เปิดบทวิเคราะห์แนวโน้ม “เงินเยน” พร้อมมองปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
เปิดบทวิเคราะห์ StashAway ทำไม "เงินเยน" ถึงอ่อนค่าและแนวโน้มจะเป็นอย่างไร และจะกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างไร
ปัจจุบัน เงินเยน อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 160 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 40 ปี โดยการอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งลดลงกว่า 2% ในเดือน มิ.ย. และ 14% YTD ทำให้ตลาดการเงินโลกกำลังจับตามองสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
นายยศกร นิรันดร์วิชย CFA, กรรมการผู้จัดการ บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าแม้ยังไม่ชัดเจนว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า และความผันผวนของค่าเงินเยนก็อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนระยะสั้นได้ แต่มุมมองของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ StashAway ที่มีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะกลางบนพื้นฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจยังเป็นบวกเหมือนเดิม
อะไรทำให้เงินเยนอ่อนค่า?
เงินเยนได้เริ่มอ่อนค่าลงนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2022 เมื่อ Fed เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
กลับกันธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ต่างจากธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 2 ประเทศ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง
ทิศทางค่าเงินเยนจะเป็นอย่างไรต่อไป?
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า จะขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางไหน รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ในสหรัฐ เงินเฟ้อที่ยืดเยื้ออาจทำให้ Fed คงดอกเบี้ยไว้ ‘Higher for Longer’ ทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของสหรัฐกับญี่ปุ่นยังคงกว้างอยู่ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันค่าเงินเยนต่อไป อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ Price In โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ช่องว่างนี้แคบลง
- ในญี่ปุ่น การดำเนินนโยบายแบบเป็นกลางมากขึ้น (จากเดิมที่ใช้นโยบายแบบผ่อนคลายพิเศษ) เช่น การขึ้นดอกเบี้ยและลดการซื้อพันธบัตร จะช่วยลดส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของสหรัฐกับญี่ปุ่น และจะช่วยสนับสนุนค่าเงินเยนให้แข็งค่าขึ้น โดยปัจจุบัน ตลาดได้ Price In โอกาสที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ (ครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นในเดือน ก.ค. นี้)
ขณะที่ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นก็อาจเข้าแทรกแซงการอ่อนค่าของค่าเงินเยนอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ ทางการญี่ปุ่นเคยแทรกแซงค่าเงินเยนมาแล้วหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็มักช่วยลดแรงกดดันได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาด ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินเยน ซึ่งดูเหมือนว่า ปัจจุบันตลาดมองว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ตามข้อมูลต่อไปนี้
- FX forwards ตลาดสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ามักสะท้อนการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในอนาคต โดยปัจจุบันได้สะท้อนว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 156 เยนต่อดอลลาร์ฯ ภายในสิ้นปีนี้
- FX options บรรดา Trader ในตลาด Options คาดการณ์ว่าเงินเยนจะแกว่งตัวอยู่ที่ 150-165 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในช่วง 1 ปีข้างหน้า
- การคาดการณ์โดยนักเศรษฐศาสตร์ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้น โดยค่า Median อยู่ที่ 150 เยนต่อดอลลาร์ฯ ภายในสิ้นปีนี้
ค่าเงินเยนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว เงินเยนที่อ่อนค่าลงมักจะทำให้กำไรของภาคเอกชนแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาการส่งออก
เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะเป็นแรงขับเคลื่อนการส่งออกของญี่ปุ่น และหากเราตั้งสมมติฐานว่าต้นทุนส่วนใหญ่ของภาคเอกชนญี่ปุ่นอยู่ในสกุลเงินเยน หมายความว่า เงินเยนที่อ่อนค่าลงก็จะช่วยเพิ่ม Margin กำไรของบริษัทญี่ปุ่นด้วย กลับกัน หากเงินเยนแข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลกระทบตรงกันข้าม และจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ทั้งนี้ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก โดยบริษัทในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม (เช่น Mitsubishi หรือ Hitachi) และกลุ่มธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย (เช่น Toyota หรือ Sony) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ในดัชนี TOPIX
ความผันผวนของเงินเยนอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนระยะสั้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดย StashAway ยังคงเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม มุมมองของเราที่มีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะกลางยังเป็นบวกเหมือนเดิม
มุมมองนี้อยู่บนพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดและเศรษฐกิจญี่ปุ่น เช่น การปฏิรูปภาคเอกชน การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการออกกฎหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศเมื่อเร็วๆ นี้
ยกตัวอย่างเช่น การปฏิรูปภาคเอกชนส่งผลให้มีการซื้อหุ้นคืน (Stock Buybacks) และการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
รวมถึงความพยายามครั้งล่าสุดของตลาดหุ้น Tokyo Stock Exchange ที่พยายามผลักดันให้ภาคเอกชนใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่ม ROE (อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น) ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้นักลงทุนกลับมาสนใจตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีกครั้ง และช่วยสนับสนุนให้ราคาหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น
ในระยะข้างหน้า ค่าเงินเยนอาจเคลื่อนไหวได้ทั้ง 2 ทิศทาง
เมื่อพิจารณาในระยะข้างหน้า ทิศทางของค่าเงินเยนอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยแต่ละปัจจัยก็มีอิทธิพลที่จะขับเคลื่อนค่าเงินเยนได้ทั้งขึ้นและลง และนี่คือบางตัวอย่างที่ทีมงานด้านการลงทุนของ StashAway กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
ปัจจัยที่อาจกดดันให้เงินเยนอ่อนค่าลง
- หากไม่มีปัจจัยกระตุ้นให้ค่าเงินเยนกลับตัว แนวโน้มตลาดในปัจจุบันอาจทำให้เกิดวัฎจักร ‘Self-fulfilling’ (ทฤษฎีว่าด้วยความคาดหวังทำให้เกิดสิ่งนั้นจริงๆ) ซึ่งการที่ตลาดคาดหวังว่าเงินเยนจะอ่อนค่าลง อาจทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอีกจริงๆ ในระยะข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจสนับสนุนให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น
- เงินเยนมีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสกุลเงิน Safe-haven หมายความว่า หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใดๆ ก็ตาม ก็อาจทำให้นักลงทุนหันมาหลบภัยในสกุลเงินที่มั่นคงและปลอดภัย ซึ่งจะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น
- หากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐในเดือน พ.ย. นี้ ก็อาจกดดันให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกนโยบายที่ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น เพื่อให้สหรัฐลดการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น คล้ายกับการทำข้อตกลง Plaza Accord ในปี 1985
ทั้งนี้ แม้เป็นเรื่องที่ดีที่นักลงทุนจะติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด เช่น การอ่อนค่าของเงินเยน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ควรบดบังความสำคัญของแผนการลงทุนระยะยาว เพราะการตัดสินใจบนพื้นฐานความผันผวนของตลาดในระยะสั้นมักไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี
ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสระยะยาวในตลาดที่คุณกำลังลงทุนอยู่ โดยการติดตามข้อมูลอย่างรอบคอบและรอบด้านยังคงมีความสำคัญ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การยึดมั่นในแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองในระยะยาว
📌 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ทั้งหมด ได้ที่นี่ 📌