ภาวะ End-of-Year Burnout - เราจะก้าวข้ามความเหนื่อยล้าช่วงส่งท้ายปีและเริ่มต้นปีใหม่อย่างไร
End-of-Year Burnout: เมื่อ ‘งาน’ ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต จะก้าวข้ามความเหนื่อยล้าส่งท้ายปีและเริ่มต้นปี 2026 อย่างมั่นคงได้อย่างไร
"ให้ตระหนักว่างานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งชีวิตของเรา"
อาจฟังดูเรียบง่าย แต่กลับกลายเป็นสัจธรรมที่ปฏิบัติได้ยากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเข็มนาฬิกาดิจิทัลก้าวเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ช่วงเวลาที่ควรจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง สำหรับหลายคนกลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการ "วิ่งมาราธอน" เพื่อปิดจบทุกอย่างให้ทันก่อนเส้นชัยปีใหม่จะมาถึง
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และใครก็ตามที่มีภาวะนี้อยู่นั้นไม่ได้เผชิญมันอยู่เพียงลำพัง ในทางจิตวิทยาเรียกสภาวะนี้ว่า "End-of-Year Burnout" หรืออาการหมดไฟช่วงสิ้นปี ความเหนื่อยล้าสะสมที่ถาโถมเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงที่ความกดดันจากเดดไลน์ การปิดงบประมาณ และเป้าหมายทางธุรกิจ ปะทะเข้าอย่างจังกับภาระทางสังคมและเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง
ในฐานะที่เราทุกคนกำลังก้าวผ่านปี 2025 ไปสู่ปี 2026 การทำความเข้าใจและรับมือกับสภาวะนี้จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น "ทางรอด" เพื่อให้เราเริ่มต้นศักราชใหม่ได้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ไม่ใช่ด้วยซากปรักหักพังทางอารมณ์
ทำไมเราถึง "มอดไหม้" ในเดือนแห่งความสุข ?
เฮอร์แมนน์ ลีเบนเบิร์ก (Hermann Liebenberg) นักจิตวิทยา อธิบายว่าอาการอ่อนเพลียเรื้อรังมักพุ่งสูงขึ้นในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี สาเหตุหลักไม่ได้มาจากแค่งานที่ล้นมือ แต่มาจาก "ความคาดหวังที่ซ้อนทับกัน" (Compounding Expectations)
แรงกดดันแบบคูณสอง: ที่ทำงานเร่งปิดโปรเจกต์ (The Sprint) ในขณะที่บ้านก็มีภาระการเตรียมงานเทศกาล การซื้อของขวัญ และกิจกรรมครอบครัว
อาการวันวนลูป (Groundhog Day Syndrome): ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเจอวงจรปัญหาเดิมๆ ซ้ำซากในช่วงสิ้นปี เช่น การประชุมที่ยืดเยื้อ หรือการแก้ไขงานนาทีสุดท้ายที่ควรจะจบไปนานแล้ว
การขาดสมดุล (Imbalance): การพยายามประคองทุกบทบาท—พนักงานดีเด่น, พ่อแม่ตัวอย่าง, เพื่อนที่แสนดี—จนต้องเบียดเบียนเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเอง
ศาสตร์แห่งการบู้ทพลัง : ทางออกจากวิกฤตความเครียด
การจัดการกับความเครียดช่วงสิ้นปี ไม่ใช่แค่การ "อดทนรอวันหยุด" แต่คือการวางกลยุทธ์อย่างมีสติ อแมนด้า กอร์ดอน (Amanda Gordon) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแนะนำว่า เราต้องหยุดวงจรนี้ด้วยการดูแลขั้นพื้นฐาน กินให้อิ่ม นอนให้พอ และที่สำคัญคือ "การอนุญาตให้ตัวเองไม่สมบูรณ์แบบบ้าง"
และนี่คือกลยุทธ์ที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วว่าจะช่วยให้คุณประคองตัวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้:
1. ลงทุนซื้อ "เวลา" เพื่อความสุข ผลการศึกษาชี้ว่า เงินซื้อความสุขได้หากเราใช้มันซื้อเวลา ลองพิจารณาจ้างคนช่วยงานบ้าน หรือสั่งอาหารเดลิเวอรี่ในช่วงที่ยุ่งสุดขีด เพื่อให้คุณมีเวลาไปทำสิ่งที่จรรโลงใจจริงๆ อย่ามองว่าเป็นการสิ้นเปลือง แต่มองว่าเป็นการ "Outsource" ภาระ เพื่อรักษาสุขภาพจิต
