โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน

นิยาย Dek-D

อัพเดต 23 มี.ค. 2567 เวลา 12.55 น. • เผยแพร่ 23 มี.ค. 2567 เวลา 12.55 น. • Ink Stone
ข้าคือเซียนฝืนลิขิตสวรรค์…ไม่ว่าจะมีทัณฑ์สวรรค์ลงมาสักกี่ครั้ง…ข้าก็ไม่ยอมแพ้!

ข้อมูลเบื้องต้น

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน (นิยายแปล)

หวังหลิน ชายหนุ่มผู้ค้นพบว่าหนทางการฝึกเซียนช่างน่าเย้ายวนยิ่ง

เซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งใจนึก จึงมุ่งมั่นทำการทดสอบเข้าสำนักเหิงยั่ว ทว่าเขากลับสอบตก!

หวังหลินมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ หลังล้มเหลวกลับมาจึงอยากจะทดสอบอีกครั้งด้วยการออกเดินทางไปสำนักด้วยตนเอง

แต่แล้วเขาก็ได้เจอลูกปัดวิเศษที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล!

ที่นั่นหวังหลินพบเจอผู้เป็นทั้งสหายและอาจารย์นามว่า ซือถูหนาน

แต่ด้วยโลกแห่งการฝึกเซียนช่างโหดร้ายนัก ผู้แข็งแกร่งกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอ การอยู่รอดบนโลกนี้ได้ใจต้องนิ่งและโหดเหี้ยม!

หวังหลินถือคติใครดีมาดีกลับ ใครร้ายมาให้ร้ายกลับไปนับร้อยนับพันเท่า!

กระนั้นโลกแห่งผู้ฝึกตนช่างเป็นช่วงเวลาฝึกฝนอันยาวนาน ญาติสนิทมิตรสหายที่ไม่ได้ฝึกเซียนต่างก็ตายหายไปตามกาลเวลา

กระทั่งวันหนึ่งหวังหลินหนีกลับมาบ้าน แต่พบว่าตระกูลหวังถูกฆ่าล้างบางทั้งตระกูล!

โลกแห่งเซียนช่างโหดเหี้ยม

ไม่ว่าจะเป็นใคร หากไปขัดใจเซียน ระวังจะไม่มีเหลือแม้แต่เถ้าธุลี…

*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท Ink Stone Entertainment ***

ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ: China Literature

เรื่อง: ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน

ผู้เขียน: เอ่อร์เกิน

ผู้แปล: Keepwalk

---

[仙逆] / [耳根]

©2019 Ink Stone Entertainment Co., Ltd. All rights reserved.

Thai translation rights arranged with China Literature by Ink Stone Entertainment Co., Ltd.

ตอนที่ 1 จากบ้าน

เด็กหนุ่มนามไท้จูนั่งอยู่ริมถนนของหมู่บ้านดวงตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ชื่อจริงของเขาคือหวังหลิน แซ่หวังเป็นตระกูลช่างไม้ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่บ้านและมีร้านค้าสาขาอยู่มากมาย

พ่อของไท้จูเป็นบุตรคนที่สองของภรรยารองจึงไม่สามารถสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ หลังจากแต่งงานจึงออกจากเมืองมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากฝีมือช่างที่ยอดเยี่ยม ครอบครัวของไท้จูจึงได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน ส่งผลให้ครอบครัวไท้จู้มีอาหารการกินสมบูรณ์

ไท้จูเป็นเด็กฉลาดชอบอ่านและชอบคิดเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของหมู่บ้าน ทุกๆครั้งที่พ่อของเขาได้ยินคนในหมู่บ้านชมเชยก็ต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

แม่ไท้จูก็รักและดูแลเป็นอย่างดี กล่าวได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตไท้จูได้รับทั้งความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ รวมถึงคาดหวังไว้สูงมากในตัวเขา ในขณะที่เด็กคนอื่นทำนา เขากลับอยู่ที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ

ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่เขายิ่งอยากออกไปสำรวจโลกกว้างนอกหมู่บ้านมากเท่านั้น ไท้จูมองข้ามหนังสือไปที่จุดสิ้นสุดของถนนก่อนจะปิดหนังสือลงและเดินตรงออกไปจากบ้าน

พ่อของเด็กหนุ่มได้นั่งสูบยาสูบอยู่บริเวณสวน ผู้เป็นพ่อสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยถามบุตรชายซึ่งเพิ่งจะเปิดประตูออกมา

"อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วละ"

เด็กหนุ่มตอบกลับเพียงไม่กี่คำ

ผู้เป็นพ่อเคาะบ้องยาสูบในมือก่อนจะลุกขึ้น

"ไท้จู ลูกต้องเรียนให้หนักนะ ปีหน้าจะมีสอบรับราชการ ทุกคนรู้ว่าลูกต้องไปได้ไกล อย่าใช้ชีวิตทั้งหมดจมปลักอยู่กับหมู่บ้านเล็กๆนี่เลย"

"โธ่ เจ้าก็ไปกดดันลูกทุกวัน ข้ามั่นใจว่าไท้จูต้องสอบติดแน่นอน" ผู้เป็นแม่เอ่ยก่อนจะเรียกสามีและบุตรชายไปทานอาหารค่ำ

ไท้จูนั่งลงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มรับประทานเนื้อที่แม่ตั้งใจปรุงเป็นอย่างดี

