โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

4 กองทุนเด่น ลงทุน Top 20 บริษัทระดับโลก

Lumpsum

เผยแพร่ 05 พ.ย. 2564 เวลา 14.05 น.

รู้หรือไม่ครับว่าหลายบริษัทที่เป็น Top 20 บริษัทระดับโลกมีขนาดใหญ่กว่า GDP ไทยเสียอีก
และเราล้วนเป็นลูกค้าของบริษัทเหล่านี้
นอกจากเป็นลูกค้าแล้ว แล้วยังสามารถลงทุนบริษัทเหล่านี้ได้ด้วยนะครับ

ลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านกองทุนรวม

ซึ่งวันนี้ Lumpsum ได้คัด 4 กองทุนเด่น ที่ลงทุน Top 20 บริษัทระดับโลก

หรือเพื่อน ๆ คนไหนมีกองทุนเด็ดอยากบอกต่อก็ยินดีมากเลยนะครับ ทักมาพูดคุยกันได้ที่เพจ Lumpsum

 

20 บริษัท ล้วนเป็นบริษัทในประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ เป็นบริษัทจีน 2 บริษัท ที่เหลือเป็นบริษัทของซาอุดิอาระเบีย (บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ไต้หวัน เกาหลีใต้ และฝรั่งเศสอย่างละ 1 บริษัท

20 บริษัท ที่มีมูลค่าสุงที่สุดในโลก

จะเห็นว่า 14 จาก 20 บริษัท ล้วนเป็นบริษัทในประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ เป็นบริษัทจีน 2 บริษัท ที่เหลือเป็นบริษัทของซาอุดีอาระเบีย (บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ไต้หวัน เกาหลีใต้ และฝรั่งเศสอย่างละ 1 บริษัท

และถ้าสังเกตอีกนิดก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี
ดังนั้น หากอยากลงทุน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เราจะสามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมหุ้น US และ Global Technology
ที่มา : EASY INVEST

 

เราสามารถหากองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เป็นสัดส่วนหลัก ด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้
Step 1 คัดกองทุนจาก Morningstar Rating™ โดยเลือกกองทุนหุ้นสหรัฐฯ (US Equity) กับกองทุนหุ้นเทคโนโลยีโลก (Global Technology) ที่ได้ 4 ดาวขึ้นไป

- กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้ 4 ดาวขึ้นไปมี 5 กองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 64)

- กองทุนหุ้นเทคโนโลยี ที่ได้ 4 ดาวขึ้นไปมี 4 กองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค. 64)
Step 2 จากนั้นเข้าไปดูรายละเอียดสัดส่วนการลงทุนของแต่ละกอง โดยเลือกกองทุนที่ Top 5 Holdings ลงทุนใน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นสัดส่วนหลัก

- กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่ Top 5 Holdings ลงทุนใน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นสัดส่วนหลัก มีอยู่ 3 กองทุน คือ K-USXNDQ-A (D) , KT-US-A และ TMBUSBLUECHIP

- กองทุนหุ้นเทคโนโลยี ที่ Top 5 Holdings ลงทุนใน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นสัดส่วนหลัก มีอยู่ 1 กองทุน คือ B-INNOTECH

 

ดูผลตอบแทนที่เคยทำได้ในอดีต

จะเห็นว่าทั้ง 4 กองทุนให้ผลตอบแทนดีมากในระดับมากกว่า 20% ต่อปี โดยเฉพาะ B-INNOTECH ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในบรรดาทั้ง 4 กองทุน

ซึ่งไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยี ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ของโลก และนั่นทำให้กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์ไปด้วย เพราะหุ้นบลูชิพหลายบริษัทล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลยี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนะครับ จึงเป็นหน้าที่ของเราว่ามีมุมมองอย่างไรต่อกองทุนเหล่านี้ ต้องประเมินหรือวิเคราะห์ว่าเทรนด์หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยี จะยังไปต่อได้อีกไกลหรือไม่?

