พระราชดำรัสแห่งปี King จิกมี วังชุก แห่งภูฏาน ทรงซาบซึ้ง ความเป็นไทยแสนอบอุ่น
นับเป็นพระราชดำรัสแห่งปี หลังรับทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงกล่าวเรื่องราวในความทรงจำสมัยทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ แต่ละช่วงชีวิตล้วนผูกพันและซาบซึ้งในความเป็นไทยทุกอณู ความว่า…
“ศาสตราจารย์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภามหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณาจารย์ผู้ทรงเกียรติ แขกผู้มีเกียรติ และนิสิตนักศึกษาทุกคน ข้าพเจ้าและพระราชินีเจตซุน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพื่อรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกและทรงเกียรติที่สุดของประเทศไทย
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเรายึดถือด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาในอเมริกาและอังกฤษ ข้าพเจ้าก็เหมือนนักศึกษาหลายคนที่อยู่ไกลบ้านและมักจะคิดถึงบ้าน ซึ่งความรู้สึกคิดถึงบ้านของคนภูฏานนั้นมีรสชาติเฉพาะตัว เนื่องจากไม่มีร้านอาหารภูฏานเลย ไม่ว่าจะเป็นในบอสตันหรือลอนดอน
จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ค้นพบอาหารไทย ทั้งรสชาติที่เผ็ดร้อน ข้าว และความอบอุ่น แม้จะไม่ใช่อาหารภูฏาน แต่ก็มีความใกล้เคียงกันและกลายเป็นอาหารที่สร้างความปลอบประโลมใจให้แก่ข้าพเจ้า ทุกร้านอาหารไทยที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไปให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของบ้าน และแกงเขียวหวานไทยก็ได้ช่วยข้าพเจ้าไว้มากมายในช่วงปีเหล่านั้น ความผูกพันของข้าพเจ้ากับประเทศไทยจึงเริ่มต้นขึ้นจากอาหาร แต่ก็นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ข้าพเจ้ายังจำการนำเสนอของเพื่อนร่วมชั้นชาวไทยเมื่อกว่าสองทศวรรษก่อนได้ดี ซึ่งเธอได้พรรณนาถึงประเทศไทยว่าเป็นประเทศพุทธศาสนาที่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้หล่อหลอมลักษณะนิสัยของคนไทยให้มีความจริงใจ อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีเมตตา
อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่ากีฬามวยไทยซึ่งเป็นกีฬาประจำชาตินั้น สะท้อนว่าคนไทยแม้จะมีความเมตตาแต่ก็ไม่ใช่อ่อนแอ แม้จะรักสงบแต่ก็ไม่ใช่ผู้นิ่งเฉย หากประเทศไทยถูกคุกคาม คนไทยจะรวมพลังกันด้วยความกล้าหาญและเสียสละเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ความขัดแย้งที่สวยงามระหว่างความเมตตาทางพุทธศาสนาและจิตวิญญาณของนักรบนี้เองที่นิยามความเป็นไทย และเป็นส่วนผสมที่จะรับใช้ชาติบ้านเมืองนี้ไปอีกหลายศตวรรษ
ข้าพเจ้าขอโปรดเกล้าฯ กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
ด้วยความชื่นชมอย่างลึกซึ้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแบกรับภาระที่น้อยคนนักจะเข้าใจ ในการสืบทอดภารกิจต่อจากสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็ทรงกำหนดเส้นทางแห่งการรับใช้ของพระองค์เองด้วยความเข้มแข็ง ปัญญา และความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งต่อสวัสดิภาพของพสกนิกร
ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกตพระจริยวัตรอันสง่างาม ความมุ่งมั่น และความแน่วแน่ที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุทิศตนเพื่อการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาเพื่อยกระดับชีวิตของพสกนิกร ข้าพเจ้ามีความชื่นชมในความแข็งแกร่งที่ไม่อาจยับยั้งได้ของพระองค์ และได้รับรู้ถึงความรักและความทุ่มเทที่ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชน สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
ข้าพเจ้าเห็นถึงความจงรักภักดีที่มั่นคงขณะที่ทรงเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อรับใช้ประชาชนและประเทศชาติผ่านพระองค์ ข้าพเจ้าและราชินีมีความเคารพอย่างสูงสุดต่อทั้งสองพระองค์ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองพระองค์ทรงเลือกประเทศภูฏานในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรกนับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งถือเป็นแถลงการณ์แห่งมิตรภาพทางประวัติศาสตร์ที่เหนือกว่าคำพูดและนำความปลาบปลื้มใจอย่างล้นพ้นมาสู่ชาวภูฏาน