"พ่อ อาสี่จะมาบ้านเราใช่ไหม" ไท้จูถามขึ้น

"ดูจากเวลาแล้ว เขาน่าจะมาถึงเร็วๆ นี้แหละ" ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะบอกให้ภรรยาตนเตรียมอาหารสำหรับผู้มาใหม่

แม่ของไท้จูกล่าวขึ้น “อาสี่เป็นคนที่ดีต่อพวกเรามาก ด้วยความช่วยเหลือของอาสี่ธุรกิจขายไม้ของครอบครัวเราจึงประสบความสำเร็จ เราควรจะหาโอกาสตอบแทนนะ” เพียงสิ้นคำ เสียงรถม้าดังแว่วจากหน้าประตู ม้าหยุดลงพร้อมเสียงเรียก

"พี่สอง เปิดประตูให้ข้าหน่อย" ไท้จูรู้สึกตื่นเต้นมาก รีบเดินไปเปิดประตูและพบกับชายวัยกลางคน

เขายิ้มและหัวเราะพร้อมลูบหัวไท้จู "ไท้จูไม่ได้เจอตั้งหกเดือนโตขึ้นเยอะเลยนะ"

พ่อของไท้จูกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม "น้องสี่ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะมาตอนนี้ เข้ามาๆ ไท้จูเอาอาหารมาให้อาเขากินหน่อย" ไท้จูเข้ามาในบ้าน จัดแจงหาที่นั่งให้อาและเช็ดด้วยแขนเสื้อพร้อมส่งสายตาเป็นประกายไปที่ชายวัยกลางคน

อาสี่พูดติดตลกว่า"ไท้จู ขยันจังเลยนะ คราวก่อนไม่เห็นขนาดนี้"

ผู้เป็นพ่อมองไปยังบุตรชายพลางยิ้มออกมา "คงจะเป็นวิธีบ่นของไอ้เด็กคนนี้ว่าทำไมเจ้าไม่มาเร็วกว่านี้"

ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ "ไท้จู อาไม่ได้ลืมสัญญาหรอกนะ"

พลันดึงหนังสือสองเล่มออกมาและวางบนโต๊ะ ไท้จูตื่นเต้นมาก เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมาอ่านทันทีราวกับมันเป็นของเล่นที่เขาชื่นชอบ ผู้เป็นแม่มองไปยังบุตรชายอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปถามชายวัยกลางคน "เหลาซีพี่ของเจ้าเล่าเรื่องให้ฟังเยอะเลย คราวนี้ทำไมไม่อยู่สักสองสามวันหล่ะ"

อาสี่ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "ช่วงนี้ข้ายุ่งกับงานในครอบครัวมาก คงต้องรีบกลับพรุ่งนี้แล้ว แต่หากทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะกลับมาเยี่ยมอีก"

อาสี่ส่งสายตารู้สึกผิดไปยังผู้เป็นพี่ชาย เห็นดังนั้นผู้ถูกมองจึงได้แต่เอ่ยว่า "น้องสี่อย่าไปสนใจพี่สะใภ้ของเจ้าเลย งานของเจ้าสำคัญที่สุด เราไว้พบกันวันหลังก็ได้"

ชายวัยกลางคนจ้องไปยังผู้เป็นพี่ก่อนจะเอ่ยถาม "ปีนี้ไท้จูอายุสิบห้าปีแล้วใช่ไหม"

"ไอ้ตัวเล็กนี้จะสิบหกในปีนี้แล้ว อ่านั่นสิ สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก" ผู้เป็นพ่อพลางมองไปยังบุตรชาย

อาสี่หยุดคิดและพูดด้วยเสียงจริงจัง "พี่สอง พี่สะใภ้ มีอย่างหนึ่งที่ข้าอยากปรึกษากับพวกท่าน เหิงยั่วกำลังเปิดรับนักเรียนใหม่ ตระกูลเราสามารถเสนอชื่อได้สามคน และข้าได้รับสิทธิ์ให้เลือกหนึ่งในสาม" พ่อไท้จูนิ่งอึ้งมองไปยังผู้เป็นน้องราวกับไม่เชื่อสายตา

"สำนักเหิ่งยั่ว? แต่นั่นมันสำนักสำหรับเซียนไม่ใช่เรอะ"

"พี่สองถึงแม้นั่นจะเป็นสำนักสำหรับเซียน แต่ตระกูลเราก็มีชื่อเสียงเหมือนกันนะ ลูกชายข้าไม่ชอบอ่านหนังสือแต่มีฝีมือดาบดี ข้าหวังว่าพวกเซียนจะยอมรับเขา มันเป็นโอกาสที่ดี แต่ข้าเห็นไท้จูมาแต่เด็ก เขามีความฉลาดชอบเรียนรู้บางทีอาจจะเหมาะสมสำหรับสอบเข้าสำนักนั่นมากกว่า"

หญิงวัยกลางคนเพียงหนึ่งเดียวรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออก

อาสี่เอามือลูบหัวไท้จู "พี่สอง น้องสะใภ้ เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ให้ไท้จูได้มีโอกาสเลือกอนาคตที่ดี"

ไท้จูรู้สึกสับสน พยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อาสี่และพ่อแม่พูดคุยกัน

