โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

“เอ็กโก กรุ๊ป” กับเป้าหมาย Net Zero 2050 – ลุยปรับพอร์ตสู่พลังงานสีเขียว

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 15 ธ.ค. 2566 เวลา 13.25 น. • เผยแพร่ 15 ธ.ค. 2566 เวลา 13.25 น.

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป ที่ผลิตไฟฟ้าและพลังงานครบวงจรมากว่า 31 ปี ณ ปัจจุบัน มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 7,067 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,418 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 20% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจให้บริการงานเดินเครื่อง งานวิศวกรรมและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยบริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทีพีเอ็น” โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค “ซีดีไอ” ในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “อินโนพาวเวอร์” และบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “เพียร์ พาวเวอร์” เป็นต้น

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป

เดินหน้าสู่ Net Zero 2050

นายเทพรัตน์ กล่าวต่อว่า จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากโลกร้อนมาสู่ภาวะโลกเดือด เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง ประกอบกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน (Energy Transition) เอ็กโก กรุ๊ป จึงขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน “Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth” พร้อมประกาศเป้าหมายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำครั้งแรกในปี 2021 โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่

  • เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2030 คือ การลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% และการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30%
  • เป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2050 คือ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เอ็กโก กรุ๊ป เล็งเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ไฮโดรเจน ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำมีความเป็นไปได้มากขึ้นและมีแนวโน้มรวดเร็วมากขึ้น

“เอ็กโก กรุ๊ป จึงทบทวนเส้นทางการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และประกาศเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายและเข้มข้นกว่ามากขึ้น โดยขยับเป้าหมาย Carbon Neutral ให้เร็วขึ้นจากเดิม 10 ปี เป็นปี 2040 และเพิ่มเป้าหมายใหม่ คือ การบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เพื่อร่วมผลักดันอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าและพลังงานในการช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก” นายเทพรัตน์ กล่าว

ปัจจุบันเป้าหมายใหม่ของเอ็กโก กรุ๊ป ในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่

1.เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2030 ลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30%
2.เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2040 บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)
3.เป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2050 บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

นายเทพรัตน์ กล่าวต่อว่า แนวทางการขับเคลื่อนไปสู่ 3 เป้าหมายข้างต้น ได้แก่

1. ไม่ลงทุนในเชื้อเพลิงหรือโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เพิ่มเติม (No New Coal Investment)
2. ปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก (ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน) ที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยีการนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสม (Hydrogen or Ammonia Co-firing)โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ
3. การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) หรือเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) หลังการเผาไหม้
4. เน้นการลงทุนพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก เช่น
– ไฮโดรเจน ที่มีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมไฟฟ้า
– เห็นโอกาสและศักยภาพของ Small Modular Reactors – SMRs 50-300 เมกะวัตต์
5. การเข้าร่วมในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต หรือ IREC
6. การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและฟื้นฟูป่าต้นน้ำเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิไทยรักษ์ป่า

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม

ในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มีความสำเร็จในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม คือ การปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผสม “ลินเดน โคเจน หน่วยที่ 6” กำลังผลิต 172 เมกะวัตต์ ที่เมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ให้เครื่องกังหันก๊าซสามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมกับก๊าซธรรมชาติได้ โดยการใช้เชื้อเพลิงผสมดังกล่าว ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน หน่วยที่ 6” ในภาพรวมลงประมาณ 10% จากระดับปกติ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยปรับปรุงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก ให้ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงได้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต

นอกจากนี้ เพื่อให้การเติบโตและระดมทุนของบริษัทสอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว เอ็กโก กรุ๊ป จึงเสนอขายหุ้นกู้กรีนบอนด์เป็นครั้งแรก ต่อนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2566 แม้สภาวะตลาดในขณะนั้นมีความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน แต่การออกกรีนบอนด์ของเอ็กโก กรุ๊ป ก็ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากกว่า 80 ราย ที่แจ้งความจำนงความต้องการลงทุนเป็นจำนวนกว่า 3 เท่าของมูลค่าการเสนอขาย ซึ่งนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้แก่ กองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย ธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสหกรณ์ และนักลงทุนประเภทอื่น ๆ

นายเทพรัตน์ กล่าวเสริมว่า การสนับสนุนดังกล่าวทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม โดยบริษัทมีแผนจะนำวงเงินระดมทุนนี้ไปใช้ชำระคืนเงินทุนสำหรับโครงการเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมประเภทพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เดิมของบริษัทและบริษัทในเครือ ภายใต้กรอบการจัดหาเงินทุนเพื่อโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และขับเคลื่อนสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ตามเป้าหมาย

แผนลงทุนพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน

ส่วนแผนการลงทุนพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนของเอ็กโก กรุ๊ป นายเทพรัตน์กล่าวว่า เอ็กโก กรุ๊ป ตั้งงบลงทุนระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2021-2025 วงเงิน 150,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วปีละ 30,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง

โดยปี 2567 เอ็กโก กรุ๊ป ตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในยุคการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) กลุ่มประเทศเป้าหมาย คือ อาเซียน (ที่มีฐานการลงทุนอยู่แล้ว) ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงและมีโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและก๊าซธรรมชาติค่อนข้างมาก

“ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการลงนามสัญญาซื้อขายหุ้น เพื่อเข้าถือหุ้นสัดส่วน 50% ใน “พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ” ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลได้ภายในปี 2566 หรือไม่เกินต้นปี 2567 และสามารถรับรู้รายได้ทันที” นายเทพรัตน์กล่าว

สำหรับ “คัมแพซ” เป็นพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 แห่ง กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ มาร์คัส ฮุก 912 เมกะวัตต์ มิลฟอร์ด 205 เมกะวัตต์ และไดตัน 187 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ใกล้กับศูนย์กลางของเมืองใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงมาก ได้แก่ ฟิลาเดลเฟีย บอสตัน และพรอวิเดนซ์ โดยพื้นที่เหล่านี้มีข้อจำกัดอย่างมากในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และมีนโยบายมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจำเป็นต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เสริมความมั่นคงให้แก่ระบบ

“การลงทุนใน “พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ” สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานของโลกไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต” นายเทพรัตน์กล่าว

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป มีแนวโน้มจะลงทุนพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการถือหุ้น 17.46% ใน “เอเพ็กซ์” (Apex) ผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยเอเพ็กซ์ได้รับประโยชน์จากกฎหมายว่าด้วยการปรับลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งเสริมการลงทุนพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ
ทั้งนี้ โมเดลธุรกิจของเอเพ็กซ์เป็นแบบไฮบริด คือ พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เองบางส่วน และจำหน่ายโครงการออกไปบางส่วน ทำให้แนวทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป เปลี่ยนจาก “ผลิตไฟฟ้า ขายไฟฟ้า” เพียงอย่างเดียว เป็น “ผลิตโรงไฟฟ้า ขายโรงไฟฟ้า” ด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเอ็กโก กรุ๊ป ในระยะยาว เนื่องจากการพัฒนาโครงการของเอเพ็กซ์สามารถทดแทนโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังจะทยอยหมดอายุสัญญาและสร้างการเติบโตใหม่ให้เอ็กโก กรุ๊ป ไปพร้อมกัน

ปัจจุบัน “เอเพ็กซ์” มีโครงการที่อยู่ใน Pipeline รวม 243 โครงการ กำลังผลิตรวม 58,900 เมกะวัตต์ (ณ สิ้นเดือน ก.ย. 66) ประกอบด้วย
-กำลังพัฒนา 234 โครงการ กำลังผลิต 57,638 เมกะวัตต์
-กำลังก่อสร้าง 7 โครงการ กำลังผลิต 968 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงปี 2567
-เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 2 โครงการ กำลังผลิต 294 เมกะวัตต์

โครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ภายใต้ “เอเพ็กซ์”
โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้ “เอเพ็กซ์”

มุ่งลงทุนเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านพลังงานสะอาด

นายเทพรัตน์กล่าวต่อว่า ตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เอ็กโก กรุ๊ป อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่มีอยู่ในพอร์ตโฟลิโอให้ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง โดยร่วมมือกับพันธมิตรศึกษาความเป็นไปได้ในการนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสม (Hydrogen or Ammonia Co-firing) รวมถึงการใช้เทคโนโลยี CCS หรือ CCUS

ในขณะเดียวกัน เอ็กโก กรุ๊ป ยังมีนโยบายส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยเชื่อมั่นว่าเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญและมีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว รวมถึงมุ่งมั่นผลักดันการใช้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่สะอาดขึ้นและพัฒนาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยร่วมมือกับพันธมิตรศึกษาเทคโนโลยีและแสวงหาโอกาสลงทุนในซัพพลายเชนไฮโดรเจน ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง และการประยุกต์ใช้งาน โดยเฉพาะในประเทศซาอุดิอาระเบียและออสเตรเลียที่มีศักยภาพสูง

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ร่วมกับ กฟผ. และ ราช กรุ๊ป ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีแห่งอนาคต ผ่าน “บริษัท อินโนพาวเวอร์ จํากัด” เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยการนํานวัตกรรมมาต่อยอดเชิงธุรกิจและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...