‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้
แม้หลายคนในพรรคพลังประชารัฐจะยืนยันว่า ‘บิ๊กป้อม’ จะยังเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่นี่คือสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ พล.อ.ประวิตรก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเองเมื่อปี 2563
‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ รองหัวหน้าพรรค ระบุเหตุผลที่ ‘บิ๊กป้อม’ ถอนตัวจากแคนดิเดตนายกฯ เพราะมีปัญหาสุขภาพ ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกที่คนในพรรคยอมรับว่า พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. มีปัญหาสุขภาพ
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ แม้จะข่าวคราวเรื่องสุขภาพของ ‘บิ๊กป้อม’ ออกมา แต่แทบทุกครั้ง ลูกพรรคตลอดจนคนใกล้ชิดจะออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว พร้อมกับตัว พล.อ.ประวิตรที่จะพยายามแสดงความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อสื่อสารออกมาเสมอว่า ‘ยังไหว’
การยอมรับว่า ‘บิ๊กป้อม’ มีปัญหาสุขภาพ จนถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯ จึงถูกตีความออกเป็น 2 นัย นัยแรกคือ ปัญหาสุขภาพรุมเร้าหนักเกินกว่าจะถือธงนำจริง กับอีกนัยคือ ข้ออ้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคพลังประชารัฐมีขนาดเล็กลงนับตั้งแต่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขน สส.ครึ่งหนึ่งไปสร้างอาณาจักรพรรคกล้าธรรม ต่อเนื่องมาถึงการที่ลูกพรรคที่เหลือแอบย่องไปเจรจากับพรรคภูมิใจไทย เพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จนทำให้ สส.ในมือที่อยู่กับ ‘บิ๊กป้อม’ จริงๆ แค่ 3 คน ไม่รวมตัวเอง ได้แก่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน นางขวัญเรือน เทียนทอง อดีต สส.สระแก้ว และนายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ อดีต สส.หนองคาย กลายเป็นพรรคขนาดเล็กเต็มรูปแบบ
แม้ช่วงแรก ‘บิ๊กป้อม’ พยายามจะสร้างพรรคขึ้นมาใหม่ ด้วยการรวบรวมนักการเมืองต่างๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดาคนเหล่านี้ที่เข้ามาล้วนแต่เป็นอดีต สส.สอบตก อดีตผู้สมัคร สส.สอบตก หรือนักการเมือง ที่พรรคการเมืองอื่นไม่เลือก
หลายคนเข้ามาเพื่อหวังกระสุนดินดำตามที่คนการเมืองกล่าวขานกันว่า ‘บิ๊กป้อม’ มีมากมายมหาศาล หลายคนรับทรัพยากรไปแล้ว แต่เมื่อถึงเวลากลับไปเปิดตัวกับพรรคการเมืองอื่น
ผู้สมัคร สส.หลายคนที่ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ คือ นักการเมืองเกรดบี เกรดซี ที่ถูกมองเป็นตัวประกอบในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น
หากดูจากตัวผู้สมัคร สส.แล้ว เมื่อเทียบกับความพร้อมของพรรคอื่น โอกาสที่พรรคพลังประชารัฐจะกลับมายิ่งใหญ่แทบไม่มี การลงทุนมหาศาลอีกครั้งเสี่ยงที่จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ซึ่งการที่ ‘บิ๊กป้อม’ ถอนตัวจากแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค มันมีผลต่อพรรคมหาศาล
อย่างไรก็ดี หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นยุทธศาสตร์ลดขนาดพรรคและลดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เพราะรู้อยู่แล้วว่า เมื่อส่งสัญญาณแบบนี้ นักเลือกตั้งหลายคนจะหนีออกไป
โดยก่อนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐจะมีมติเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ 2-3 วัน มีข่าวลือ 2 ข่าวออกมา คือ ‘บิ๊กป้อม’ จะวางมือทางการเมือง กับข่าวลือว่า กระสุนดินดำที่จะถกใช้ในครั้งนี้ร่อยหรอ จำกัด ไม่ได้อู้ฟู่เหมือนการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
ข่าวลือดังกล่าว ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร สส.ที่ประสงค์ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐหลายคนรีบกระโดดหนีทันควัน เพื่อหาต้นสังกัดใหม่ เพราะรู้ว่า เมื่อ ‘บิ๊กป้อม’ ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ โอกาสที่จะสนับสนุนกระสุนดินดำมากมายก่ายกองย่อมไม่มีตามไปด้วย
ผู้สมัครเหล่านี้ไม่ได้อยู่เพราะศรัทธาในตัว ‘บิ๊กป้อม’ หรือ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ หากแต่หวังประโยชน์จากสิ่งที่ ‘บิ๊กป้อม’ มี
ขณะเดียวกัน การให้ ‘ตรีนุช’ ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 ของพรรคแทน ย่อมหมายถึงการให้ ‘ตรีนุช’ เป็นแม่ทัพในการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ
แน่นอนว่า ‘ตรีนุช’ มีสไตล์การทำงานที่แตกต่างจาก ‘บิ๊กป้อม’ นั่นคือ รู้ทันนักการเมืองและนักเลือกตั้งด้วยกัน ไม่ง่ายที่จะขออะไรก็ได้ ต่างจาก พล.อ.ประวิตรที่ค่อนข้างใจดี
กระสุนดินดำในยุคที่ ‘ตรีนุช’ เป็นแม่ทัพ จะถูกใช้เฉพาะพื้นที่เป้าหมายและคาดหวังได้ ไม่ได้สาดไปทั่ว โดยยืนอยู่บนหลัก ‘ความเป็นจริง’ ว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐคือ ‘พรรคขนาดเล็ก’
การให้ ‘ตรีนุช’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอันดับ 1 ยังเป็นการสวมบทหัวหน้าพรรคโดยพฤตินัย เพื่อรอศึกเลือกตั้งเสร็จสิ้นจะได้มีการปรับโครงสร้างอีกครั้ง เพื่อนำไปสู่การเป็นหัวหน้าพรรคโดยนิตินัย
นั่นคือ สิ่งที่วางไว้หาก ‘ตรีนุช’ ไม่เปลี่ยนใจกะทันหัน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ และตัว ‘บิ๊กป้อม’ และอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดในอนาคตอันใกล้
และบางทีนี่อาจเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายของพรรคพลังประชารัฐ.