โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

แนวคิดด้านการเงินล่าสุด... จากธนาคารกลางจีน

Finnomena

อัพเดต 21 ก.ค. เวลา 11.33 น. • เผยแพร่ 21 ก.ค. เวลา 05.11 น. • MacroView

หลังจากที่เป็นเสือซุ่มมานานกว่าหลายสิบปี ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC ได้เริ่มเปิดเผยมุมมองด้านนโยบายการเงินและเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น โดยในช่วงปี 2025 เท่าที่ผมสังเกต พบว่าแบงก์ชาติจีนได้ส่งสัญญาณต่อสาธารณชนในสองประเด็นหลัก ดังนี้

หนึ่ง ‘พยายามลดจำนวนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้น้อยลง’: โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ถือว่าค่อนข้างมีหลายตัว ซึ่งแตกต่างจากธนาคารกลางของประเทศตะวันตกที่มักจะมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ผมขอแนะนำอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของจีน ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ที่มีชื่อว่า MLF (Medium-term Lending Facility) หรือแหล่งเงินกู้สำหรับระยะเวลาปานกลาง

MLF เริ่มต้นถือกำเนิดในปี 2014 เพื่อชดเชยการลดลงของการซื้อสำรองเงินตราระหว่างประเทศและเพื่อให้อุปทานของฐานเงินมีความเสถียรมากขึ้น โดยวิวัฒนาการของ MLF แบ่งเป็น 3 เฟส:

เฟสแรก MLF ในฐานะเครื่องมือเสริมต่อเครื่องมือนโยบายการเงินหลักสำหรับการช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ในช่วงแรก MLF ยังแบ่งอายุเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี สำหรับวงเงินรวมทั้งหมดของ MLF ในช่วงนั้นมีไม่เกิน 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ PBOC พึ่งพา อัตราส่วนสำรองตามกฎหมาย หรือ RRR (Required Reserve Ratio) ในการเสริมสภาพคล่องสำหรับระยะเวลาปานกลางและระยะยาวต่อตลาด ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2017 MLF ได้ถูกตัดให้เหลือ 1 ช่วงอายุ คือ 1 ปี เพื่อให้เพิ่มฐานะในฐานะเครื่องมือนโยบายการเงินหลักอย่างเต็มตัว และมีการเพิ่มปริมาณสินเชื่อดังกล่าวอย่างค่อนข้างรวดเร็ว

เฟสที่สอง MLF ได้เปลี่ยนจากเครื่องมือด้านการปล่อยสินเชื่อ เข้าสู่เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณระดับอัตราดอกเบี้ยของตลาดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2019 ธนาคารกลางจีนได้พยายามสร้างกรอบปฏิบัติการด้านการใช้ประโยชน์ต่อ MLF ในช่วงทุกกลางเดือน เพื่อให้ปฏิบัติการด้านนโยบายการเงินมีความโปร่งใส ความสม่ำเสมอ และความสามารถในการถูกคาดการณ์ได้ โดยในเดือนสิงหาคม 2019 ธนาคารกลางจีนได้คำนวณ LPR (Loan Prime Rate) โดยใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อลูกค้าชั้นดีของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของจีน โดย LPR จะถูก Pricing ผ่านการตั้งสเปรดเพิ่มจาก MLF ทั้งนี้ สเปรดจะถูกกำหนดโดยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ต้นทุนแหล่งเงินของแบงก์ต่าง ๆ, ความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน และ risk premium ซึ่งทำให้ LPR จัดเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของตลาดที่สะท้อนสภาวะอุปสงค์และอุปทานของแบงก์ชาติจีน ซึ่งในช่วงเฟสที่สองนี้ Reverse Repo ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น และ MLF ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะปานกลาง

เฟสที่สาม อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา MLF ได้ถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นเครื่องมือด้านการปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง โดยธนาคารกลางจีนได้ทำการลดประเภทของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงหรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนให้เหลือ Reverse Repo แบบ 7 วัน เพียงประเภทเดียว