เมื่อข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์ ข้าพเจ้าโชคดีที่มีครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่านเป็นผู้ชี้แนะ ท่านแรกคือพระราชบิดาของข้าพเจ้า ผู้ทรงสอนว่าจุดประสงค์เดียวของกษัตริย์คือการรับใช้ประชาชน โดยทรงแสดงให้เห็นผ่านการกระทำด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลและทรงรับฟังเกษตรกร พระองค์ทรงใฝ่ฝันถึงประเทศที่ความสุขมีความสำคัญมากกว่าความมั่งคั่ง และทรงสละอำนาจสู่รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยด้วยความสมัครใจเพราะทรงรักและไว้วางใจในประชาชน
ท่านที่สองคือพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเฝ้าสังเกตการทำงานและความอุทิศตนของพระองค์ ผู้ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า ‘กษัตริย์แห่งการพัฒนา’ พระองค์ทรงดำเนินไปตามนาข้าวและหมู่บ้านที่ห่างไกลเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรและชาวประมงอย่างแท้จริง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ได้มอบแบบอย่างสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนแก่โลก สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำได้ดีที่สุดคือความอ่อนน้อมถ่อมตัวที่พระองค์ทรงมีตลอดรัชสมัย 70 ปีแห่งการรับใช้ประชาชน อิทธิพลของพระองค์ต่อรัชสมัยของข้าพเจ้านั้นลึกซึ้ง และข้าพเจ้าจะระลึกถึงพรอันประเสริฐที่มีทั้งพระราชบิดาและรัชกาลที่ 9 เป็นครูในทุก ๆ วัน
นับตั้งแต่ปี 2549 ที่ข้าพเจ้ามาเยือนประเทศไทยในฐานะมกุฎราชกุมาร คนไทยได้ทำสิ่งที่น่าประทับใจยิ่งด้วยการเรียกข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าชายจิกมี’ ราวกับว่าเป็นคนในครอบครัว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชาวไทยได้มอบความเมตตา ความอบอุ่น และการสนับสนุนให้แก่ข้าพเจ้าและประเทศภูฏานเสมอมา
ข้าพเจ้าขอบพระคุณประเทศไทยสำหรับความไมตรีจิตนี้ ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตเพื่อตอบแทนประเทศไทยในทุกวิถีทางเท่าที่ความสามารถของข้าพเจ้าจะทำได้ ประเทศไทยและภูฏานมีพันธสัญญาที่หาได้ยากร่วมกัน คือการเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม
ด้วยพระปรีชาสามารถของผู้นำอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงความเข้มแข็งของคนไทย ข้าพเจ้าชื่นชมในความชาญฉลาดและความมีสัญชาตญาณแห่งความสมดุลของไทย
ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงและจะนำพาประเทศไปสู่อนาคต ข้าพเจ้าและราชินีลาจากพิธีนี้ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม และจะรักษาเกียรติยศจาก ‘เสาหลักของแผ่นดิน’ นี้ไว้ตลอดไป ขอให้มิตรภาพระหว่างไทยและภูฏาน รวมถึงความใกล้ชิดของราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศที่สามัคคีกันด้วยศรัทธาและค่านิยม ร่วมกันก้าวเดินบนเส้นทางแห่งความสุขสืบต่อไป”
แรงบันดาลใจจาก ‘กษัตริย์นักพัฒนา’
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปประเด็นสำคัญในพระราชดำรัส (Royal Address) : สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน น่าสนใจดังนี้
แรงบันดาลใจจาก “กษัตริย์นักพัฒนา” : ทรงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงเป็นแบบอย่างในการอุทิศพระองค์เพื่อประชาชน
ทรงกล่าวว่ารัชกาลที่ 9 ทรงเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” ที่ทรงลงพื้นที่ศึกษาปัญหาจากความจริง
นิยามความเป็นไทย “Buddhist Warrior Paradox” : ทรงยกเรื่องราวสมัยทรงศึกษาที่เพื่อนชาวไทยเคยกล่าวไว้ว่า “ไทยเป็นเมืองพุทธที่มีมวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติ”
ซึ่งสะท้อนตัวตนของไทยว่า เป็นชาติที่ “เปี่ยมด้วยความเมตตา แต่ไม่อ่อนแอ รักสงบ แต่ไม่ยอมจำนน” หรือ Compassionate but not weak, Peaceful but not passive
ความทรงจำส่วนพระองค์ : ทรงเล่าอย่างเป็นกันเองว่า ร้านอาหารไทยเปรียบเสมือน “บ้าน” และ “แกงเขียวหวาน” คือเมนูทรงโปรด ที่ช่วยปลอบประโลมในช่วงที่ทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระดับมหาวิทยาลัย : ทรงขอบคุณ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” สำหรับความร่วมมือทางวิชาการและดูแล “นักศึกษาชาวภูฏาน” ที่เข้ามาศึกษาอย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พระราชดำรัสแห่งปี King จิกมี วังชุก แห่งภูฏาน ทรงซาบซึ้ง ความเป็นไทยแสนอบอุ่น
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net