“เซียน? อะไรคือเซียน?” ไท้จูเอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับพูดกับตนเอง อาสี่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างเคร่งเครียด

"ไท้จู เซียนคือคนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่สามารถเทียบได้เลย" เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสนใจ

พ่อแม่ของไท้จูโค้งขอบคุณอาสี่อย่างขอบบุญคุณ แต่เขากลับดึงทั้งสองขึ้นไว้ก่อนกล่าว "พี่สองไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แม่ท่านดูแลข้ามาแต่เล็ก ถ้าไม่มีท่านข้าคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และไท้จูก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน"

ได้ยินดังนั้นผู้เป็นพี่ทำได้แต่เพียงร้องไห้อย่างตื้นตันก่อนจะพยักหน้า "หวังหลินลูกต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าอาสี่ดีต่อครอบครัวเรามากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นพ่อจะไม่นับเจ้าเป็นบุตร" ไท้จูรู้สึกตกใจ ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจคำว่าเซียนมากนัก แต่การที่เห็นพ่อให้ความสำคัญกับมันมากถึงขนาดนี้ จึงคุกเข่าให้อาสี่แล้วคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายวัยกลางคนดึงไท้จูขึ้นและกล่าวออกมา "เด็กน้อย เหลือเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก ข้าจะมารับตอนสิ้นเดือน"

เย็นวันนั้น ไท้จูนอนหลับแต่หัวค่ำ หูได้ยินแต่เสียงของพ่อและอาสี่จากในสวน พ่อของเขามีความสุขมาก ปกติพ่อไม่ค่อยดื่มสุราแต่วันนี้กลับชวนอาสี่ดื่มด้วยกัน

“เซียน? จริงๆแล้วเซียนคืออะไรกัน?” ไท้จูตื่นเต้นมาก นี่คงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำตามความฝันในวัยเยาว์ โอกาสที่จะออกไปสู่โลกกว้าง!!

เช้าวันต่อมาอาสี่จากไปแล้ว พ่อและแม่พาไท้จูเข้าไปยังหมู่บ้าน ระหว่างทางเด็กหนุ่มได้สังเกตว่าพ่อดูหนุ่มขึ้น ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยความสดใส เขามีความคาดหวังยิ่งกว่าตอนที่จะให้ไท้จูสอบรับราชการเสียอีก

ในหมู่บ้านนั้นไม่มีความลับ แม้แต่ลูกสุนัขเกิดทุกคนในหมู่บ้านยังรู้ ดังนั้นในไม่ช้าทุกคนก็ได้ทราบเรื่องของไท้จู สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา

"หวังเจี่ยมีลูกฉลาด ตระกูลเขาเสนอชื่อให้เข้าเรียนที่เหิงยั่ว"

"ข้าเห็นไท้จูมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาเป็นเด็กฉลาด น่าจะได้เป็นนักเรียนเหิงยั่วได้ตามที่พวกเราหวัง"

"ไท้จูมีความสามารถมาก พอโตขึ้นคงไม่ลืมพวกเราหรอกนะ"

คำพูดต่างๆ มากมายลอยเข้าหูเด็กหนุ่ม ข่าวเรื่องไท้จูได้สิทธิ์เข้าสอบสำนักเหิ่งยั่วกลายเป็นข่าวที่พูดกันไปทั่ว ทุกๆครั้งที่พ่อแม่ของเขาได้ยิน ก็มักจะหัวเราะอย่างดีใจ

ยามที่ไท้จูเดินอยู่คนเดียวในหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนล้วนเชิญเขาเข้ามา ไท้จูได้กลายเป็นแบบอย่างให้เด็กๆในหมู่บ้านไปแล้ว

ครึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ข่าวของไท้จูดังไปถึงหมู่บ้านอื่นแม้อยู่ห่างไปถึงแปดลี้ ชาวบ้านต่างมาดูไท้จูและร่วมแสดงความยินดี ทุกคนที่มาต่างก็ซื้อของขวัญมาฝาก ซึ่งพ่อและแม่ของไท้จูไม่มีทางเลือกจึงต้องรับเอาไว้ พอทุกคนกลับไปแล้วพ่อไท้จูจึงจัดเตรียมของตอบแทน เมื่อไหร่ที่ไท้จูได้เป็นเซียนเขาจะได้ไม่ต้องกังวลที่จะตอบแทนชาวบ้าน

ขณะนี้ผู้ดีตระกูลหวังพลันรู้ว่าเหลาซีให้สิทธิ์ของตนเองแก่ไท้จูแทนที่จะให้ลูกตัวเองและร่วมแสดงความยินดีคนแล้วคนเล่า พ่อไท้จูรู้สึกได้รับความสำคัญ เพราะหลายปีมานี้เหล่าผู้ดีของตระกูลมักจะดูถูกเหยียดหยาม พ่อและแม่ของไท้จูได้พูดคุยกับแขกคนแล้วคนเล่า เกิดความรู้สึกเหมือนขจัดความทุกข์ในใจที่มีมาหลายปี

นอกจากนี้ยังมีครูอาจารย์ประจำหมู่บ้านช่วยเขียนจดหมายเชิญชวนไปให้คนรู้จัก ครูท่านนั้นไม่ได้เรียกร้องทรัพย์สินอะไรเลย สิ่งที่ต้องการคือให้ไท้จูบอกคนอื่นๆ ว่าเขาเป็นผู้สอนไท้จูมา

