โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

วิวัฒนาการของเครื่องสำอางตามยุคสมัย

Inzpy

อัพเดต 05 ม.ค. 2566 เวลา 07.57 น. • เผยแพร่ 05 ม.ค. 2566 เวลา 07.57 น. • inzpy.com

ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคเครื่องสำอางมาบ้างเคยสงสัยกันไหมว่าจุดต้นกำเนิดของเครื่องสำอางนั้นมาจากที่ไหน เกิดขึ้นได้อย่างไรและ วิวัฒนาการของเครื่องสำอางตามยุคสมัย นั้นเปลี่ยนไปอย่าไรบ้างในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา วันนี้ Inzpy จะพาทุกคนไขข้อสงสัยนี้กันค่ะ

เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายโดยวิธีทา วาด เขียน ถู นวดหรือพ่น ใช้เพื่อเสริมความสวยงามหรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ โดยคำว่า Cosmetics ในภาษาอังกฤษนี้มีรากฐานศัพท์มาจากภาษากรีกว่า Kosmetikos แปลว่าตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจ

คราวนี้เรามาพูดถึงต้นกำเนิดของเครื่องสำอางกันค่ะ จากที่ปรากฎในโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมในการประกอบพิธีศาสนาสำหรับบูชาพระเจ้าและใช้น้ำมันพืชทาตัวหรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย การใช้เครื่องหอมนี้ใช้มาต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี เชื่อว่าชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักตกแต่งใบหน้าและใช้เครื่องสำอางแล้วจึงถึงแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบีโลน เปอร์เชียและกรีกตามลำดับ เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ยุโรปอย่างประเทศฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำหอมนั่นเองค่ะ

ประวัติของเครื่องสำอางตามยุคต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์โลก

ยุคอียิปต์ ยุคก่อนคริสตกาล

จากการพบหลักฐานทางโบราณที่เก่าแก่ และร่องรอยในการทำพิธีกรรมทางศาสนาและบูชาเทพเจ้าในสมัยนั้นมีการเผาเครื่องหอมกำยาน และมีการใช้เครื่องเทศสมุนไพร และน้ำมันต่าง ๆ เพื่อใช้รักษาคงสภาพของศพไว้ด้วยความเชื่อที่ว่าวิญญาณของคนที่ตายแล้วจะกลับมาเกิดในร่างเดิมอีกครั้ง ในอีกบันทึกนึงก็อ้างว่าประเทสจีนน่าจะเป็นประเทศแรกที่ให้กำเนิดเครื่องสำอางมาใช้แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันเรื่องนี้จึงถูกปัดตกไป

  • มีหลักฐานพบเจอภาชนะที่ใช้บรรจุผงสำหรับทาเปลือกตาเรียกว่า Kohl ทำมาจากผงเขม่าผสมกับพลวง ในที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์แรกในราชวงศ์เทไนท์ (Thenite) หลักฐานชิ้นนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาล
  • ค้นพบดินสอเขียนคิ้วและขอบตาที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์ที่ 18 โดยทำมาจากแอนทิโมนีซัลไฟด์ (Antimony Sulfide)
  • ค้นพบเครื่องสำอางหลายชนิด รวมถึงน้ำหอมชนิดต่าง ๆ ที่อายุราว ๆ 1,350 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยจากที่ฝังพระศพกษัตริย์ทูทันคาเมน (Tutankhamen)

ยุคโรมัน

หลังจากชาวโรมันได้เข้าไปครอบครองกรีกและอียิปต์ไปจนถึงเมืองอเล็กซานเดรีย เนื่องจากพระนางคลีโอพัตรารู้จักการเสริมสวยจนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนที่พบเห็นและนางยังเป็นผู้คิดค้นเครื่องสำอางหลายประเภท ทำให้โรมันได้รับอิทธิพลจากชาวกรีกและอียิปต์ในด้านศิลปะการใช้เครื่องสำอางและการแต่งกาย

ยุคมืด

เมื่อถึงเวลาที่อาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลง ความเจริญก้าวหน้าของเครื่องสำอางก็ชะงัก ในณะเดียวกันทางโลกตะวันออกกลับมีความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะการใช้เครื่องสำอาง นำโดยประเทศจีนและอินเดีย

ยุคอิสลาม

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 - 12 หลังเสร็จสิ้นสงครามความเจริญก็ได้เกิดขึ้น บริเวณ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของชาวอาหรับ มีชาวเปอร์เซียชื่อว่า อิบน์ ซีนา (Ibn Sina) ค้นพบวิธีการกลั่นน้ำหอมจากดอกกุหลาบ อีกคนหนึ่งชื่อ อาบู มอนเซอ มูวาฟแฟส (Abu Monsur Muwaffax) เป็นหมอยาชาวเปอร์เซียที่ค้นพบความมีพิษของทองแดงและตะกั่วในเครื่องสำอางและยังค้นพบว่า แคลเซียมออกไซด์ (CaO) สามารถใช้กำจัดขน

ยุคยุโรปก้าวหน้า

ช่วงที่ชาวยุโรปเริ่มมีการแสวงหาความรู้ทุกสาขาวิชา โดยมหาวิทยาลัยแห่งโบโลญา (University of Bologna) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการรักษาโดยการทำศัลยกรรมเป็นแห่งแรก เป็นยุคที่ชาวยุโรปมีความรู้ในการผลิตน้ำหอมจากพืชและสัตว์บางชนิด สามารถทำรูจ (Rouge) สำหรับทาแก้มจากดินสีแดงซึ่งมีไอร์ออนออกไซด์ เป็นองค์ประกอบและสามารถทำแป้งทาหน้าจากเลดคาร์บอเนต และรู้จักการทำน้ำมันแต่งผมจากน้ำมันพืชและน้ำมันดินจากธรรมชาติ

เรื่องราวของเครื่องสำอางนี่มีมาอย่างยาวนานกว่าที่เราคิดไว้อีกนะเนี่ย และแน่นอนว่าในอนาคตอีกสัก 50 ปีต่อจากนี้วิวัฒนาการของเครื่องสำอางตามยุคสมัย ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สาวกบิวตี้ทั้งหลายต้องตอยจับตามองกัน อัปเดตกันไปอย่าได้ตกเทรนด์กันเชียวล่ะ!

รูปจาก Pinterest

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...