5 สนามรบเทคโนโลยี ‘จีน-สหรัฐ’ ศึกชิงมหาอำนาจเบอร์ 1 ปี 2026
ในปี 2026 ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนจะก้าวเข้าสู่ระยะที่ความขัดแย้งไม่ได้เป็นเพียง "เหตุการณ์ชั่วคราว" แต่กลายเป็น "โครงสร้างหลัก" ของการเมืองโลก โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา และกลายเป็นการ "แข่งขันเชิงยุทธศาสตร์" ที่เข้มข้นในทุกมิติ
ซาราห์ เอ็ม. เบราน ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่เคยทำงานในสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐและเคยดำรงตำแหน่งอุปทูตในจีน ซึ่งได้วิเคราะห์ประเด็นสำคัญเรื่อง “5 สงครามเทคโนโลยี” จะเป็นสมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร การแข่งขันด้านเทคโนโลยีจะเปลี่ยนจากการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปสู่การคุมความมั่นคงอย่างเต็มตัว
5 จุดยุทธศาสตร์ 'สหรัฐ-จีน' ปี 2026
1. AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์
AI คือ "หัวใจ" ของการแข่งขันในยุคนี้ ไม่ใช่แค่การมีแชทบอทที่ฉลาด แต่หมายถึงการนำ AI ไปใช้ใน การทหารและอุตสาหกรรมขั้นสูง ทั้ง 2 ประเทศจะแข่งกันว่าใครจะสามารถวางระบบ AI ในระดับโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่ากัน โดยเฉพาะ AI ที่ใช้ควบคุมโดรนหรือระบบป้องกันภัยทางอากาศ
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ดุเดือด ข้อมูลล่าสุดจากรายงานของสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) และความเห็นจากผู้นำภาคธุรกิจชี้ให้เห็นว่า "ความร่วมมือ" ระหว่างสหรัฐ และจีนในยุค AI อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยมีตัวเลขเศรษฐกิจมหาศาลเป็นเดิมพัน
รายงานจาก SIA คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม AI จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เนื่องจากสหรัฐ และจีน ครองส่วนแบ่งสตาร์ทอัพระดับ "ยูนิคอร์น" รวมกันมากกว่า 75% ของโลก
ขณะที่เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia ระบุว่าจีนมีศักยภาพตามหลังสหรัฐ เพียง "เสี้ยววินาที" เท่านั้น และวิศวกร AI ระดับหัวกะทิในซิลิคอนแวลลีย์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมอเมริกัน
2. เซมิคอนดักเตอร์
ชิปคือเส้นเลือดใหญ่ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็น "จุดยุทธศาสตร์ที่เป็นคอขวด" ที่สำคัญที่สุด ในปี 2026 เราจะเห็นการใช้ "มาตรการควบคุมการส่งออก" (Export Controls) ที่เข้มงวดขึ้น สหรัฐจะพยายามสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง
ภายใต้แผนงานนี้ จีนตั้งเป้าที่จะเร่งสร้างความพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันตัวเองจาก "จุดบอด" หรือ Chokepoints ที่สหรัฐควบคุมอยู่ ทำให้มีการทุ่มงบประมาณมหาศาล เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเอง เร่งผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีอย่างเต็มตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของสหรัฐ
3. แร่หายากและแร่สำคัญ
นี่คืออาวุธสำคัญในมือของจีน เนื่องจากจีนครองส่วนแบ่งการตลาดแร่ที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุปกรณ์ไฮเทคส่วนใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดในปี 2026
จีนอาจใช้การ "จำกัดการส่งออกแร่" เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ในขณะที่สหรัฐ และพันธมิตรอย่างสหราชอาณาจักรจึงต้องเร่งกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงเพื่อลดการพึ่งพาแร่ธาตุจากจีน จะเร่งหาแหล่งทรัพยากรใหม่ในออสเตรเลียหรือแอฟริกาเพื่อแก้เกม
ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการประลองกำลังทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนผ่าน “2 อาวุธหลัก” คือ เทคโนโลยีของสหรัฐ และทรัพยากรของจีน
สหรัฐเปิดศึกในการใช้มาตรการสั่งห้ามส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) และชิปประสิทธิภาพสูง เพื่อสกัดการพัฒนา AI ของจีน ส่วนจีนสวนกลับโดยใช้ไม้ตาย "การผูกขาดต้นน้ำ”จากคุมการส่งออกแร่สำคัญกว่า87%, ลิเธียม 78% และแกลเลียม 98% ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้าและอาวุธของสหรัฐ
ในท้ายที่สุดสหรัฐได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนนำไปสู่การ "ถอยคนละก้าว" โดยวอชิงตันยอมยกเลิกคำสั่งห้าม และปักกิ่งยอมระงับการคุมแร่ชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี
ข้อมูลจาก SIA ในปี 2025 ยืนยันความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้คือ แม้สหรัฐฯ จะเป็นผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลก โดยครองสัดส่วน 50.4% แต่ จีนคือตลาดที่ใหญ่ที่สุด สะท้อนจากรายได้ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Nvidia มาจากจีนกว่า 22% และการที่ประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้จีนซื้อชิป Nvidia H200 ต่อไปได้ • คือการยอมรับว่า "การ ตัดขาด" นั้นทำได้ยากและส่งผลเสียต่อกำไรของบริษัทอเมริกันเอง
4. เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
การแข่งขันจะขยายไปสู่เรื่องของ “ความมั่นคงทางอาหารและยา” ของทั้ง 2 ฝ่ายมองว่าการเป็นผู้นำด้านพันธุวิศวกรรมและการผลิตยาขั้นสูงคือความมั่นคงระดับชาติ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการใช้กำแพงภาษีและนโยบายกีดกันบริษัทจากฝ่ายตรงข้าม
5. เทคโนโลยีควอนตัมและอวกาศ (Quantum & Aerospace)
จีนกำลังเปลี่ยนทิศทางการลงทุนที่นำโดยภาครัฐ จากอุตสาหกรรมเดิมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานและภาคส่วนนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งรวมถึงอวกาศ และเทคโนโลยีควอนตัมอย่างชัดเจน
ขณะที่สหรัฐ นำโดย NASA มีแผนการส่งมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์ในปี 2026 เพื่อเตรียมการส่งชาวอเมริกันกลับไปลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์อีกครั้งในปี 2027 ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเป็นผู้นำด้านอวกาศ ขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาดาวเทียมจารกรรมและโดรนอวกาศ เพื่อคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของคู่แข่งจากนอกโลกตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านเทคโนโลยี "ควอนตัมคอมพิวติ้ง" เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความก้าวหน้าในคอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบรหัสลับ มีพลังมหาศาลจนสามารถถอดรหัสลับทางการทหารหรือรหัสนิวเคลียร์ได้ทุกชนิด
เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงในระดับโลก เพราะหากฝ่ายใดพัฒนาสำเร็จก่อน ระบบป้องกันภัยของอีกฝ่ายจะไร้ความหมายทันที เพราะความลับทางการทหารจะถูกเปิดโปงทั้งหมด
The Economist เตือนว่าในปี 2026 รัสเซียและจีนจะใช้วิธีที่เรียกว่า "Gray-Zone Provocations" หรือการยั่วยุในพื้นที่สีเทา เพื่อทดสอบดูว่าสหรัฐจะยังกล้าปกป้องพันธมิตรของตนเองอยู่หรือไม่ โดยการแข่งขันของมหาอำนาจจะย้ายไปอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก แต่มีความสำคัญสูง
เทคโนโลยีอย่าง AI, ดาวเทียมจารกรรม และ การใช้โดรนในทุกมิติ จะเป็นตัวขับเคลื่อนความขัดแย้งนี้ให้รวดเร็วและรุนแรงขึ้น เช่น การชิงอํานาจในแถบขั้วโลกเหนือในแถบอาร์กติก, การรบกวนดาวเทียมหรือการชิงความได้เปรียบเหนือฟ้าในวงโคจรอวกาศ ,การคุกคามสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตหรือท่อส่งพลังงานใต้โลกในทะเลลึก และการเจาะระบบและทำลายข้อมูลสำคัญในไซเบอร์สเปซ
ทั้งสหรัฐและจีนต่างครองส่วนแบ่งมหาศาลในขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของโลก เช่น การครอบครองซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 3 ใน 4 ของโลก การชิงชัยในสมรภูมินี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติและการครองความได้เปรียบทางการทหารในระยะยาว
อ้างอิง chinausfocusthediplomat chathamhouse