เวเนซุเอลา ส่งสัญญาณฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ ย้ำเงื่อนไขยุติแทรกแซง หวังกู้วิกฤตเศรษฐกิจ-ดึงดูดการลงทุนพลังงาน
"มาดูโร" ผู้นำเวเนซุเอลาพร้อมเปิดโต๊ะเจรจา “วอชิงตัน” บนหลักความเคารพอธิปไตย หลังเผชิญมาตรการคว่ำบาตรและความขัดแย้งยืดเยื้อกว่า 2 ทศวรรษ - สหรัฐฯ ตรึงกำลังทางเรืออ้างภารกิจปราบปรามยาเสพติด นักวิเคราะห์ชี้ความร่วมมือครั้งใหม่คือทางออกสู่ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและปัญหาเสถียรภาพการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
27 ธันวาคม 2568-สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการเคลื่อนไหวสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคลาตินอเมริกา เมื่อประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ได้ประกาศผ่านแถลงการณ์ทางโทรทัศน์เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ถึงความเต็มใจในการเปิดช่องทางการสื่อสารทางการทูตและเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกา
โดยยื่นเงื่อนไขหลักคือการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และการยุติการดำเนินนโยบายแทรกแซงกิจการภายในที่เวเนซุเอลาอ้างว่าดำเนินต่อเนื่องมาตลอด 25 ปี
ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามเชิงรับในการคลายล็อกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่กัดกร่อนความสามารถในการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติหลักของประเทศ โดยมาดูโรระบุว่า "หากฝ่ายสหรัฐฯ ละทิ้งความพยายามที่ล้มเหลวในการแทรกแซงและหันมาสร้างสันติภาพ เราก็พร้อมที่จะแสวงหาแนวทางความร่วมมือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทั้งสองประเทศ"
ประเด็นที่สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการค้าในภูมิภาคคือ การขยายอิทธิพลทางการทหารของสหรัฐฯ ในน่านน้ำทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทางอากาศและกองเรือรบเข้าประจำการภายใต้ภารกิจปราบปรามการก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (Narcoterrorism) ซึ่งมีรายงานการทำลายเรือที่ต้องสงสัยไปแล้วกว่า 30 ลำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย
การเผชิญหน้ากันในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ยังสร้างความเสี่ยงต่อเส้นทางการเดินเรือพาณิชย์และการขนส่งพลังงานในภูมิภาค ซึ่งประธานาธิบดีมาดูโรได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลและพยายามสร้างภาพลักษณ์เชิงลบผ่านสื่อต่างประเทศเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์มหภาค เวเนซุเอลาถือเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเงินและการถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก (SWIFT) รวมถึงมาตรการลงโทษจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทำให้กำลังการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ การส่งสัญญาณเจรจาของมาดูโรในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนความพยายามดึงนักลงทุนกลุ่มพลังงานยักษ์ใหญ่กลับเข้าสู่ประเทศเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่ชำรุดทรุดโทรม
"ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลาไม่เพียงแต่จะเป็นการยุติวิกฤตมนุษยธรรมในประเทศ แต่ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลราคาน้ำมันในตลาดโลก หากน้ำมันดิบหนักจากเวเนซุเอลาสามารถกลับเข้าสู่โรงกลั่นในสหรัฐฯ ได้ตามปกติ"
ผู้นำเวเนซุเอลายังได้เรียกร้องให้สื่อกระแสหลักในสหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนทัศนคติและรายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริง โดยระบุว่าความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างสองประเทศยังคงถูกมองด้วยความระมัดระวังจากนักลงทุน เนื่องจากความแตกต่างในเชิงอุดมการณ์และการเมืองภายในของทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก (Key Risk Factor) ที่อาจทำให้การเจรจาไม่บรรลุผล
อย่างไรก็ตาม หากวอชิงตันตอบรับท่าทีดังกล่าว จะถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่ในทวีปอเมริกา ซึ่งจะส่งผลดีต่อห่วงโซ่อุปทานพลังงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคในระยะยาว