โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

เตือนปะทะยืดเยื้อ เศรษฐกิจไทย-กัมพูชากอดคอพัง 1.8 แสนล้าน จี้เร่งปักปันเขตแดน

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 29 ก.ค. เวลา 20.57 น. • เผยแพร่ 29 ก.ค. เวลา 22.25 น.

หลังเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาต่อเนื่องตลอด 5 วัน (24–28 กรกฎาคม 2568) ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยมีผลทันทีตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในพื้นที่กลับสะท้อนความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เมื่อกองกำลังกัมพูชายังคงระดมยิงเข้าสู่ฝั่งไทยในหลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงโดยตรง

ล่าสุด (29 ก.ค.) รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ขอให้กัมพูชาแสดงความจริงใจในการยุติความรุนแรง พร้อมยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน ในฐานะพยานร่วมในการเจรจาหยุดยิง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ชายแดนยังอยู่ในภาวะเปราะบางและสุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งสองประเทศ หากไม่มีการยุติความรุนแรงอย่างจริงจังในระยะเร่งด่วน

ปะทะ 5 วันทุบเศรษฐกิจไทยหมื่นล้าน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่จะมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยหลักคือขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน แต่หากประเมินในเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มอพยพประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์น่าจะดำเนินมาหลักสัปดาห์ ถ้าประเมินแบบเร็ว ๆ ไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าก็น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบัน รัฐบาลยังมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีก 4.2 หมื่นล้านบาท จากวงเงินในก้อน 1.57 แสนล้านบาท หลังจากจัดสรรให้โครงการต่าง ๆ ไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท วงเงินที่เหลือเบื้องต้นจัดสรรไปแล้ว 1 หมื่นกว่าล้านบาท เหลืออีกราว 2.5 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถนำมารองรับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาได้ แต่อาจจะไม่เพียงพอก็คงต้องดึงงบประมาณในส่วนอื่นเข้ามาเสริมด้วย

“ผมต้องรวบรวมเอางบมาใช้ ซึ่งรวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เพราะจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนอีกเยอะมาก ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 2.5 หมื่นล้านบาทอาจจะไม่พอ อาจต้องเอางบที่อื่นมาช่วยด้วย ส่วนถามว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้นยังไงก็ต้องใช้เงินตามกรอบงบประมาณ ส่วนการกู้เงิน ก็ต้องกู้ตามแผนของงบประมาณด้วยเช่นกัน” นายพิชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าอาจจะยังมีการยิงตอบโต้กันอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

โอกาสกลับมายิงใหม่ 80%

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” วิเคราะห์ฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นหลังผลการเจรจาหยุดยิงว่า แบ่งได้เป็น 3 ฉากทัศน์ คือ

ฉากทัศน์ที่ 1 การจะเกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน มองว่ามีโอกาสเป็นศูนย์ เนื่องจากไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ฉากทัศน์ที่ 2 การหยุดยิงแล้วกลับมายิงใหม่ มีโอกาสความน่าจะเป็นไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งล่าสุดเหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะยังมีโอกาสการปะทะกันได้อีก ดังตัวอย่างในปี 2554 ข้อพิพาทไทย-กัมพูชากรณีปราสาทพระวิหาร มีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็กลับมายิงกันใหม่ รวมถึงกรณีของอินเดีย-ปากีสถาน และอิสราเอล-ฮามาส ก็มีประกาศหยุดยิงแล้ว แต่ก็มายิงกันใหม่ เนื่องจากประเด็นปัญหาของทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่

ฉากทัศน์ที่ 3 การเจรจาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการหยุดยิง มีโอกาสสำเร็จและล้มเหลว 50 : 50 เพราะยังมีหลายประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายยังมองไม่ตรงกัน เช่น ในการปักปันเขตแดน ไทยใช้อัตราส่วนของแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ขณะที่กัมพูชาใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ขณะที่กัมพูชาทำหนังสือเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นผู้พิจารณาตัดสิน ส่วนฝ่ายไทยมุ่งใช้กลไกทวิภาคี ในการเจรจาแก้ไขปัญหา

