โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ที่รัชกาลที่ 4 ทรงก่อตั้ง เปลี่ยนสีจีวรครั้งแรกเมื่อไหร่ และทำไมถึงเปลี่ยน

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 17 ก.ค. เวลา 04.51 น. • เผยแพร่ 16 ก.ค. เวลา 06.52 น.
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)

ทำไม “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” จึงเปลี่ยนสีจีวรครั้งแรกในรอบกว่า 150 ปี นับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกาย และการเปลี่ยนสีจีวรเกิดขึ้นในปีไหน

คณะสงฆ์ในไทยแบ่งได้เป็น 2 นิกายหลัก คือมหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย ซึ่งนิกายหลัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ขณะทรงพระผนวชเป็น “วชิรญาณภิกขุ” ทรงสถาปนาขึ้น ด้วยทรงต้องการปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ไทยในครั้งนั้นให้ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยยิ่งขึ้น

พระสงฆ์แต่ละนิกายครองจีวรที่มีสีแตกต่างกันไป ทั้งยังแยกย่อยลงไปอีกตามแต่ละสำนักหรือวัตรปฏิบัติ สีจีวรพระสงฆ์จึงมีหลากหลาย ทั้งสีกรัก สีฝาด สีแก่นขนุน สีส้ม สีแดง

ด้วยเหตุนี้ ในราว พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ซึ่งทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ทรงมีพระราชปุจฉากับพระมหาเถระเรื่องสีจีวร เมื่อทรงสอบถามและพระภิกษุสงฆ์ได้สอบทานข้อมูลเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงพระราชทาน “จีวรสีพระราชนิยม” แก่คณะสงฆ์

จีวรสีพระราชนิยม เป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีส้มกับสีกรัก เป็นสีกลางระหว่างมหานิกายกับธรรมยุติกนิกาย เป็นผ้าที่มีสีถูกต้อง ไม่ผิดพระวินัย จากนั้นโปรดให้เจ้าพนักงานในพระองค์จัดผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม เพื่อพระราชทานแก่พระภิกษุสงฆ์ในงานบำเพ็ญพระราชกุศลวาระต่างๆ

แม้จะมีจีวรสีพระราชนิยม แต่ไม่นับเป็นการเปลี่ยนสีจีวรของคณะสงฆ์ไทย เนื่องด้วยเป็นการใช้ตามโอกาสเท่านั้น

คณะสงฆ์ธรรมยุตและคณะสงฆ์มหานิกายจะครองจีวรสีพระราชนิยม เมื่อได้รับนิมนต์ไปประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลที่เป็นงานพระราชพิธีหลวง (ใช้พัดยศ) และงานพระราชพิธีที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงเข้าร่วม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยเบื้องหน้าพระพักตร์พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และเจ้านายทุกพระองค์

เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธี พระสงฆ์สามารถครองจีวรตามที่เป็นมาได้ โดยแนวปฏิบัติในการครองจีวรสีพระราชนิยมยังดำเนินมาถึงปัจจุบัน ทั้งยังสามารถใช้จีวรสีพระราชนิยมในโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสมได้ด้วยเช่นกัน

ทำไม “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” จึงเปลี่ยนสีจีวร

พ.ศ. 2557 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการสงฆ์ไทย เมื่อคณะสงฆ์ธรรมยุตมีมติเปลี่ยนสีจีวร จาก “สีกรัก” ซึ่งเป็นสีแก่นขนุนหรือสีน้ำตาลเข้ม อันเป็นสีดั้งเดิมที่ใช้มานับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกาย เป็น “จีวรสีพระราชนิยม” นับเป็นการเปลี่ยนสีจีวรของคณะสงฆ์ธรรมยุตครั้งแรกในรอบกว่า 150 ปี

เหตุผลในการเปลี่ยนสีจีวร ก็เพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่คณะ เสริมสร้างศรัทธาแก่ผู้พบเห็น เพราะที่ผ่านมาคณะสงฆ์ธรรมยุตมีการครองจีวรสีแตกต่างกัน และเพื่อสนองพระราชศรัทธาของในหลวง รัชกาลที่ 9

การประกาศเปลี่ยนสีจีวรคราวนั้น เน้นที่พระคามวาสี หรือพระที่อยู่ในเมือง ส่วนพระอรัญวาสี หรือพระที่อยู่นอกเมืองหรือพระป่า ยังสามารถครองจีวรเช่นเดิมตามแนวปฏิบัติของครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะรับกิจนิมนต์เข้ามาในเมืองก็ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นครองจีวรสีพระราชนิยม เว้นแต่ได้รับนิมนต์เข้าไปในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล

การประชุมเรื่องเปลี่ยนสีจีวร เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2556 และมีการประชุมหารือต่อเนื่องเป็นลำดับ กระทั่งมีมติเห็นชอบและให้มีประกาศคณะธรรมยุต เรื่องให้พระภิกษุสามเณรคณะธรรมยุตครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม ตั้งแต่วันวิสาขบูชา 2557 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 พฤษภาคม 2557

คณะสงฆ์ธรรมยุตจึงครองจีวรสีพระราชนิยมมานับแต่นั้น

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

พีรพันธ์ วรชาติเดชชัย. (2564). การศึกษาสีจีวรของคณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ที่รัชกาลที่ 4 ทรงก่อตั้ง เปลี่ยนสีจีวรครั้งแรกเมื่อไหร่ และทำไมถึงเปลี่ยน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...