2. กำหนดขอบเขตที่แข็งแรง (Healthy Boundaries) การ "ลาทิพย์" หรือลาหยุดแต่ยังตอบอีเมล คือกับดักที่ร้ายที่สุด เมื่อคุณก้าวออกจากที่ทำงาน หรืออยู่ในช่วงวันหยุด จงกล้าที่จะปิดการแจ้งเตือน แยกเรื่องงานออกจากเวลาส่วนตัวอย่างเด็ดขาด เพราะสมองของมนุษย์ต้องการเวลา Downtime ที่แท้จริงในการฟื้นฟู ไม่ใช่การพักแบบครึ่งๆ กลางๆ
3. หยุดพยากรณ์ความทุกข์ล่วงหน้า หลายครั้งความเครียดเกิดจากความคิดของเราเองที่ "คาดเดาผลลัพธ์ในแง่ลบ" ว่างานจะไม่ทัน หรือวันหยุดจะวุ่นวาย การมองโลกในแง่ร้ายล่วงหน้าทำให้เราทุกข์ฟรีๆ ทั้งที่เหตุการณ์จริงอาจราบรื่นกว่าที่คิด จงอยู่กับปัจจุบันและจัดการปัญหาตรงหน้าทีละขั้นตอน
4. จัดระเบียบด้วย Time-Blocking และ Pomodoro (เทคนิคการบริหารเวลาที่แบ่งงานออกเป็นช่วงสั้นๆ ) แทนที่จะมองงานกองโตเป็นภูเขา ให้ซอยงานเป็นชิ้นเล็กๆ และใช้เทคนิค Pomodoro (ทำ 25 นาที พัก 5 นาที) หรือ Time-blocking เพื่อสร้างช่วงเวลาโฟกัส วิธีนี้ช่วยลดความตื่นตระหนกและทำให้เห็นความคืบหน้าของงานได้ชัดเจนขึ้น
Burn Out Blocking: เมื่อองค์กรต้องเป็น "กันชน" ไม่ใช่ "เชื้อเพลิง"
แม้การดูแลตัวเองจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "โครงสร้างการทำงาน" มีผลโดยตรงต่ออาการหมดไฟ นี่จึงเป็นที่มาของเทรนด์สำคัญที่กำลังถูกพูดถึงในแวดวง HR ทั่วโลกสำหรับการก้าวเข้าสู่ปี 2026 นั่นคือ "Burn Out Blocking"
Burn Out Blocking คือแนวคิดที่ว่า บริษัทและองค์กรต้องเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้เยียวยาเมื่อสาย" มาเป็น "ผู้ป้องกันก่อนเกิดเหตุ"
แดนเนียล เฮก (Daniel Hague) นักจิตวิทยาธุรกิจ เปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า มันคือความแตกต่างระหว่างการรอให้ไฟไหม้แล้วค่อยวิ่งไปดับ กับการวางระบบป้องกันไฟไม่ให้ลุกโชนตั้งแต่แรก
ทำไม Burn Out Blocking จึงสำคัญ ?
ในยุคที่หลายองค์กรรัดเข็มขัดและลดขนาดทีม พนักงานที่เหลืออยู่มักต้องแบกรับภาระงานที่มากขึ้น นโยบายนี้จึงไม่ใช่แค่สวัสดิการสวยหรู แต่เป็น "ข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ" เพราะพนักงานที่หมดไฟย่อมหมายถึงผลงานที่ไร้ประสิทธิภาพและข้อผิดพลาดที่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่องค์กรควรทำภายใต้แนวคิด Burn Out Blocking
สร้างบทสนทนาที่เปิดเผย: ผู้บริหารต้องสนับสนุนให้ลูกน้องกล้าพูดเรื่องภาระงานที่ล้นเกินโดยไม่ถูกมองว่าไร้ความสามารถ
นโยบายเชิงรุก: เช่น การกำหนดวันหยุดสุขภาพจิตภาคบังคับ (Mandatory Mental Health Days) หรือระบบแจ้งเตือนเมื่อพนักงานไม่ได้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อน
การเฝ้าระวัง: ฝึกให้หัวหน้างานสังเกตสัญญาณเริ่มต้นของความเหนื่อยล้าในทีม เพื่อปรับสมดุลงานก่อนที่พนักงานจะถึงจุดวิกฤต
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของปัจเจกบุคคล หรือนโยบาย Burn Out Blocking ขององค์กร เป้าหมายสูงสุดคือสิ่งเดียวกัน นั่นคือการตระหนักรู้ว่า "ทรัพยากรมนุษย์" คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด และการรักษาสมดุลไม่ใช่รางวัลที่เราจะได้รับหลังเกษียณ แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่ต้องทำในทุกๆ วัน
เพื่อให้ปี 2026 ที่กำลังจะมาถึง เป็นปีแห่งความสำเร็จที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความสำเร็จที่ต้องแลกมาด้วยความมอดไหม้ของจิตวิญญาณ
ที่มา : forbeswebmdwomenrisingconews24mamamia
ข่าวที่เกี่ยวข้อง