แน่นอนว่าไท้จูปฏิเสธไม่ได้เพราะมันเป็นความจริง หลังจากออกหนังสือเชิญชวน พ่อไท้จูต้องจัดโต๊ะกว่าร้อยตัวเพื่อทำการต้อนรับ ทุกคนมาเพื่อชมเชยไท้จูอย่างไม่หยุดหย่อน แม่และไท้จูเองต้องคอยต้อนรับแขกและคอยแนะนำ

"ท่านนี้คือปู่สาม ตอนข้าออกมาจากตระกูล ปู่สามคอยช่วยเหลือเรามากเลย ไท้จูลูกอย่าลืมที่จะตอบแทนบุญคุณท่านนะ" ผู้เป็นพ่อกล่าวกับหวังหลินขณะที่เข้าไปประคองชายสูงอายุคนหนึ่ง

ชายแก่มองไปที่ไท้จูและกล่าวว่า

"อาาา เหลาอี้เวลาผ่านไปนานแล้วสินะลูกของเจ้าก็โตขึ้นมาก หากเทียบกับเจ้าแล้วเด็กคนนี้คงยอดเยี่ยมมากแน่นอน"

พ่อของไท้จูหน้าแดงก่อนจะยิ้ม "ปู่สาม ไท้จูฉลาดมาแต่เด็กแล้ว ได้โปรดอย่าเทียบเขากับข้าเลย เชิญทางนี้"

แม่ไท้จูช่วยประคองชายแก่เดินต่อไป หลังผ่านไปแล้วผู้เป็นพ่อจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ตาแก่นั่นไม่ชอบข้าและเป็นคนไล่ข้าออกจากบ้านมาเอง แถมยังเอาความสำเร็จของเจ้ามาเสียดสีพ่อ"

ไท้จูพยักหน้าอย่างเข้าใจ "อาสี่จะมาวันนี้ไหม"

พ่อไท้จูส่ายหัว "อาสี่ทิ้งจดหมายเอาไว้บอกว่าจะไม่กลับมาจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนจริงๆ"

ในเวลานั้น มีรถม้าอีกคันแล่นเข้ามา หลังจากหยุดลงชายแก่อายุราวๆ ห้าสิบปีเดินออกมามองพ่อของไท้จูพร้อมถอนหายใจแล้ว "เหลาอี้ ยินดีด้วยนะ"

ผู้เป็นพ่อแสดงสีหน้าสับสนก่อนกล่าวขึ้น "พี่…."

ชายแก่มองไท้จูพลางยิ้มแย้ม "เหลาอี้นี้ลูกของเจ้าใช่ไหม มันจะสอบผ่านเรอะ"

พ่อไท้จูขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน "ถึงแม้ไท้จูไม่ได้แข็งแรงกว่าใครๆ แต่เขาก็ฉลาดมาแต่เด็ก แต่ด้วยโชคชะตาทำให้เขาถูกเลือกได้สิทธิ์สอบ"

"ก็ไม่แน่ สำนักเซียนมีการคัดเลือกลูกศิษย์ที่เข้มงวดยิ่งนัก ข้ามองแล้วเด็กอ่อนนี้ไม่มีปัญญาหรอก" เสียงหยาบกระด้างดังมากจากเด็กชายอายุราวๆ 16-17 ปีซึ่งเพิ่งก้าวลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความดูถูกอย่างชัดเจน หวังหลินและพ่อมองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร

ชายแก่หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกล่าวว่า "หวังโจว กล้าดียังไงถึงมาหยาบคายอย่างนี้นี่อาและลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ หวังหลินมาทักทายกันหน่อยสิ" หลังจากพูดเสร็จเขาได้หันไปพูดกับพ่อไท้จู

"ลูกของข้าปากไม่ค่อยดี หวังว่าเหลาอี้คงไม่ถือโทษ แต่ว่า…" ชายแก่ชะงักก่อนเปลี่ยนเรื่องกลางคัน

"เหลาอี้ การฝึกฝนเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องธรรมดา เจ้าต้องเชื่อมั่นในโชคชะตา เหตุที่สำนักเหิ่งยั่วให้เด็กจากตระกูลเราเข้าเรียนเพราะพวกเขาเห็นพรสวรรค์ในตัวลูกของข้าหรอกนะ”

พ่อไท้จูถอนหายใจ "ถ้าลูกชายท่านทำได้ ลูกของข้าก็ทำได้"

หวังจัวกล่าว "ท่านอา ข้าขอแนะให้ท่านอย่าหวังสูงไปเลย การฝึกเซียนมันยากลำบาก หมื่นปีถึงสำเร็จสักคน ไอ้เด็กโง่นี่กล้าดียังไงเทียบกับข้าผู้ที่สำนักเลือกให้เป็นศิษย์" ชายแก่สีหน้าภาคภูมิใจแต่ก็ทำเป็นห้ามปรามลูกตนเองก่อนจะจับมือกับพ่อไท้จูเดินเข้าไปในงาน

"ไท้จู ลูกไม่ต้องกดดันตัวเองมากไปนะ ถ้าเป็นเซียนไม่ได้ก็มาสอบข้าราชการปีหน้า" พ่อของไท้จูข่มความโกรธเอาไว้พลางจับบ่าลูกชาย

