โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กฎหมายใหม่-BKIFF ปูทาง “หนังไทย” เข้ายุคทอง ดันกรุงเทพฯ ฮับภาพยนตร์เอเชีย

การเงินธนาคาร

อัพเดต 08 ก.ค. เวลา 17.32 น. • เผยแพร่ 08 ก.ค. เวลา 10.32 น.

รัฐ เอกชน สมาคมภาพยนตร์ร่วมวงพลิกโฉม หนังไทย กฎหมายใหม่-ร่าง พ.ร.บ. ภาพยนตร์ฉบับใหม่ จากควบคุมสู่ส่งเสริม ปูทางสู่ยุคทอง พร้อมคิกออฟ BKIFF ดันกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 5 ปี

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกำลังเข้าสู่บทใหม่ที่น่าจับตา โดยมีแรงหนุนจากการผ่านความเห็นชอบของ "ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่" จากคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (27 มีนาคม) ภายใต้การผลักดันอย่างเข้มข้นของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขระเบียบปฏิบัติ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ ที่มุ่งเน้นการปลดล็อกศักยภาพ ยกระดับมาตรฐาน และเปิดประตูให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

กฎหมายใหม่ 9 จุดเด่น: สัญญาณแห่งการปฏิรูป

ข้อมูลจาก THACCA ระบุว่าการปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อธรรมชาติของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมี 9 จุดเด่น ที่จะพลิกโฉมวงการภาพยนตร์ไทยคือ

  • แยก "ภาพยนตร์" ออกจาก "เกม": การแยกกฎหมายภาพยนตร์ออกจากเกมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะทั้งสองอุตสาหกรรมมีการเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การมีกฎหมายเฉพาะสำหรับเกม ("พระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม") จะช่วยให้การสนับสนุนและการกำกับดูแลมีความเหมาะสมและตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น
  • รื้อบอร์ดภาพยนตร์ระดับชาติ: การยกเลิกคณะกรรมการชุดเดิมและจัดตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติ" ที่มีสัดส่วนกรรมการจากภาคเอกชนมากกว่าภาครัฐ ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากบทบาท "ควบคุม" เป็น "ส่งเสริม" อย่างแท้จริง การที่ "ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย" เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายโดยตรง จะทำให้เสียงสะท้อนจากคนในวงการได้รับการรับฟังและนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง
  • จัดตั้ง สภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย: การรวมตัวของภาคเอกชนเป็นสภาฯ เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และเป็นช่องทางให้ภาคเอกชนรวบรวมปัญหาและนำเสนอมาตรการที่ตรงจุด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นเอกภาพของอุตสาหกรรม
  • เอกชน "จัดเรตเองได้": นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่มอบ "เสรีภาพในการสร้างสรรค์" ให้กับผู้ผลิต การที่เอกชนสามารถจัดเรตภาพยนตร์ด้วยการรับรองตนเอง (Self-regulate rating system) โดยอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานที่รัฐและเอกชนร่วมกันกำหนด จะช่วยลดข้อจำกัดและส่งเสริมความหลากหลายของเนื้อหา
  • ใช้ "มาตรฐานการจัดเรตต่างประเทศ" ได้: การเปิดโอกาสให้นำมาตรฐานการจัดเรตของหน่วยงานต่างประเทศมาใช้ได้ เป็นการยกระดับมาตรฐานภาพยนตร์ไทยให้เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดโลก
  • ยุบบอร์ดเซนเซอร์ - เปลี่ยนเป็นกำกับดูแล: การยกเลิกบอร์ดเซนเซอร์และจัดตั้ง "คณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการจัดระดับความเหมาะสมภาพยนตร์" แทน สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจาก "การควบคุมเนื้อหา" ไปสู่ "การกำกับดูแลให้เกิดความรับผิดชอบ" ซึ่งเป็นแนวทางที่ทันสมัยและส่งเสริมการเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ
  • เลิกใบอนุญาตโรงภาพยนตร์ เปลี่ยนเป็นระบบจดแจ้ง: การลดขั้นตอนและอุปสรรคในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก จะช่วยส่งเสริมการลงทุนและกระจายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ฉายภาพยนตร์มากขึ้น
  • ค่าธรรมเนียม ค่าปรับพินัย เป็นธรรม: การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมและค่าปรับให้มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรม โดยคำนึงถึงขนาดและโอกาสของผู้ประกอบการ จะช่วยลดภาระและสร้างความเสมอภาคให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมทุกขนาด
  • รัฐ-เอกชน ร่วมกันทำนโยบายส่งเสริมภาพยนตร์ 5 ด้าน: การมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระยะ 5 ปี ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยพัฒนาบุคลากรไปจนถึงการสนับสนุนการบุกตลาดต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ครบวงจรและมุ่งเป้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ตลาดภาพยนตร์ไทยสัญญาณดี ทำเงินเกิน 100 ล้าน