“ข้อตกลงหยุดยิงในครั้งนี้ผมมองว่าเป็นชัยชนะของไทย ในการเริ่มต้นนับ 1 ในการเจรจาแบบทวิภาคีหรือการเจรจาแบบสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศที่ทับซ้อนอยู่กันหลายปัญหา จากเดิมฝ่ายกัมพูชาจะเดินหน้าใช้ช่องทางศาลโลกอย่างเดียว”

ยืดเยื้อ 3 เดือนสองฝ่ายสูญ 1.8 แสนล้าน

สำหรับสถานการณ์การปะทะกันของกองกำลังของทั้งสองฝ่าย หากสถานการณ์มีความยืดเยื้อ ตนได้จำลองฉากทัศน์ผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจของกัมพูชาและไทย โดยหากยังยืดเยื้ออีก 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศได้รับความเสียหายรวมกันประมาณ 60,562 ล้านบาท (ผลกระทบการค้าชายแดน ธุรกิจจังหวัดชายแดน การจ้างงานคนไทย ชาวกัมพูชาว่างงาน กระทบรายได้แรงงาน กระทบรายได้ธุรกิจท่องเที่ยว และเม็ดเงินการลงทุน)

ส่วนหากปะทะกันนาน 2 เดือน จะกระทบเศรษฐกิจสองฝ่ายได้รับความเสียหายมูลค่าราว 121,124 ล้านบาท และหากปะทะยืดเยื้อนาน 3 เดือน จะกระทบเศรษฐกิจสองฝ่ายเสียหายประมาณ 181,685 ล้านบาท อย่างไรก็ดีหากทั้งสองฝ่ายสามารถยุติการหยุดยิงได้จริง และเปิดด่านชายแดนให้กลับมาเป็นปกติมูลค่าความเสียหายดังกล่าวก็จะลดลง

หวังเร่งปักปันเขตแดนสำเร็จ

นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ภาคเอกชนยังเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งอยากเห็นเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และเปิดเจรจากันในหลายเรื่องที่เป็นปัญหาระหว่างกันด้วยความจริงใจ ซึ่งในประเด็นแรกที่เป็นประเด็นสำคัญคือในเรื่องดินแดน ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจนและแล้วเสร็จก่อน โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน และมีการสร้างกลไกในการเจรจาให้ยอมรับในเงื่อนไขเดียวกัน หลังจากนั้นการเปิดด่านการค้าจะตามมาเอง

ทั้งนี้หลังผลเจรจาหยุดยิง ภาคธุรกิจไทยและกัมพูชาที่อยู่ตามแนวชายแดนรู้สึกโล่งอกเปราะหนึ่ง ขณะที่นักธุรกิจไทยในกัมพูชาก็สบายใจขึ้น และหวังว่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชาจากจะกลับมาสู่ปกติในเร็ววัน

ไทย-กัมพูชาฉุดเศรษฐกิจทรุด

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเป็นตัวเร่งให้มูลค่าเศรษฐกิจชายแดนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยผลกระทบในระยะยาว ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสูญเสียชีวิตของทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้อาจนำไปสู่การพิจารณา ย้ายฐานการผลิตและธุรกิจ ออกจากพื้นที่ชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

“การค้าการลงทุนระหว่างประเทศในพื้นที่ชายแดนจะได้รับผลกระทบรุนแรง ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวและแสวงหาตลาดรองรับใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง”

การสะท้อนปัญหา อุปสรรค และแนวทางความต้องการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อทำลายขวัญกำลังใจ แต่ต้องการให้เกิดมิติการแก้ไขปัญหาเชิงรุก ที่ตระหนักถึงความเร่งด่วน รอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว และขยายผลประโยชน์แท้จริงให้เกิดกับทุกภาคส่วนของไทย

ชาตินิยมกระทบสินค้าไทย

ด้านนางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า ผลกระทบจากสถานการณ์กัมพูชาต่อภาคธุรกิจขณะนี้ยังไม่ชัดเจน แต่กังวลว่าความรู้สึกชาตินิยมของชาวกัมพูชาอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าไทยในอนาคต เพราะประเทศไทยส่งสินค้าส่งสินค้าอุปโภคภบริโภคไปขายในกัมพูชามากพอสมควร