“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก” หวังหลินกระซิบเสียงแผ่ว ผู้เป็นพ่อตบไหล่หวังหลินหนักแน่น จ้องมองด้วยสายตาคาดหวัง

พวกเขาพบกับญาติอีกมากมายหลายคน ท้ายที่สุดพ่อไท้จูก็เดินเข้าไปในงาน "ครอบครัวที่รักของข้า ขอบคุณที่มาถึงหมู่บ้านนี้ ข้าขอไม่พูดมากแต่ในวันนี้ลูกของข้าได้รับเลือกให้เข้าสอบที่เหิงยั่ว เป็นวันที่ข้าตื่นเต้นมากที่สุด ข้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมฉลอง" พูดจบพ่อไท้จูก็ดื่มเหล้าองุ่นจนหมดแก้ว

"เหลาอี้ ลูกของเจ้าฉลาดมาแต่เกิดแล้วไม่แปลกที่จะถูกเลือกเหมือนหวังจัว"

"พี่สอง ไท้จูทำเจ้าสมหวังแล้วสินะต่อไปเจ้าคงมีความสุขไม่น้อย"

คำชื่นชมดังมาจากทั่วทุกสารทิศแต่ก็ยังมีบางส่วนที่แม้จะชื่นชมยินดีแต่จริงๆแล้วเต็มไปด้วยความดูแคลนเช่นพ่อของหวังจัว เขามองไปยังบุตรชายของตนสลับกับไท้จูก่อนจะสำนึกขึ้นในใจว่าหากเหล่าเซียนไม่ได้ตาบอด ไท้จูไม่มีทางเป็นผู้ถูกเลือกอย่างแน่นอน

พ่อของไท้จูได้พาหวังหลินไปแนะนำตามโต๊ะต่างๆ ในวันนั้นพ่อไท้จูดื่มเหล้าองุ่นไปมาก เขาไม่เคยมีความสุขอย่างนี้เลย

หลังจากญาติๆได้จากไปแล้ว หวังจัวได้พูดข้างหูไท้จู "ไอ้โง่ คนอย่างเจ้าสอบไม่ผ่านหรอก เจ้าไม่เหมาะสมกับการเข้าเรียน" สิ้นคำเด็กหนุ่มก็จากไปด้วยรอยยิ้มดูถูกพร้อมกับพ่อตนเอง

ไท้จูเอนหลังลงบนเตียง เด็กหนุ่มคิดอย่างคาดหวังว่าจะต้องได้เข้าเรียน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!

หลายเดือนผ่านไปอาสี่ของไท้จูก็ได้เดินทางมาถึง พ่อไท้จูรีบไปต้อนรับแต่กลับพบว่าผู้เป็นน้องเต็มไปด้วยอารมณ์เร่งร้อน

"พี่ชาย พี่สะใภ้ ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องไปพร้อมกับไท้จูตอนเช้าพรุ่งนี้เลย ใกล้ถึงเวลาที่สำนักเหิงยั่วจะรับศิษย์แล้ว"

พ่อไท้จูแสดงสีหน้าเสียใจ "ไท้จูไปกับลุงเถอะ ถ้าไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไรกลับมาที่บ้านได้"

จากนั้นแม่ของไท้จูก็ได้กล่าวว่า "เชื่อฟังอาสี่นะลูก อย่าสร้างปัญหา อดทนให้มากเข้าไว้ แม่จะเตรียมชุดใหม่และอาหารโปรดของลูกไว้ให้ คิดถึงลูกนะ หากสอบไม่ผ่านก็กลับมาหาแม่ได้" สิ้นคำผู้เป็นแม่ก็ร้องไห้ ตั้งแต่เกิดไท้จูไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย นี่เป็นครั้งแรกของครอบครัว

อาสี่พูดอย่างสะเทือนใจ "ไท้จูพ่อแม่ของเจ้าหวังเอาไว้มาก พี่ชาย พี่สะใภ้ อีกไม่กี่วันจะต้องมีการเฉลิมฉลองใหญ่เป็นแน่ วันนี้อย่าพึ่งไปไหน พรุ่งนี้ข้าจักพาท่านไปยังที่ที่ประกาศผล"

อาสี่หนุนหลังไท้จูขึ้นไปยังรถม้า ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป

ผู้เป็นแม่มองตามรถม้าที่ค่อยๆเลือนหายไปก่อนเอ่ยขึ้น "คุณคะ ไท้จูไม่เคยออกไปไหนไกลเลย หวังว่าลูกคงไม่โดนรังแกนะ" นางกล่าวด้วยดวงตาเศร้าใจ

"เขาโตแล้ว อย่ากังวลไปเลย เขาออกเดินทางเพื่ออนาคตที่สดใส" พ่อไท้จูสูบยาเข้าปอดด้วยใบหน้ากังวลใจอยู่ลึกๆ

…………………….