ข้อมูลล่าสุดจาก M STUDIO ระบุว่า สัดส่วนรายได้ของภาพยนตร์ไทยในตลาดเริ่มแซงหน้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยในปี 2024 ภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้ถึง 54% เมื่อเทียบกับฮอลลีวูดที่ 38% และอื่นๆ 8% จากมูลค่าตลาดรวม 4,485 ล้านบาท

เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมของคอนเทนต์ไทยในประเทศ โดยมีภาพยนตร์ไทยถึง 8 เรื่องที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทในปี 2024 เช่น "ธี่หยด 2" (815 ล้านบาท) และ "หลานม่า" (339 ล้านบาท) ขณะที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดมีเพียง 4 เรื่องที่ทำได้ถึงระดับนี้

แม้ว่าภาพยนตร์ไทยจะเริ่มกลับมาเป็นผู้นำในตลาดในประเทศ แต่ภาพรวมรายได้ของบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศไทยโดยรวมยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยในปี 2023 มีรายได้รวม 6.3 พันล้านบาท และปี 2024 ลดลงเหลือ 5.6 พันล้านบาท ซึ่งยังคงต่ำกว่าปี 2019 ที่มีรายได้สูงถึง 8.5 พันล้านบาท

ผลตอบรับจาก Cash Rebate แสงสว่างปลายอุโมงค์

แม้มีความท้าทายแต่การที่รัฐบาลได้เพิ่ม Cash Rebate สำหรับภาพยนตร์ต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยเป็น 30% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ได้ส่งผลเชิงบวกอย่างมหาศาล เพียงแค่ครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีภาพยนตร์ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำในไทยแล้วกว่า 13 โปรเจกต์

และสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไปแล้วกว่า 1,934 ล้านบาท ซึ่งตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น "ศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์ของโลก" และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

คิกออฟ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ดันกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 5 ปี

“ดร. สรณ โกวิทวณิชชา” อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์สารคดี และแอนิเมชัน และ Festival Director: World Film Festival Bangkok ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับศักยภาพและข้อจำกัดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยดังนี้

  • ความจำเป็นของ "โปรเจกต์มาร์เก็ต": การขาดกลไกในการดึงดูดการลงทุนภายในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตไทยต้องพึ่งพาเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศและแพลตฟอร์มต่างชาติในการระดมทุน ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการขยายตัว การมีโปรเจกต์มาร์เก็ตที่แข็งแกร่งจะช่วยให้เกิดการลงทุนและสร้างสรรค์ผลงานได้มากขึ้น
    • การสนับสนุนที่ต่อเนื่อง: คอนเทนต์ไทยมีศักยภาพและมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ แต่การลงทุนที่จำกัดและการขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากที่จะรักษาโมเมนตัมและแข่งขันกับประเทศอื่นที่ได้รับการสนับสนุนที่ดีกว่า
    • บุคลากรที่มีฝีมือ: ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมาก โดยเฉพาะจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานของคนไทยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ทำให้คนในวงการรู้สึกท้อถอย เช่น การขาดการสนับสนุนระยะยาว และกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป
    • อุปสรรคจากกฎระเบียบ: "การเซ็นเซอร์" เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และจำกัดแนวทางการเล่าเรื่อง ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาตนเอง และจำนวนภาพยนตร์ที่ผลิตออกมาในแต่ละปีไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ในปีนี้เราเตรียมจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (BKIFF) กลับมาจัดงานอีกครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีเชื่อมโยงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับนานาชาติ และเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระดับชาติงานแรกของไทยที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบ และ ผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียและเวทีโลก”

พร้อมกันนี้ BKIFF ยังวางแผนทำงานระยะยาวโดยในปีแรก จะจัดการแข่งขันภาพยนตร์ระดับนานาชาติ พร้อมเชิญผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานระดับสากลมาแลกเปลี่ยนความรู้ ตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นไปเทศกาลมีแผนเข้าสู่กระบวนการรับรองจาก FIAPF (สหพันธ์โปรดิวเซอร์นานาชาติ) เพื่อเป็นเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ได้รับการรับรองหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะดึงดูดภาพยนตร์ระดับ Asian Premiere หรือ World Premiere เข้ามาร่วมงานได้

นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนา Industry Program เพื่อรองรับการจัดตั้ง Film Market อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคภายใน 5 ปี พร้อมตั้งเป้าจัดตั้งโปรแกรม Series Awards เพื่อมอบรางวัลให้กับซีรีส์คุณภาพ

อ่านข่าว แวดวงธุรกิจ ที่น่าสนใจ ทั้งหมด ได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...