โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ส่องแผน AEDP 2022 วางอนาคตพลังงานทดแทนไทย

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 11 ม.ค. 2566 เวลา 06.37 น. • เผยแพร่ 11 ม.ค. 2566 เวลา 04.28 น.

วิกฤตด้านพลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกหลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายฝ่ายจึงมุ่งสู่การพัฒนาพลังงานสะอาด เป็นหนทางลดความเสี่ยงลดการพึ่งพิงพลังงานจากฟอสซิล ทั้งยังช่วยชาติเดินหน้าสู่การขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050

ทิศทางกระทรวงพลังงานปี’66

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา บทเรียนราคาแพงของประเทศไทยต้องเผชิญภาวะความผันผวนที่เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตพลังงาน ทั้งปัจจัยจากสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน การลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศมหาอำนาจ ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และค่าครองชีพประชาชนปรับตัวสูงขึ้น

ซึ่งในปี 2566 คาดว่าสถานการณ์ความผันผวนด้านพลังงานจะยังคงอยู่ เราจำเป็นจะต้องปรับบทบาทไปสู่การใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น ตามแผนที่คาดว่าจะมีสัดส่วน 50% มุ่งบริหารจัดการพลังงานลดความเสี่ยง ความผันผวน เพื่อให้เพียงพอ ไม่ให้กระทบค่าครองชีพประชาชน

โดยกระทรวงปรับบทบาทองค์กรก้าวสู่ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) สร้างความมั่นคงด้านพลังงานแล้ว ยังต้องเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและการดำเนินการหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด

และกระตุ้นการลงทุนธุรกิจพลังงานใหม่ ๆ เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล/ก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานเพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก 200 เมกะวัตต์ การลงทุนรถ EV สถานีอัดประจุไฟฟ้าและแบตเตอรี่ และร่วมกับกรมสรรพสามิต ศึกษาศักยภาพ พัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ซึ่งแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan : NEP)

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ปี 2566 จะเปิดรับฟังความเห็นประกอบการจัดทำแผนย่อย 5 แผนในการจัดทำแผน NEP ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2022) แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) และแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan)

จากนั้นคาดว่าไตรมาส 2-3 จะเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะรัฐมนตรี และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 3-4 ปี 2566

แผน AEDP 2022

หากแยกเฉพาะร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2022) ฉบับใหม่ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 แผนของ NEP “นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ” อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงร่างแผน AEDP 2022

โดยคาดว่าจะมีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นได้ในช่วงต้นปี 2566 แน่นอนว่าจะต้องปรับเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด ให้เพิ่มขึ้นกว่าแผนเดิม โดยเฉพาะ พลังงานจากแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ไทยยังมีศักยภาพเหลือมากพอ

เบื้องต้นยังคงเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ 29,411 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น อาทิ โควตารับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าตามนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ รวม 520 เมกะวัตต์ มีการปรับเพิ่มโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเข้ามาในระบบ รวม 1,933 เมกะวัตต์

อีกทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ 12,139 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ 2,725 เมกะวัตต์ ชีวมวล 5,790 เมกะวัตต์ พลังงานลม 2,989 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวมวล (น้ำเสีย/ของเสีย/พืชพลังงาน) 1,565 เมกะวัตต์ ขยะชุมชน 900 เมกะวัตต์ ขยะอุตสาหกรรม 75 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ 2,920 เมกะวัตต์ และพลังน้ำขนาดเล็ก 308 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะกำกับดูแลกิจการพลังงานของประเทศ ทำหน้าที่เสนอความเห็นว่าการรับซื้อไฟฟ้าควรพิจารณาด้านปริมาณ ราคา และระยะเวลาใดที่จะเหมาะสม

มาตรการลดพลังงาน/เซฟค่าไฟ

นอกจากการจัดทำแผน AEDP แล้ว กรมได้ประกาศใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคาร ที่บังคับใช้ในอาคารที่มีพื้นที่ (BEC) ขนาดไม่ต่ำกว่า 2,000 ตร.ม. คาดว่าจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 13,700 ล้านหน่วย หรือกว่า 47,000 ล้านบาท รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ล้านตัน/ปี การส่งเสริมให้ส่วนราชการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ช่วยลดค่าไฟฟ้า และการนำร่องอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงิน สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการใช้อุปกรณ์ เครื่องจักรประสิทธิภาพสูง

ตาราง พลังงาน

การเร่งการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล/ก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทําให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 20 ปี มูลค่ารวมกว่า 37,700 ล้านบาท ทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 630,737 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

เอกชน-นักวิชาการหนุนใช้พลังงานหมุนเวียน

ด้าน นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาด้านพลังงานเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หนึ่งในนั้นคือการแก้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ (PDP 2022)

โดยเห็นด้วยให้มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% และขอให้เร่งทำระบบ Emission Carbon System หรือการเก็บภาษีจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราที่สูง สนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ลดข้อจำกัด ลดเงื่อนไข และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ EV

ขณะที่ นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตพลังงานและมาตรการทางการค้าอยู่แล้ว เราจึงตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมากต่อเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งหากประเทศไทยไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้

หรือไม่มีความคืบหน้าหรือขาดความชัดเจนต่อเป้าหมาย จะส่งผลต่อนักลงทุนปรับลดการผลิต ไปจนถึงย้ายฐานการผลิต โดยที่ผ่านมาภาคเอกชนลงทุนลดการปล่อยคาร์บอนแล้ว เพราะเป้าหมายของประเทศคือ ปี 2050 ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าช้าเกินไปสำหรับการทำธุรกิจ

ดังนั้น ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในการทำแผนและการสื่อสารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนพลังงานสะอาดของประเทศ ซึ่งควรที่จะเร่งรัด Grid Modernization หรือการปรับปรุงพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า

โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีสัดส่วนพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อช่วยภาคเอกชนลดก๊าซเรือนกระจกที่มีการปล่อยทางอ้อมผ่านระบบไฟฟ้า เพราะฝั่งเอกชนไม่สามารถลดได้เอง และรัฐควรบริหารจัดการโควตาการดูดซับคาร์บอนที่ครอบคลุมไปถึงกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก เช่น การทำเรื่อง Green Finance ที่ปัจจุบันมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกขนาดหรือเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงได้ด้วย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...