ตอนที่ 2 เซียน

รถเกวียนแล่นไปตามถนน ร่างหวังหลินกระแทกขึ้นลงตลอดทาง เขากุมมือและคิดถึงความหวังของพ่อแม่ ตอนนี้หวังหลินออกจากหมู่บ้านที่เขาอยู่มาถึงสิบห้าปี เป้าหมายของการเดินทางอยู่ห่างไปอีกไกล หวังหลินได้แต่นอนหลับอย่างสงบจนกระทั่งเขาถูกปลุกเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นจึงพบกับอาสี่ที่ยิ้มให้และมองลงมาอย่างเอ็นดู

"จากบ้านมาครั้งแรกรู้สึกเป็นไงบ้าง"

หวังหลินพบว่ารถม้าได้หยุดลงแล้ว "ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น ตอนนี้กังวลว่าพวกเซียนจะรับเข้าสำนักเหิงยั่วหรือเปล่า"

อาสี่หัวเราะและตบบ่าไท้จูพร้อมพูดขึ้น "เอาน่า อย่ากังวลนักเลยนี่คือบ้านของอาเอง ลงมานอนหลับข้างล่างเถอะเดี๋ยวตอนเช้าจะพาไปต่อ"

หลังจากลงจากรถแล้วหวังหลินพบว่าตัวเองอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาเดินไปในบ้านพร้อมอาสี่ เมื่อนอนบนเตียง หวังหลินรู้สึกนอนไม่หลับทั้งยังคิดถึงหมู่บ้าน คิดถึงครอบครัวและกังวลเกี่ยวกับการสอบเข้าเป็นเซียน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นในยามเช้าตรู่ หวังหลินไม่ได้นอนทั้งคืนทว่าจิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

เขาตามอาสี่ไปที่บ้านตระกูลหวัง นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ อาสี่เดินอยู่ข้างๆพร้อมพูดขึ้นมา "ไท้จูเจ้าต้องพยายามให้มาก อย่าปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องเจ้ามีโอกาสแกล้งเจ้าได้หละ"

ถึงแม้หวังหลินจะกังวลแต่ก็ตอบรับคำพูดของอา จากนั้นอาสี่ก็พาเขาเข้ามาที่กลางบ้าน

หวังหลินเจอกับลุงคนหนึ่งและอีกฝ่ายได้กล่าวออกมา "ไท้จูอีกไม่นานท่านเซียนจะมาแล้วอย่าสร้างปัญหาเสียหล่ะ ทำตัวดีๆเหมือนพี่หวังจัวของแกด้วย" เขาพูดอย่างใส่อารมณ์

หวังหลินยังคงเงียบ พลางมองไปรอบๆสังเกตเห็นหวังจัวและเด็กชายหน้าตาฉลาดเฉลียวผิวคล้ำยืนอยู่ข้างๆ เด็กคนนั้นเห็นไท้จูมองมาจึงเอ่ยทัก "เจ้าน่ะหรือลูกของลุงสอง ข้าชื่อหวังเฮ่า"

หวังหลินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ พยักหน้างึกๆทำให้ชายแก่ไม่พอใจเล็กน้อยที่ไท้จูไม่สนใจคำพูดเขาและกำลังจะเริ่มบ่น

ทันใดนั้นท้องฟ้าแยกออก แสงสว่างเล็ดลอดและผ่าลงมาส่งเสียงกึกก้องดุจฟ้าผ่า หลังจากแสงจางลง ชายหนุ่มชุดสีขาวยืนอยู่อย่างสง่างาม ดวงตาสดใสและเฉียบคม เขามองไปที่เด็กทั้งสามโดยเฉพาะเด็กผิวคล้ำที่มีของอยู่ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบ "เด็กพวกนี้จากตระกูลหวังหรือ?"

"คนนี้ใช่เซียนหรือนี่?" เด็กๆต่างมองชายหนุ่มชุดขาวด้วยหัวใจเต้นแรง พวกเขาตะลึงไปพักนึงและแสดงความเคารพชายหนุ่ม อย่างไรก็ตามหวังจัวไม่ค่อยให้ความสนใจและถอนหายใจออกมา พ่อของหวังจัวเดินออกมากล่าว "นี่คือเด็กที่ตระกูลหวังเลือกมาขอรับ"

ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย "คนไหนคือหวังจัว"

ชายแก่ยิ้มและรีบดึงตัวหวังจัวออกมาแนะนำ "ท่านเซียน นี่คือลูกของข้า หวังจัว"

ชายหนุ่มมองไปที่หวังจัวและพยักหน้า "อืมม หวังจัวมีความสามารถมากทีเดียว เหมาะสมกับเส้นทางการเป็นเซียน ไม่แปลกเลยที่อาจารย์จะชื่นชอบเขา"

หวังจัวมองไท้จูอย่างหยิ่งยโสและเอ่ยแบบเหยียดๆ "เป็นธรรมดาน่ะ คนที่จะเป็นเซียนได้ต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง"

ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินดังนั้นพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มให้และคลายแขนเสื้อออก พาเด็กสามคนบินไปกับสายรุ้ง อาสี่มองไปบนท้องฟ้าพร้อมเอ่ยให้กำลังใจ "ไท้จู อาเชื่อว่าหลานทำได้"

หวังหลินรู้สึกว่าร่างกายเบาลงและมีลมแรงปะทะใบหน้า

แต่ค้นพบว่าตัวเองถูกหนีบอยู่ที่รักแร้ของชายชุดขาวซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผ่านท้องฟ้าไปจนหมู่บ้านเล็กลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขารู้สึกแสบตาและน้ำตาคลอเบ้า ชายชุดขาวเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น "ถ้าพวกเจ้าสามคนไม่อยากตาบอดก็หลับตาซะ"

