SCL ปั้นโมเดล 3 ปี JUMP+หนุนธุรกิจ
#SCL #ทันหุ้น – SCL ร่วมโครงการ JUMP+ ยกระดับแผนธุรกิจ ชู 3 ปี (69–71) ปักหมุดผลงานโตเด่น เร่งขยายฐานลูกค้าช่องทางใหม่ สยายปีกเหนือ–ใต้ ลุยศูนย์บริการ ประกันภัย E-Commerce ครบวงจร ใส่เกียร์เจาะอะไหล่รถยุโรปและ EV รับดีมานด์ตลาดรถสะสมกว่า 22 ล้านคัน ตั้งเป้าเร่ง Revenue Growth จาก 7.89% เป็น 11.11%
นายสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอส.ซี.แอล. มอเตอร์ พาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือSCL ผู้นำด้านศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า SCL เข้าร่วมโครงการ JUMP+ (Jump Plus) ภายใต้การดำเนินการของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยให้ยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดทำแผนธุรกิจ แผนด้านธรรมาภิบาล และแผนด้าน Climate Action ที่มีเป้าหมายชัดเจนและสามารถวัดผลได้ภายในระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2569–2571) ซึ่งสอดคล้องกับแผนเพิ่มมูลค่าที่บริษัทได้วางกรอบการเติบโตไว้อย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งเป้าหมายให้มีผลประกอบการ 89 ล้านบาทในปี 2571 พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG อย่างเป็นระบบ
ร่วม JUMP+
ภายใต้แผน JUMP+ SCL มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในช่องทางใหม่ ได้แก่ ลูกค้าทั่วไปภาคเหนือและภาคใต้ รวมทั้ง ขยายผ่านศูนย์บริการ ประกันภัย และ E-Commerce รวมทั้ง การเพิ่มแบรนด์สินค้าอะไหล่รถยนต์และแบตเตอรี โดยเฉพาะอะไหล่สำหรับรถยนต์ยุโรป และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ รองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์สะสมในประเทศ ซึ่งมีอยู่กว่า 22 ล้านคัน เป็นฐานรายได้หลักของธุรกิจอะไหล่ทดแทน (REM)
บริษัทตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) จาก 7.89% ในปี 2569 เป็น 11.11% ในปี 2571 ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Growth) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 20% ต่อปี ในช่วงแผนงานดังกล่าว จากการวางแผนปรับปรุงกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหาร ควบคู่กับการลงทุนในโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
กางแผนลงทุน
หนึ่งในโครงการสำคัญคือการลงทุน Warehouse Automation โดยในปี 2569 บริษัทจะก่อสร้างอาคารคลังสินค้าแห่งใหม่ภายในศูนย์กระจายสินค้า จังหวัดปทุมธานี พร้อมติดตั้งระบบคลังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบ และนำเทคโนโลยี AI มาช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดต้นทุน และยกระดับคุณภาพการให้บริการลูกค้า ก่อนต่อยอดการพัฒนาระบบ Logistics ในปี 2570 และการนำยานพาหนะไฟฟ้าเข้ามาใช้ในการขนส่งในปี 2571