 

ดูความเสี่ยงของกองทุนรวม เป็นส่วนหนึ่งที่พิจารณาว่ากองทุนนี้เหมาะกับเราหรือไม่

ดูความเสี่ยงของกองทุนรวม เป็นส่วนหนึ่งที่พิจารณาว่ากองทุนนี้เหมาะกับเราหรือไม่
ความเสี่ยงในการลงทุน คือโอกาสที่เราจะขาดทุนเงินต้น ไม่ใช่โอกาสที่จะได้กำไรน้อยกว่าคาด
ความเสี่ยงของกองทุนรวมจะถูกประเมินและระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ระดับความเสี่ยงโดยรวมของกองทุนจะแสดงไว้ในรูปของ Risk Spectrum จากระดับ 1 ถึง 8 โดยความเสี่ยงระดับ 1 มีโอกาสขาดทุนเงินต้นต่ำสุด ส่วนความเสี่ยงระดับ 8 มีโอกาสขาดทุนเงินต้นสูงสุด
จากตารางจะเห็นว่า B-INNOTECH มีความเสี่ยงระดับ 7 สูงที่สุดใน 4 กองทุนเหล่านี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะการลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยี ส่วนอีก 3 กองทุนหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงระดับ 6 ซึ่งเป็นความเสี่ยงระดับโดยทั่วไปของกองทุนตราสารทุน หรือหากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ กองทุนรวมหุ้นนั่นเอง
หลังจากดูความเสี่ยงโดยรวมของกองทุน ซึ่งเป็นความเสี่ยงเบื้องต้นในภาพรวมไปแล้ว ควรจะดูความเสี่ยงเจาะลึกมากขึ้น ด้วยมาตรวัดความเสี่ยง 3 แบบ คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ชาร์ป เรโช (Sharpe Ratio) และเจนเซ่น อัลฟ่า (Jensen’ s Alpha)
- ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เป็นค่าสถิติที่บอกถึง “ความน่าจะเป็น (Probability)” ของผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ผิดไปจาก “ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return)” ถ้าค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่า “สูง” แสดงว่ากองทุนนั้นมีความเสี่ยงสูงเพราะอัตราผลตอบแทนมีการกระจายตัวไกลจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังไปมาก โอกาสที่จะเบี่ยงเบนไปจึงมากด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่า “ต่ำ” แสดงว่ากองทุนนั้นมีความเสี่ยงต่ำ
- ชาร์ปเรโช (SharpeRatio) เป็นการวัดผลตอบแทนของกองทุนรวมที่มากกว่าหรือเหนือกว่าอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยงปรับด้วยค่าความเสี่ยงของกองทุนรวม คือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นการมอง “ผลตอบแทน” ต่อ 1 หน่วยความเสี่ยงที่เท่ากัน หรือพูดได้อีกอย่างคือ การที่กองทุนมีค่า Sharpe Ratio ที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับอีกกองทุนหนึ่ง แสดงว่าผู้จัดการกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า ณ 1 หน่วยความเสี่ยงที่เท่ากัน แต่ก็ควรใช้เปรียบเทียบกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน ตัวอย่าง กองทุน A, B และดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีค่า Sharpe Ratio เท่ากับ 1.12, 0.95 และ 0.85 ตามลำดับ หมายความว่า กองทุน A เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุน B และดัชนี ตลาดหลักทรัพย์เมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง 1 หน่วย
- เจนเซ่น อัลฟ่า (Jensen’ s Alpha) เป็นการเปรียบเทียบผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมกับอัตราผลตอบแทนที่ต้องการปรับด้วยค่าความเสี่ยง กล่าวคือ ค่าอัลฟ่าเป็นค่าที่บอกว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนนั้นทำได้ดีหรือมากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต้องการตามทฤษฎีหรือให้ผลตอบแทนมากกว่า ของผลตอบแทนของตลาดอยู่กี่ % เช่น ค่าอัลฟ่า 4% หมายความว่า กองทุนที่เราลงทุนอยู่ให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนตามตลาดอยู่ 4%
ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในกองทุนที่ให้ค่า อัลฟ่ามากๆ ก็จะมีแนวโน้มที่ดีกว่า และเป็นตัวบ่งบอกด้วยว่ากองทุนนั้นมีการบริหารจัดการได้ดีจนทำให้มีค่าอัลฟ่าสูง นั่นคือ ค่าอัลฟ่าของกองทุนรวมยิ่งสูงแสดงว่าผลตอบแทนของกองทุนรวมสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ณ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ 1 หน่วย ข้อดีของวิธีนี้เหมาะกับการวัดฝีมือผู้จัดการกองทุนโดยตรง เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบว่ากองทุนทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหรือไม่นั่นเอง
จากตารางจะเห็นว่า กลับเป็น B-INNOTECH ที่ความเสี่ยงจากการวัดด้วยมาตรวัด 3 แบบ ภาพรวมดูดีที่สุด ทั้ง ๆ ที่ระดับความเสี่ยงโดยรวมมีค่าเท่ากับ 7 มากกว่าอีก 3 กองทุนที่เหลือที่ระดับความเสี่ยงโดยรวมมีค่าเท่ากับ 6 แต่ถ้าเปรียบเทียบกันเฉพาะกองทุนหุ้นสหรัฐฯ 3 กองทุน โดยภาพรวม K-USXNDQ-A (D) จะดูดีกว่าอีก 2 กองทุนที่เหลือเล็กน้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม:  www.krungsriasset.com