หวังหลินได้ยินจึงรีบหลับตาลงและไม่กล้าลืมตาขึ้นอีก กล่าวในใจว่าต้องการเป็นเซียนให้ได้ ไม่นานนักชายชุดขาวก็ช้าลง ลงจอดพร้อมกับปล่อยเด็กทั้งสามลงบนพื้น

หวังหลินลุกขึ้นพบว่าภาพที่เห็นราวกับสวรรค์ก็มิปาน ภูเขาดอกไม้ แม่น้ำ วิวทิวทัศน์ที่แสนงดงาม เบื้องหน้ามีภูเขาสูงปกคลุมด้วยก้อนเมฆและเต็มไปด้วยเสียงของสัตว์นานาชนิด ราวกับตรงหน้าเป็นเพียงภาพวาด

หวังหลินรู้สึกดื่มด่ำไปกับภาพสวยงามของโลกใหม่แห่งนี้ เขามองขึ้นไปบนยอดเขาเห็นอาคารใหญ่มีสายรุ้งพาดผ่านให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และลึกลับ ด้านข้างอาคารมีทางหินสีเงินเชื่อมไปยังยอดเขาต่างๆ

บรรยากาศรอบๆสำนักเหิงยั่วนั้นมหัศจรรย์ เหิงยั่วเป็นสำนักโบราณ เต็มไปด้วยศิษย์ที่มีความสามารถเป็นเวลากว่าห้าร้อยปีมาแล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลถึงขนาดควบคุมโลกได้ทั้งใบและเต็มไปด้วยสาขาต่างๆ แต่มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ถูกบีบอยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม เหิ่งยั่วยังเป็นสำนักที่ทุกคนยากจะเข้าใจ มีพื้นที่กว้างขวางหลายพันลี้

"น้องเซียง สามคนนี้คือคนจากตระกูลหวังใช่ไหม" ชายวัยกลางคนแต่งกายชุดดำเหาะเหินลงมา ชายหนุ่มชุดขาวแสดงความเคารพก่อนจะกล่าวขึ้น

"ใช่" ชายวัยกลางคนมองไปที่ยังเด็กทั้งสามโดยเฉพาะหวังจัว

"อาจารย์รู้ว่าการฝึกของเจ้าอยู่ในช่วงสำคัญ ไปฝึกฝนต่อเถอะเดียวข้าจะทดสอบพวกนี้เอง" ชายหนุ่มชุดขาวรับทราบและเดินจากไป

หวังหลินจ้องมองอย่างตื่นเต้นและรู้สึกว่ามีคนสะกิดเขา ซึ่งก็คือหวังเฮ่า "นี่คือพวกเซียนสินะ เจ๋งเป็นบ้า อยากให้พวกเขาเลือกข้าไวๆจัง" เขาพูดพร้อมสัมผัสวัตถุในกระเป๋าเสื้อเบาๆ

………………………………..

ตอนที่ 3 การทดสอบ

หวังจัวรู้สึกตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าเช่นกันแต่ด้วยความหยิ่งยโสเขาจึงไม่ได้พูดออกมา

ในขณะเดียวกันนั้นมีสายรุ้งหลากสีลอยมาถึงพวกเขา ไม่นานจึงพบว่ามีเด็กอายุราวๆ 15 ปีหลายคนถูกพามาเช่นกัน เหล่าผู้เยาว์มีทั้งชายและหญิงต่างแสดงอาการตื่นตกใจและตกตะลึงในความอัศจรรย์เหมือนหวังหลิน
เหล่าศิษย์ในอนาคตของเหิงยั่วจากที่ต่างๆได้มองไปรอบๆและจับกลุ่มคุยกันอย่างตื่นเต้น หลังจากรอสักพักพวกเขาก็รวมตัวกันเบื้องหน้าชายวัยกลางคนและเขาเป็นฝ่ายพูดก่อน

"ในกลุ่มพวกเจ้า มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับเลือกเป็นศิษย์ของสำนักเหิงยั่ว"

ทุกคนต่างเริ่มตกใจ หวังหลินเองก็กังวลเช่นกัน จากที่เขานับดูคนที่อยู่ที่นี่มีถึง 48 คน
"ซิวเซียน(เด็กฝึกหัด)เป็นขั้นเริ่มต้นของการเป็นเซียน ข้าจะเริ่มต้นการทดสอบโดยตรวจสอบพลังวิญญาณของพวกเจ้าว่าเพียงพอหรือไม่ จากนี้คนที่ข้าเลือกให้เดินออกมาทีละคน"

เด็กคนแรกได้เดินไปหาชายวัยกลางคน เขาวางมือบนหัวเด็กคนนั้นเบาๆและพูดขึ้นมาว่า "ไม่ผ่าน!! ไปยืนทางซ้าย"

เด็กน้อยดูเหมือนจะไม่มีเรื่ยวแรงขึ้นมาทันที ใบหน้าแสดงความเสียใจและก้มหน้าเดินไปทางซ้าย
จากนั้นชายชุดดำก็ทดสอบต่อไปเรื่อยๆ

"ไม่ผ่าน"

"ไม่ผ่าน"

"ไม่ผ่าน"

"ไม่ผ่าน"

…..

