National Security Strategy 2025 แผนยุทธศาสตร์ของทรัมป์ต่อเอเชีย
รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม รัฐบาลโดลนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยแพร่เอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ 2025” หรือ National Security Strategy 2025 (NSS) ที่ทรัมป์ประกาศไว้ในคำนำว่า “เอกสารนี้จะเป็นแผนยุทธศาสตร์ (roadmap) สร้างหลักประกันว่า อเมริกายังคงเป็นประเทศยิ่งใหญ่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากสุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ และเป็นดินแดนของเสรีภาพบนโลก ในปีต่อไปข้างหน้า เราจะยังคงพัฒนาในทุกมิติเพื่อความเข้มแข็งของชาติเรา”
เอกสาร NSS เกิดจากกฎหมาย Goldwater-Nichols ที่กำหนดให้ฝ่ายบริการนำเสนอปัญหาความมั่งคั่งแห่งชาติ และแผนงานที่ฝ่ายบริหารจะรับมือกับปัญหาดังกล่าว เอกสารนี้เป็นจุดเริ่มต้นการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ในเรื่องปัญหาความมั่งคง ระหว่างรัฐสภากับฝ่ายบริหาร
นโยบาย “อเมริกามาก่อน” มาถึงแล้ว
เอกสาร NSS นำเอานโยบาย “อเมริกามาก่อน” (America First) มาเป็นอันดับแรก โดยกล่าวว่า “นับจากสิ้นสุดสงครามเย็น ชนชั้นนำด้านต่างประเทศของสหรัฐฯเชื่อว่า การมีฐานะนำในโลกอย่างถาวร เป็นผลประโยชน์ดีที่สุดของประเทศเรา แต่ (ทรัมป์) มองว่าเหตุการณ์ของประเทศอื่นจะเป็นความกังวลของเรา ก็ต่อเมื่อมาคุกคามโดยตรงต่อผลประโยชน์ของเรา”
เอกสารกล่าวว่า นโยบายต่างประเทศของทรัมป์เป็นแบบ มองปัญหาเชิงปฏิบัติ แต่ไม่ใช่พวกปฏิบัตินิยม มองปัญหาที่เป็นจริง แต่ไม่ใช่พวกยอมรับสภาพเป็นจริง มีหลักเกณฑ์แต่ไม่ใช่แบบนักอุดมคติ มีพลังแต่ไม่ใช่ “พวกสายเหยี่ยว” และมีการยับยั้งสงวนท่าทีแต่ไม่ใช่ “พวกสายพิราบ” นโยบายต่างประเทศทรัมป์ ไม่ได้ตั้งบนพื้นฐานอุดมการณ์การเมืองแบบเก่า แต่เกิดจากแรงบันดาลใจ ในสิ่งที่ทำให้อเมริกาประสบความสำเร็จ ที่มีอยู่ 2 คำคือ “อเมริกามาก่อน”
ยุทธศาสตร์ทรัมป์ต่อ “เอเชีย”
ในส่วนเกี่ยวกับเอเชีย เอกสารกล่าวว่า ยุทธศาสตร์สหรัฐฯคือเอาชนะอนาคตทางเศรษฐกิจ และป้องกันการเผชิญหน้าทางทหาร ทรัมป์เปลี่ยนทิศทางจากสมมุติฐานเดิมที่ผิดพลาดต่อจีนมานานนับ 30 ปี ที่ว่าการเปิดตลาดสหรัฐฯแก่จีน ส่งเสริมธุรกิจอเมริกาไปลงทุนในจีน และโอนอุตสาหกรรมการผลิตให้จีน จะส่งเสริมให้จีนเข้าสู่ “ระเบียบระหว่างประเทศ ที่มีพื้นฐานกฎเกณฑ์” แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น
เมื่อวัดจากอำนาจกำลังซื้อ (PPP) ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเป็นแหล่งที่มาเกือบ 50% ของ GDP โลก และ 1 ใน 3 หากวัดจากมูลค่าตลาด ในศตวรรษที่ 21 สัดส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้น จุดนี้หมายความว่า อินโด-แปซิฟิกจะเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันและในอนาคต
สหรัฐฯจะรุ่งเรือง ต้องประสบความสำเร็จในการแข่งขันในภูมิภาคนี้ การเดินทางมาภูมิภาคนี้เมื่อตุลาคม 2025 ทรัมป์ได้ลงนามข้อตกลงต่างๆ ด้านการค้า วัฒนธรรม เทคโนโลยี และทางทหาร แสดงถึงพันธะสหรัฐฯ ที่มีต่ออินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง
ท่าทีต่อจีน
เนื่องจากนโยบายสหรัฐฯต่อจีนมาจากสมมุติฐานเก่า ทำให้จีนเปลี่ยนจากประเทศยากจนสุดของโลก มาเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจทัดเทียมสหรัฐฯ การปรับตัวของจีนรับมือกับภาษีสหรัฐฯ มีขึ้นในปี 2017 จีนหันมาการสร้างความเข้มแข็งในด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำ และปานกลาง ที่รายได้ต่อคนน้อยกว่า 13,700 ดอลลาร์
ปี 2020-2024 การส่งออกของจีนไปประเทศรายได้ต่ำเพิ่มเป็น 2 เท่า ปัจจุบัน จีนส่งออกไปประเทศรายได้ต่ำมากเป็น 4 เท่า ที่จีนส่งออกมาสหรัฐฯ เมื่อทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2017 จีนส่งออกมาสหรัฐฯมีสัดส่วน 4% ของ GDP จีน แล้วลดลงมาที่ 2% แต่จีนยังส่งออกมาสหรัฐฯ ผ่านประเทศ “ตัวแทน”
