โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“ สาธุ 2 ”ตีแผ่ความจริงที่ไม่มีใครพูด เมื่อโมเดลหาเงิน เติบโตบนการเมือง ยิ่งผูกขาด ยิ่งไร้ตรวจสอบ

Thairath Money

อัพเดต 02 ธ.ค. เวลา 08.25 น. • เผยแพร่ 02 ธ.ค. เวลา 08.24 น.
ภาพไฮไลต์

ย้อนไป ซีรีส์ไทย เรื่อง “สาธุ (The Believers)” ภาคแรก เคยได้ตีแผ่เรื่องราวของโมเดลการหาเงินจากวัด โดยกลุ่มวัยรุ่น ชาย-หญิง 3 คน ซึ่งประกอบไปด้วย วิน (เจมส์ ธีรดนย์) ,เกม (พีช พชร) และ เดียร์ (แอลลี่ อชิรญา) ที่เปลี่ยนวัดร้าง ให้กลายเป็นธุรกิจศาสนา ผ่านการใช้การตลาดดิจิทัลและวาทกรรมเรื่องบุญมาเป็นเครื่องมือหาเงิน

สะท้อนภาพจริงของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน พร้อมกับทิ้งข้อสงสัยใหญ่ไว้ว่า แรงศรัทธาของเรา สามารถนำไปให้กลุ่มคนบางกลุ่ม แปรรูปเป็นเครื่องมือสร้างเงินและผลประโยชน์ได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?

ล่าสุด การกลับมาของ “สาธุ ๒ “ ซึ่งจะได้รับชมทาง Netflix ช่วงวันที่ 4 ธ.ค. นี้ มาพร้อมกับ "พุทธพาณิชย์" ที่ซับซ้อนขึ้นจากเดิม ผ่านมุมมองของกลุ่มที่เรียกว่า “สตาร์ทอัพ” ได้เต็มตัว โดยใช้ความเชื่อเป็นช่องทางหาเงิน เพื่อปลดหนี้ อีกครั้ง

ความน่าสนใจของ สาธุ 2 ยังมาจากโมเดลการหาเงินของวัดที่เข้มข้นขึ้น และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น สู่ "เครือข่ายอิทธิพลและการเมืองท้องถิ่น" จนอาจเรียกได้ว่า จากเกม "การโกง" ไปสู่การสร้าง "ระบบผูกขาด" (Monopoly) ที่ใช้ความมั่นคงทางการเมือง ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แบบสังคมไทยคุ้นชิน มาเป็นตัวเดินเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม

รวมไปถึง การเสียดสีนโยบายการเมือง ผ่าน นโยบุญจากพรรคธรรมพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น โครงการใส่บาตรดิจิทัล , คนละครึ่งพระ ช่วยค่าบวช 50% ,ทำบุญวัดรองลดหย่อนภาษี 2 เท่า และ ใบโพธิ์อัปเลเวลบุญ ตามเงินบริจาค เพื่อนำไปสู่ การระดมเงิน สร้างโรงพยาบาลวัดหนองขาล

บทวิเคราะห์นี้ อยากชวนสำรวจเรื่องราว ว่าทำไมระบบความศรัทธา ที่ได้รับการคุ้มครองโดยอำนาจท้องถิ่น ถึงน่ากลัวและเป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง กว่าการหลอกลวงแบบฉาบฉวยทั่วๆไป

จุดเปลี่ยนการซื้อ "ใบอนุญาต" ในตลาดบุญ

จะพบว่าในเชิงการเงิน ธุรกิจของวินและเพื่อนในภาคแรก คือ "High-Risk, High-Reward" หลังจากพวกเขาต้องลงทุน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ, เผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย, และแข่งขันกับพระที่ "ของจริง" กว่า

แต่ สาธุ 2 จากตัวอย่างซีรีส์ จะพบว่ามีตัวละครใหญ่อย่าง ผู้สมัคร สส. เอ๋ - ชไมพร (โดนัท มนัสนันท์) พรรคธรรมพัฒนา เป็นตัวแทนของอำนาจการเมืองท้องถิ่น เข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขากำลังซื้อสิ่งที่เรียกว่า "Regulatory Capture" หรือ "การควบคุมกฎระเบียบ" ซึ่งเป็นศัพท์ในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง

โดยการเมืองท้องถิ่น ต้องการควบคุม "กระแสเงินสด" ที่ไหลเข้าวัดอย่างต่อเนื่อง การอุปถัมภ์จากนักการเมืองท้องถิ่น จึงเท่ากับ การจ่ายเงินเพื่อซื้อ "ใบอนุญาตประกอบธุรกิจทางศรัทธา" ที่ปลอดจากคู่แข่ง และมีภูมิต้านทานต่อการตรวจสอบจากภายนอก และเผลอๆ ตัวนักการเมือง เป็นตัวตั้งตัวตีในการดำเนินการเสียเองผ่าน “นอมินี”

