หุ้นแบงก์ มาตรการเชิงป้องกันทำให้ NPL ลดลง บล.กสิกรฯ คงมุมมองเป็นกลาง
#หุ้นแบงก์ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดย บล.กสิกรไทย
.
มาตรการเชิงป้องกันทำให้ NPL ลดลง
เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) บล.กสิกรไทยจัดงาน KS Expert Series ร่วมกับเครดิตบูโร โดย NPL ดูเหมือนจะควบคุมได้ดีขึ้น แต่ TDR และ SML บ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่รออยู่
มาตรการป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 1Q68 และช่วยควบคุม NPL ในไตรมาสนี้ บล.กสิกรไทยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยควบคุม NPL ratio ได้ชั่วคราวในปี 68
หากอิงจากตัวเลขการขอสินเชื่อใหม่ของเครดิตบูโร ความต้องการสินเชื่อดูเหมือนจะยังคงอ่อนแอในปี 68 คงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร
.
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. บล.กสิกรไทยจัดงาน KS Expert Series โดยเชิญคุณเผด็จ เจริญศิวกรณ์ รองผู้จัดการใหญ่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)มาพูดคุยเกี่ยวกับแนวโน้มสินเชื่อโดยรวม และคุณภาพสินทรัพย์ของระบบการเงินกับผู้จัดการกองทุนในประเทศกว่า 40 ราย บล.กสิกรไทยมีมุมมองที่เป็นกลางต่อประเด็นสำคัญจากการประชุมครั้งนี้ โดยประเด็นสำคัญ ได้แก่
.
NPL ratio ปรับตัวดีขึ้น ตรงข้ามกับ TDR และ SML จากข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาส1/2568 คุณเผด็จระบุว่าอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL ratio) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 8.8% ในไตรมาส 1/2568 เทียบกับ 8.9% ในไตรมาส 4/2567 เนื่องจากสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อในอัตราที่ช้าลง แต่สินเชื่อปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) กลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นเป็น 8.0% ในไตรมาส 1/2568 จาก 7.7% ในไตรมาส 4/2567 นอกจากนี้ สินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML) ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 1/2568 เป็น 4.2% ขณะที่ NPL ไตรมาส 1/2568 ลดลงจากหลายกลุ่มสินเชื่ออย่าง สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะเดียวกัน SML เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2568 ส่วนใหญ่จากสินเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม TDR ไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสินเชื่อรถยนต์ที่ 7.8% QoQ และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่ 73% QoQ ขณะที่ TDR ของบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลลดลงเล็กน้อย QoQ โดยคุณเผด็จมองว่า TDR น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดปี 2568 จากนโยบายปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และจะควบคุม NPL ratio ให้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเช่นกัน
.
การปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้ และหนี้ค้างชำระต้องส่งให้ฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2567 เป็นต้นมา ซึ่งเครดิตบูโรพบว่าการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 31.7% เทียบกับไตรมาสก่อนเป็น 1.12 ล้านลบ. ในไตรมาส 1/2568 การเพิ่มขึ้นของการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกในไตรมาส 1/2568 เกิดจากกลุ่มสินเชื่อต่าง ๆ เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย (+34.4% QoQ) สินเชื่อรถยนต์ (+34.5% QoQ) สินเชื่อส่วนบุคคล (+30.6% QoQ) และสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ (+32.2%QoQ) บล.กสิกรไทยเชื่อว่าการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกในไตรมาส 1/2568 ส่งผลให้จำนวน NPL ไตรมาส 1/2568 สามารถควบคุมได้มากขึ้นเช่นกัน
.
ความต้องการสินเชื่อยังคงอ่อนแอ นอกเหนือจากข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์แล้วข้อมูลการขอสินเชื่อใหม่จากเครดิตบูโรในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 8.77 ล้านธุรกรรม เทียบกับ36.41 ล้านธุรกรรมในปี 2567 และ 38.22 ล้านธุรกรรมในปี 2566 หากบล.กสิกรไทยคำนวณการขอสินเชื่อใหม่รายปีในไตรมาส 1/2568 การขอสินเชื่อใหม่ในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านธุรกรรม ลดลง 3-4% YoY ในปี 2568 บล.กสิกรไทยเชื่อว่าข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าความต้องการสินเชื่อยังคงอ่อนแอในเชิง YTD ตามเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารพาณิชย์และแนวโน้มการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ
.
บล.กสิกรไทยคงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มธนาคารโดยไม่มีหุ้นเด่น บล.กสิกรไทยเชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะขาดปัจจัยกระตุ้นในปี 2568 เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่อ่อนแอ และความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้าจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การจ่ายเงินปันผลที่น่าดึงดูดใจจะช่วยบรรเทา downside risk ของราคาหุ้น
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
Facebook คลิก [https://www.facebook.com/thunhoonnews
](https://www.facebook.com/thunhoonnews)Youtube คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/