หากมองภาพในระยะยาว สถานการณ์นี้อาจไม่กระทบต่อการลงทุนในประเทศไทยเนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ชายแดน ส่วนแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย จะเห็นตามโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตอาหารแช่แข็ง โรงงานแปรรูปไก่ โรงงานผลิตอาหารทะเล ส่วนใหญ่น่าจะยังอยู่ในประเทศไทยและไม่ส่งผลต่อการผลิต สิ่งที่จะส่งผลโดยตรงคือเรื่องภาษีสหรัฐมากกว่า

"หากสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติได้ จำเป็นต้องมีการหารือและวางแผนใหม่ในการส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาเพื่อรักษาตลาด สร้างความเชื่อมั่นระหว่างคู้ค้ากับธุรกิจไทย ซึ่งสินค้าไทยเป็นสินค้าที่คนต้องการอยู่แล้ว เพราะเรื่องคุณภาพเรามาอันดับต้น ๆ ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ"

ยื้อ 3 เดือนส่งออกหาย 5 หมื่นล้าน

ขณะที่นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล ประเทศไทย กล่าวว่าหากสถานการณ์ความไม่สงบไทย-กัมพูชา ยังยืดเยื้อต่อเนื่องในระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านหลักอย่างรุนแรง ได้แก่ ภาคการส่งออกชายแดน การลงทุนจากต่างชาติ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันออกและเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ

“หากวิกฤตยังไม่คลี่คลายภายใน 1-3 เดือนนับจากนี้ จะทำให้มูลค่าการส่งออกตามแนวชายแดนหายไปประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาททันที เนื่องจากพื้นที่ชายแดนตะวันออก โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรหลายแห่งใน จ.สระแก้ว และ จ.ตราด ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการส่งออกสินค้าจำเป็นไปยังกัมพูชา หากยืดเยื้อถึง 6-10 เดือน มูลค่าการส่งออกที่สูญเสียอาจสูงถึงแสนล้านบาท และถ้าเกิน 1 ปี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่แค่ตัวเลขที่หายไปแต่จะเป็นการเสียโครงสร้างการส่งออกไปอย่างถาวร”

ทั้งนี้หากไทยไม่สามารถส่งออกผ่านชายแดนได้ในระยะยาว กัมพูชาอาจหันไปจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น เช่น สปป.ลาว เวียดนาม หรือแม้กระทั่งจีน ซึ่งมีทั้งศักยภาพด้านการผลิตและฐานทัพเรือที่สามารถลำเลียงสินค้าขึ้นฝั่งในพื้นที่ชายแดนด้านล่างได้โดยตรง

ลากยาว 3 เดือนเที่ยวไทยวูบล้านคน

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ฉากทัศน์ หลังยุติการหยุดยิง หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติภายใน 1 เดือน มีผลกระทบกับ ช่วงไตรมาสสุดท้ายหรือ พีคซีซันน้อย เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยตลอดทั้งปีนี้ 34.5-35 ล้านยังมีความเป็นไปได้สูง

หากกลับสู่ภาวะปกติภายใน 3 เดือน จะมีผลกระทบ ถึงไฮซีซันปลายปีนี้ ซึ่งมีโอกาส จะกระทบตลาด ภาพใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยวยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ในช่วงพีคซีซัน อาจจะเหลือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้ ต่ำกว่า 33-34 ล้านคน

แต่หากต้องใช้เวลากลับสู่ภาวะปกตินาน 6 เดือน จะมีผลกระทบถึงปีหน้า การท่องเที่ยวจะกระทบรุนแรง เพราะกระทบคลุมยาวถึงเมษายนปีหน้า เท่ากับตลอดพีคของปีนี้ และต้นปีหน้ากระทบหมด และเที่ยวบินที่มีย้ายเส้นทางไปจากกระทบตลาด อาจมีผลต่อตลาดทั้งปีหน้า ทำให้ตลาดหดตัวจากปีนี้เพิ่มขึ้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...