ในโมเดลธุรกิจรูปแบบดังกล่าว คล้ายกับการลงทุนเพื่อให้ธุรกิจผิดกฎหมายของพวกเขากลายเป็น "ระบบ" ที่ถูกกฎหมายและมีความมั่นคงทางการเมืองค้ำยัน ขณะเดียวกัน ก็สร้างทางเข้า โดยใช้แบ็กอัพทางการเมือง ทำให้คู่แข่งรายใหม่เข้าสู่ตลาดนี้ได้ยากขึ้นอย่างมาก วัดที่ผูกพันกับระบบอุปถัมภ์จะกลายเป็นผู้ผูกขาดความศรัทธาในพื้นที่นั้นโดยปริยาย

จาก "ความเสี่ยงของบุคคล" สู่ "เสถียรภาพของระบบ"

ผู้กำกับ “วรรธนพงศ์ วงศ์วรรณ” กล่าวถึงซีซั่น 2 ว่าเป็นเรื่องราวของ คนที่คิดว่าเล่นระบบได้ แต่จริง ๆ แล้วระบบเล่นคน เสียเอง นี่คืออีกข้อสะท้อนถึงกฎที่สำคัญของเศรษฐศาสตร์การเมือง เมื่อโมเดลธุรกิจเปลี่ยนจากความฉลาดรายบุคคลไปสู่โครงสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้น

หากในซีซั่น 1 โมเดลธุรกิจนั้นขับเคลื่อนด้วย สมการความน่าจะเป็นและกลยุทธ์หลักของวิน ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและประสิทธิภาพของกลโกงรายบุคคล ที่มีโอกาส “พลาด” ได้ แต่ในซีซั่น 2 ตัวขับเคลื่อนหลักที่เป็นพรรคการเมือง ที่มีเครือข่ายกว้างขวางแล้วนั้น

ทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจ ต่ำลงอย่างมาก เพราะได้รับการรับรองจากอำนาจท้องถิ่นและกฎหมายที่ถูกบิดเบือน กล่าวคือ โมเดลธุรกิจของวินและเพื่อนในภาคนี้จึงไม่ได้พึ่งพาแค่ความสามารถส่วนตัวอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความเหนียวแน่นของ "โครงสร้างอำนาจทั้งหมด" ซึ่งมีความมั่นคงในตัวเองสูง แม้ตัวบุคคลจะล้ม (เช่น การสึกของพระดล) ระบบ ก็สามารถหาคนใหม่มาแทนที่ได้เสมอ ตราบใดที่ผลประโยชน์ยังหมุนเวียนและโครงสร้างอำนาจยังคงอยู่

การกลับมาของ “พระดล” เมื่อหลุดจากผ้าเหลือง ต้นทุนคือศูนย์

ใน “สาธุ 2” อีกตัวละครสำคัญที่เกิดจุดพลิกผันเมื่อภาคแรก อย่าง พระดล (ปั๊บ โปเตโต้) ได้กลับมาอีกครั้ง ในบทบาทที่ "สึกออกมา" เพื่อค้นหาตัวเอง เป็นการตอกย้ำถึงราคาที่ต้องจ่ายเมื่อบุคคลตัดสินใจออกจากระบบที่ถูกยึดกุมอำนาจไว้แล้ว

การสึกของพระดล ต้องเผชิญกับ การสูญเสียทุนทางศรัทธา ซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุดในระบบพุทธพาณิชย์ "ความน่าเชื่อถือทางจิตวิญญาณ" และสถานะทางสังคมที่ได้มา หาไปกับผ้าเหลืองที่เคยห่อหุ้ม ทำให้ “พระดล” ปรากฎตัวด้วยต้นทุนที่เท่ากับศูนย์ ซึ่งตรงข้ามกับการอยู่ในระบบที่ได้รับการยอมรับ และมีอำนาจสูง

คำถามสำคัญที่ชวนให้เราติดตามใน สาธุ 2 คือ วิน, เกม, และเดียร์ ในฐานะผู้ที่ช่วยสร้างระบบนี้ขึ้นมา จะยังคงพยายาม "เล่นระบบ" ต่อไป หรือ จะหาวิธีทำลาย "ระบบผูกขาด" ที่ค้ำยันด้วยการเมืองท้องถิ่นนี้ได้อย่างไร กับเดิมพันใหญ่ ที่เริ่มจากเพียงต้องการหาเงินใช้หนี้

สุดท้าย จะเห็นได้ว่า ซีรีส์เรื่อง “สาธุ ๒" ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพระที่หลอกลวง หรือสตาร์ทอัพที่ใช้การตลาดแนวศรัทธา มาฉ้อฉล แต่เป็นการชำแหละ "กลไก" ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ทำให้กลโกง ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง และถูกกฎหมาย และอาจทำให้เราได้รู้ว่า ธุรกิจที่ผูกขาดด้วยอำนาจนั้น มีความเสถียรและอันตรายกว่าธุรกิจสตาร์ทอัพที่ผันผวนมากแค่ไหน ซึ่งบทสรุปอาจพบว่า เราทุกคนต่างก็เป็นเพียง หมาก ในเกมที่ระบบออกแบบไว้แล้วนั่นเอง

ที่มา : Netflix

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/business_marketing

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ สาธุ 2 ”ตีแผ่ความจริงที่ไม่มีใครพูด เมื่อโมเดลหาเงิน เติบโตบนการเมือง ยิ่งผูกขาด ยิ่งไร้ตรวจสอบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...