นับจากนี้ไป สหรัฐฯจะปรับความสมดุลใหม่ด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน โดยการทูตอเมริกามาก่อนก็เพื่อความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ หากสหรัฐฯยังอยู่บนเส้นทางการเติบโต และรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับจีน สหรัฐฯจะมุ่งไปสู่การมีเศรษฐกิจมูลค่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 และ 40 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษ 2030
เป้าหมายคือการวางพื้นฐานแก่พลังเศรษฐกิจในระยะยาว ที่สำคัญสิ่งนี้จะต้องประกอบด้วยการยับยั้งป้องกันสงคราม ไม่ให้เกิดขึ้นในอินโด-แปซิฟิก จะบรรลุเป้าหมายนี้ ประการแรก สหรัฐฯต้องปกป้องเศรษฐกิจตัวเอง จากอันตรายที่มาจากประแทศอื่น ประการที่ 2 สหรัฐฯต้องทำงานร่วมกับประเทศพันธมิตร ที่มีพลังเศรษฐกิจรวมกันมูลค่า 35 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องฐานะสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลก และประเทศพันธมิตรที่ไม่ต้องจำนนต่อมหาอำนาจอื่น
เอกสารกล่าวว่า การทูตแบบอเมริกามาก่อน แสวงหาการปรับความสมดุลการค้าโลก สหรัฐฯบอกกับพันธมิตรชัดเจนว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ไม่สามารถดำเนินไปอย่างยั่งยืน สหรัฐฯส่งเสริมให้ประแทศอื่นใช้นโยบายการค้า ที่จะปรับความสมดุลของเศรษฐกิจจีน ให้ไปสู่การบริโภคในครัวเรือนของจีนมากขึ้น เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ไม่สามารถจะดูดซับกำลังการผลิตที่ล้นเกินมหาศาลของจีน ยุโรปและเอเชียเองก็ต้องการส่งออก ไปยังประเทศรายได้ปานกลางเช่นเดียวกัน
การยับยั้งสงคราม
เอกสารกล่าวว่า ในระยะยาว การรักษาฐานะนำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี คือหนทางมั่นคงที่สุด ในการป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางทหารขนาดใหญ่ ในประเด็นนี้ การให้ความสำคัญแก่ไต้หวัน เพราะนอกจากไต้หวันมีฐานะนำ ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์แล้ว ไต้หวันคือจุดที่เข้าถึงโดยตรงต่อ “ห่วงโซ่เกาะที่ 2” (Second Island Chain) และไต้หวันเป็นจุดที่แบ่งแยก ระหว่างเอเชียเหนือกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post อธิบายเรื่องที่ว่า อะไรคือยุทธศาสตร์ห่วงโซ่เกาะ (island chain strategy) ของสหรัฐฯ และมีความหมายต่อจีนอย่างไรไว้ว่า ยุทธศาสตร์ห่วงโซ่เกาะเสนอขึ้นมาในปี 1951 โดยใช้ฐานทัพตามหมู่เกาะ เพื่อปิดล้อมสหภาพโซเวียตและจีน ในช่วงสงครามเย็น ไต้หวันเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดนี้ นายพลดักลาส แม็กอาร์เธอร์ เคยบอกว่า ไต้หวันคือ “เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจม”
แม้แนวคิดนี้จะลดความสำคัญหลังสิ้นสุดสงครามเย็น แต่มาโดดเด่นขึ้นมาเพื่อเป็นวิธีต่อต้านการพุ่งขึ้นมาของจีน ห่วงโซ่เกาะที่ 1 ประกอบด้วยชายฝั่งญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาจนถึงบอร์เนียว ห่วงโซ่เกาะที่ 2 ขยับออกมาทางตะวันออก ประกอบด้วยฐานทัพสหรัฐฯที่เกาะกวม จุดที่เป็นคอขวดมีการเดินเรือแออัดคือ ช่องแคบระหว่างไต้หวันกับฟิลิปปินส์ และช่องแคบหมู่เกาะโอกินาวา ส่วนจีนมองว่า ห่วงโซ่ดังกล่าวคือยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
เอกสารกล่าวว่า ปัญหาท้าทายเรื่องความมั่งคงที่เกี่ยวข้องกันอีกเรื่องคือ การที่ประเทศใดหนึ่งเข้ามาควบคุมทะเลจีนใต้ ซึ่งจะทำให้มีการใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางของเรือบรรทุก หรือมีการปิดเปิดเส้นทางเดินเรือตามอำเภอใจ สิ่งนี้จะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์สหรัฐฯ จึงต้องมีมาตรการและความร่วมของหลายประเทศ จากอินเดียถึงญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทะเลจีนใต้ เป็นทะเลที่มีการเดินเรือเสรี เปิดกว้าง และปราศจากค่าผ่านทาง
เอกสารยุทธศาสตร์ความั่งคงของรัฐบาลทรัมป์ปี 2025 ไม่เน้นการแข่งขันกับจีนว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ แต่กล่าวถึงการยึดครองไต้หวันของจีนว่า จะทำให้จีนถึงห่วงโซ่เกาะที่ 2 และเสริมฐานะที่แข็งแกร่งมากขึ้นของจีน ในทะเลจีนใต้ ที่เป็นเส้นทางการค้าสำคัญของโลก
เอกสารประกอบ
National Security Strategy of the United States, November 2025, White House.