 

Total Expense Ratio คือ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากตัวกองทุนรวม เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนรวม ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะเป็นภาระทางอ้อมที่ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแบกรับ เช่น
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) เป็นค่าใช้จ่ายที่ บลจ. เรียกเก็บจากการบริหารเงินลงทุนของกองทุนให้ผู้ถือหน่วย (เป็นค่าธรรมเนียมหลักในส่วนของค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากตัวกองทุนรวม)
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมเรียกเก็บจากกองทุนรวม
นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ อีก เช่น ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ค่านายทะเบียนหน่วยลงทุน ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กองทุน ค่าผู้สอบบัญชี ค่าใช้จ่ายในการจัดทำและแจกจ่ายหนังสือชี้ชวน เป็นต้น
การที่ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของแต่ละกองทุนรวมแตกต่างกัน เกิดจากการที่แต่ละกองทุนมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน เช่น กองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนรวมหุ้น มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) สูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ เนื่องจากการบริหารกองทุนมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าการบริหารกองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น
ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อ และค่าธรรมเนียมการขาย เป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักลงทุนโดยตรง ที่เกิดจากการส่งคำสั่งเพื่อทำรายการต่าง ๆ ซึ่งหากกองทุนใดเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อจากนักลงทุน ค่าธรรมเนียมส่วนนี้มักจะถูกหักทันทีออกจากเงินต้นที่ซื้อกองทุนนั้น ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมการซื้อนี่แหละ เป็นต้นเหตุว่าทำไมซื้อกองทุนแล้วขาดทุนทันที
จากตารางจะเห็น K-USXNDQ-A (D) ดูน่าสนใจที่สุดใน 4 กองทุนนี้ เพราะเก็บค่าธรรมเนียมต่ำสุด แถมไม่เก็บค่าธรรมเนียมการซื้อ จึงเหมาะกับการซื้อสะสมเพื่อลงทุนในระยะยาว

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.set.or.th

 

ถ้าอยากลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ระดับ Top 20 ของบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก กองทุนรวมเป็นหนึ่งในช่องทางที่ง่าย ทุกคนสามารถลงทุนได้ทั้งมือใหม่และมือเก๋า
เราสามารถคัดเลือกกองทุนได้จากการดูภาพรวมของ 20 บริษัท ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ และส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี ฉะนั้น กองทุนหุ้นสหรัฐฯ กับกองทุนหุ้นเทคโนโลยีจึงเป็นคำตอบเบื้องต้น
หลังจากนั้นคัดต่อจากกองทุนที่ได้ 4 ดาวจาก Morningstar Rating™ ขึ้นไป แล้วเข้าไปดูรายละเอียดสัดส่วนการลงทุนของแต่ละกอง โดยเลือกกองทุนที่ Top 5 Holdings ลงทุนใน 20 บริษัท ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นสัดส่วนหลัก
ต่อไปดูผลตอบแทนในอดีต ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียม วิเคราะห์หากองทุนที่เราจะลงทุน เมื่อเลือกได้แล้ว ต้องจัดพอร์ตตามหลัก Core-Satellite Portfolio

ซึ่งสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามลิงก์นี้ได้เลย https://www.facebook.com/lumpsumofficial/posts/950662238997550

 

ดูบทความต้นฉบับ

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...