ส่งออกญี่ปุ่น โตต่ำกว่าคาดที่ 3.9% แรงกดดันภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของสหรัฐ
ส่งออกญี่ปุ่น โตต่ำกว่าคาดที่ 3.9% แรงกดดันภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม โดยขยายตัวสูงสุดไปยังตะวันออกกลาง
วันที่ 17 เมษายน 2568 สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ญี่ปุ่นรายงานการส่งออกเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นหนึ่งเดือนหลังจากการส่งออกเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งการเติบโตดังกล่าวไม่ตรงตามที่นักเศรษฐศาสตร์สำรวจโดย Reuters คาดการณ์ไว้ที่ 4.5% และต่ำกว่าการเพิ่มขึ้น 11.4% ในเดือนกุมภาพันธ์
เมื่อจำแนกตามภูมิภาค การส่งออกของญี่ปุ่นขยายตัวสูงสุดไปยังตะวันออกกลาง โดยเพิ่มขึ้น 17.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 3.1%
ข้อมูลเดือนมีนาคมไม่ได้รวมผลกระทบทั้งหมดจากการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน และภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 มีนาคม อย่างไรก็ตามทรัมป์ได้ระงับภาษีศุลกากรตอบโต้กับญี่ปุ่นในอัตรา 24% เป็นเวลา 90 วัน ทำให้อัตราภาษีพื้นฐานอยู่ที่ 10%
ข้อมูลการค้าดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเจรจาการค้ากับสหรัฐเมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่าการเจรจามี “ความคืบหน้าครั้งใหญ่” โดยก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่าเขาจะเข้าร่วมการประชุมการค้าด้วย นอกจากนี้เขายังเขียนด้วยว่าการเจรจาจะครอบคลุมถึง“ภาษีศุลกากร ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนทางการทหาร และ ‘ความเป็นธรรมทางการค้า’”
มีรายงานว่าญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกเหล็กกล้ารายใหญ่เป็นอันดับ 6ไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 2567 และแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นก็ติดอันดับ 4 จาก 8 แบรนด์ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ โดยโตโยต้าครองอันดับหนึ่ง รถยนต์เป็นสินค้าส่งออกหลักของญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 28.3% ของการขนส่งทั้งหมดในปี 2567 ตามข้อมูลศุลกากร
การนำเข้าสินค้าไปยังเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตาม GDP เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.1% จากการสำรวจของรอยเตอร์ ตัวเลขขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นลดลงเหลือ 544,100 ล้านเยน แต่มากกว่าที่รอยเตอร์สคาดการณ์ไว้ที่ 485,300 ล้านเยน โดยตัวเลขขาดดุลในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 590,500 ล้านเยน
เจสเปอร์ คอล ผู้อำนวยการผู้เชี่ยวชาญของบริษัทด้านบริการทางการเงิน Monex Group กล่าวว่า “ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว”
คอลกล่าวกับ CNBC ว่า แม้ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าลง และความกลัวเรื่องภาษีศุลกากรอาจช่วยกระตุ้นการส่งออกโดยเน้นที่การส่งออกก่อน แต่สินค้าที่ผลิตในจีนกำลังเข้ามาแทนที่สินค้าส่งออกของญี่ปุ่น
นั่นหมายความว่า “เมื่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น ญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจีนจะถูกบังคับให้ทิ้งกำลังการผลิตที่เคยขายให้สหรัฐฯ ออกสู่ตลาดทั่วโลก”
อ้างอิง : cnbc.com