culture
.
ที่มาของวัฒนธรรมนี้อาจปรากฏมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ Aja Romano นักข่าวจากสำนักข่าว Vox ได้บันทึกคำว่า “Cancel” ที่ปรากฏบนหน้าสื่อครั้งแรกบนภาพยนตร์เรื่อง “New Jack City” ในปี 1991 และคำดังกล่าวได้ปรากฏบนโลกโซเชียลมีเดียครั้งแรกในปี 2014
.
เมื่อแอกเคานต์โปรโมตโชว์ “The Colbert Report” ได้โพสต์มุกตลกที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทชาวเอเชีย ทำให้ Suey Park ลูกครึ่งเกาหลีอเมริกันซึ่งเป็นนักรณรงค์บนโลกโซเชียลออกมาตอบโต้การกระทำนี้ด้วยการสร้างแฮชแท็ก #CancelColbert ซึ่งเรียกร้องให้ Stephen Colbert เจ้าของแอกเคานต์ยกเลิกโชว์นี้
.
แต่สุดท้าย กระแส Cancel ถูกตีกลับเพราะหลัง Colbert ออกมาบอกว่า เขาไม่เคยต้องการให้เกิดปัญหานี้ขึ้น สังคมจึงมองว่า Park พูดจาโผงผางและเรียกร้องมากเกินไป ในขณะที่โชว์ยังสามารถแสดงต่อไปได้ แต่ Park กลับถูกวิจารณ์การกระทำนี้รวมถึงถูกคุกคามจากคนในโลกโซเชียลมีเดียอย่างรุนแรงแทน
.
แต่ในปัจจุบัน กระแส Cancel Culture ก็ไม่ได้ถูกตีกลับ และมักได้รับการสนับสนุน รวมถึงสร้างเครือข่ายการแบนที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้ผู้ที่ถูกแบนต้องออกมาขอโทษหรือชดใช้ค่าเสียหาย เพื่อชดเชยสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
.
.
Cancel Culture ส่งผลอย่างไรในปัจจุบัน
.
ผลกระทบของ Cancel Culture เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนและมีความจำเพาะ จึงขอยกกรณีตัวอย่างจากสองเหตุการณ์ต่อเนื่องอย่าง #TaylorSwiftIsCancelled และ #KanyeWestIsOverParty ในปี 2016
.
สำหรับกรณีดังกล่าวนั้นเกิดจาก MV เพลง Famous ของ Kanye ที่มีหุ่นที่หน้าตาคล้าย Taylor และมีเนื้อเพลงที่พูดถึงเธอในเชิงไม่ดี ทำให้ Taylor ตัดสินใจประกาศการกระทำดังกล่าวบนเวที Grammy 2016 ซึ่งต่อมา Kanye ได้ปล่อยคลิปเสียงที่ผ่านการตัดต่อบางท่อนว่า จริงๆ แล้วเธอโอเคกับเนื้อเพลงดังกล่าว จนสังคมเข้าใจว่าเธอโกหกสาธารณชนและพากัน Cancel เธอ
.
สำหรับมุมมองจาก Taylor ที่ถูกสังคมแบนจนเธอต้องเลี่ยงการเข้าโซเชียลมีเดียเป็นเวลานาน เธอมองว่า การถูก Cancel ไม่ได้ต่างอะไรจากการถูกสั่งให้ “ฆ่าตัวตาย” เลยทีเดียว แม้ภายหลังคนในสังคมจะพบว่า Kanye หลอกลวงทุกคนผ่านคลิปเสียงที่เขาได้ปล่อยออกมา แต่ Taylor คงมีบาดแผลในใจที่ยากจะลบให้หายไป
.
ส่วนผลกระทบจาก Cancel Culture ที่มีต่อพวกเราในฐานะผู้ร่วมแบน ทำให้เราตระหนักถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย เพราะยิ่งคนเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้มากเท่าไหร่ กระแส Cancel Culture ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
.
นอกจากนี้ บางคนอาจยังไม่ทันไตร่ตรองถึงความหนักแน่นของหลักฐาน พวกเขาอาจเชื่อหรือคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย หากเราเป็นผู้ที่ถูก Cancel นี่คงไม่ต่างอะไรกับการเป็นแพะรับบาปในสิ่งที่เราไม่ได้ก่อ
.
.
มุมมองที่หลากหลายต่อ Cancel Culture
.
ผลลัพธ์ที่หลากหลายและรุนแรงที่เกิดจาก Cancel Culture นำไปสู่การโต้แย้งจากหลายๆ ฝ่าย ว่าสรุปแล้วสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่
.
ในด้านหนึ่ง AJ Willingham นักข่าวจาก CNN ได้ชี้ว่า ถึงแม้เราจะเรียกงาน Conservative Political Action Conference (CPAC) ในปี 2021 ว่าเป็นงาน “America Uncanceled” ซึ่งสนับสนุนให้ชาวอเมริกันยกเลิกวัฒนธรรมการบอกเลิกนี้ แต่เราก็ยังคงพบเห็น Cancel Culture ได้ในสังคม อย่างเช่นการที่สำนักข่าว Fox ไล่นักเขียนคนหนึ่งออกหลังพบว่า เขาเคยคอมเมนต์เนื้อหาเชิงเหยียดสีผิว เหยียดเพศและเหยียดคนรักร่วมเพศเมื่อปีที่แล้ว
.
เขามองว่า Cancel Culture คือ การที่เรา “ตื่นรู้” จากการกระทำที่สุดโต่งและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น อย่างน้อยให้ผู้กระทำเกิดความละอายในสิ่งที่พวกได้ทำ และเขามองว่า นี่คือ “ความรับผิดชอบที่ผู้กระทำต้องรับไว้”
.
ส่วนมุมมองที่ไม่เห็นด้วยกับ Cancel Culture ก็มีเช่นกัน อย่างในงาน Republican National Convention เมื่อปี 2020 โดย Donald Trump ได้กล่าวว่า Cancel Culture เป็นการทำให้ชาวอเมริกันในปัจจุบันต้องอยู่อย่างหวาดกลัวจากการถูกขับไล่ ทำให้อับอาย ถูกควบคุมจากสังคม นอกจากนี้ยังเป็นการลบประวัติศาสตร์ และคุกคามการแสดงออกทางวาทกรรมอย่างอิสระด้วย
.
แม้แต่ Barack Obama อดีตประธานาธิบดี ก็ยังสนับสนุนแนวคิดต่อต้าน Cancel Culture ว่า นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางสังคม เพราะไม่ต่างอะไรจากการขว้างหินใส่ผู้กระทำ การแบนนี้ไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้
.
สุดท้ายแล้ว Cancel Culture ยังคงขึ้นอยู่กับมุมมองจากหลายๆ ฝ่าย บ้างมองว่า Cancel คือการสร้างความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ บ้างยังคงมองว่า ผู้ที่ถูก Cancel ไม่ต่างอะไรจากการเป็นสนามอารมณ์เพื่อความสะใจของผู้ที่เห็นต่างจากเขา
.
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับ Cancel Culture บ้าง?
.
.
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
- Fast Fashion ใส่ได้หรือไม่ควร? ข้อคิดจากกระแส #แบนSHEIN: https://bit.ly/3xK15Bs
.
.
อ้างอิง
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#society