จึงทำให้ MLF ได้ถูกกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่านวิธีการประมูลอัตราดอกเบี้ย (Dutch Auction แบบ Variable-rate) หลังจากที่ LPR ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้า ในปี 2023 MLF ได้แตะระดับ 2.5 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณเงินในการเสริมสภาพคล่องทั้งหมด ซึ่งรวมถึง RRR, Reverse Repurchase Agreement ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป และเครื่องมือด้านนโยบายการเงินที่ใช้สำหรับโครงการที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม ทำให้ปริมาณคงค้างของ MLF

ในเดือนกรกฎาคม 2024 มีมูลค่ารวมเข้าสู่ระดับ 7.3 ล้านล้านหยวน หรือ 15% ของปริมาณสินทรัพย์ของธนาคารกลางจีน อย่างไรก็ดี ในช่วงปีที่ผ่านมา ปริมาณ MLF ได้ลดลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุด เนื่องจากมีการลดอัตราส่วน RRR ลง และ LPR ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในส่วนของระดับอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป จนกระทั่งในเดือนมีนาคม 2025 MLF จึงมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่านการประมูลโดยสมบูรณ์แบบ

สอง ‘การใช้ภาคบริการด้านการเงินในการกระตุ้นภาคการบริโภค’ โดยในปี 2025 รัฐบาลจีน ได้ตั้งเป้า 3 จุดหลัก ได้แก่ การกระตุ้นภาคการบริโภคแบบเข้มข้น, การปรับปรุงประสิทธิภาพของการลงทุน และการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศในทุกระดับ

ทั้งนี้ หากพิจารณาในมิติเชิงโครงสร้าง การเติบโตของการบริโภคของสินค้าแบบทั่วไปถูกกดดันไม่ให้สามารถทำได้ เนื่องจากตลาดที่อิ่มตัวและความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ในขณะที่อุปสงค์ของการบริโภคภาคบริการยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ ได้ค่อย ๆ เพิ่มความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ การให้สนับสนุนด้านการเงินต่อการบริโภคได้เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมต่อการนี้อย่างชัดเจน หากว่ายังสามารถพัฒนาให้ดีกว่าปัจจุบันได้อีก ทั้งนี้ จีนมีระบบการให้บริการทางการเงินซึ่งหนุนการบริโภคในระดับชั้นต่าง ๆ ผ่าน แบงก์ บริษัทการเงินที่เน้นด้านการบริโภค และบริษัทเช่าซื้อรถยนต์ โดยแบงก์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านการ trade-in หรือนำของที่ใช้แล้วมาแลกซื้อของใหม่ หรือ ให้ซื้ออุปกรณ์กีฬาฤดูหนาวในราคาถูก อย่างไรก็ดี มีบางเซกเตอร์ อาทิ การให้บริการด้านการเงินต่อในส่วน Infrastructure อย่างไรก็ดี ด้านการบริโภคและระบบขนส่งโลจิสติกส์ยังต้องได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินทางตรงที่ใช้ทำการสนับสนุนการบริโภค อย่างหุ้นและบอนด์ ยังคงมีไม่มากนัก อีกทั้งความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ

หากมองไปในอนาคต ธนาคารกลางจีนมีแผนที่จะกระตุ้นการบริโภคผ่านเครื่องมือนโยบายการเงิน อาทิ การลด RRR และการซื้อหรือขายพันธบัตรในตลาดเพื่อให้ตลาดเงินมีสภาพคล่องที่ดี อีกทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อเซกเมนต์หรือเขตพื้นที่ซึ่งมีความต้องการ รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อการบริโภคและรถยนต์ผ่านการออกพันธบัตร การทำ Securitization และการสนับสนุนอุปทานด้านสินเชื่อ โดยจะเน้นในส่วนของร้านอาหาร โรงแรม การขนส่ง การท่องเที่ยว การช็อปปิ้ง การบันเทิง และสาธารณสุข

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...