สิบคนมาแล้วยังไม่มีใครผ่านเลย ทางขวาของชายวัยกลางคนยังไม่มีคนยืนแม้แต่คนเดียว คนต่อไปคือหวังจัว เขาเดินไปอย่างมั่นใจแต่มีความประหม่าเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนได้เอามือวางบนหัวเขา ท้นใดนั้นใบหน้าของชายชุดดำก็แสดงอาการพึงพอใจ "เจ้าชื่ออะไร"

หวังจัวตอบอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "ท่านเซียน นามของข้าคือหวังจัว"

ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ "เจ้าคือเด็กที่อาจารย์พูดถึงสินะ ถ้าอย่างนั้นไปยืนทางขวาได้"
หวังจัวเดินไปทางขวาท่ามกลางสายตาของนักเรียนคนอื่นที่มองอย่างอิจฉา เขายืนอย่างหยิ่งยโสราวกับสวมมงกุฏอยู่บนหัว "เขาโชคดีเป็นบ้า" หวังเฮ่าบ่นให้หวังหลินฟัง แต่ทว่าหวังหลินกำลังกังวลเป็นอย่างยิ่ง ยามที่คิดถึงความหวังของพ่อแม่ยิ่งทำให้เขาต้องกำหมัดแน่น
"เจ้าไปทางขวาได้" ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นมา ทุกคนต่างตกใจเมื่อคนที่ได้รับเลือกนั้นเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิง

เวลาผ่านไปมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ฝั่งขวา ต่อไปถึงตาของหวังเฮ่าแล้ว
หวังเฮ่าเดินไปอยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคน และคุกเข่าอย่างรุนแรงราวกับพื้นจะแตกพร้อมพูดว่า "ท่านเซียน ข้าหวังเฮ่า วันนี้ท่านลำบากมากแล้วเชิญท่านไปพักผ่อนก่อนข้ายังไม่รีบ ตกลงนะ?"

ชายวัยกลางคนขำออกมา เขาพบเด็กมามากแต่พึงเคยเจอคนแบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย เขาวางมือลงบนหัวหวังเฮ่าโดยไม่สนใจคำพูด จากนั้นส่ายหัว "พลังวิญญาณห่ว….."
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อไป หวังเฮ่าหยิบกล่องหยกขึ้นมากล่าว "ท่านเซียน พ่อของข้าพบสิ่งนี้ที่ภูเขา ลองมาหลายวิธีแล้วไม่สามารถเปิดได้เลย ข้าเลยนำมาให้ท่าน"

ชายวัยกลางคนรู้สึกขำ เขากำลังจะปฎิเสธแต่ว่าพอมองไปที่กล่องนั้นก็เผยแววตาตกใจ "นี่มันเห็ดหลินจือสามร้อยปีถูกเซียนผนึกเอาไว้ ไม่แปลกเลยที่พ่อของเจ้าไม่สามารถเปิดมันได้”

“เอาเป็นว่าข้ากำลังต้องการคนช่วยทำยาพอดี ข้าเห็นเจ้าเป็นเด็กฉลาด มาเป็นศิษย์ข้าไหมละ?"
หวังเฮ่ารู้สึกตื่นเต้นมาก ทันทีที่เห็นท่าทีที่เปลื่ยนไปของชายวัยกลางคนเขาจึงรู้สึกยินดี "ตกลงท่านเซียน ข้าหวังเฮ่าต้องการเป็นศิษย์ท่าน"

ชายวัยกลางคนยิ้ม "ถึงเจ้าจะเป็นผู้ช่วยข้าแต่ข้าก็ไม่ลำเอียงหรอกนะ ไปยืนทางขวากับคนอื่นๆ" หวังเฮ่าเดินไปหาหวังจัวอย่างดีใจทันที เด็กๆคนอื่นต่างรู้สึกเสียใจบางคนถึงขนาดร้องไห้ออกมา ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงตะคอก "เอาพวกที่ร้องไห้กลับบ้านไป!!!"
เหล่าศิษย์สำนักที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่างก็พาเด็กร้องไห้ลงไปทันที

ในที่สุดก็ถึงคราวหวังหลิน เขาหายใจลึกๆแล้วเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคน ความคิดของเขาว่างเปล่าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ "เขาต้องเลือกข้า!" หวังหลินบอกกับตัวเอง
พอชายวัยกลางคนวางมือบนหัวหวังหลิน เขารู้สึกว่าเลือดลมตัวเองกำลังจะเป็นลิ่มน้ำแข็ง

"ไม่ผ่าน!!"

หวังหลินรู้สึกเสียการทรงตัว สองหูราวกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ เสียงของชายวัยกลางดังวนอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกคนรับการทดสอบเสร็จแล้วมีแค่สามคนเท่านั้นที่ถูกเลือก ช่างสูงส่งเหลือเกินสำหรับคนที่ได้รับเลือก หวังจัวมองหวังหลินอย่างดูถูกกว่าเดิม

"สำหรับซิวเซียน(เด็กฝึกหัด) พลังวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญแต่ความมุ่งมั่นและความขยันสำคัญกว่า คนธรรมดาที่มีความพยายามสามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกได้ นี่เป็นโอกาสสำหรับคนที่ไม่ผ่าน การทดสอบที่สองคือทดสอบความพยายาม"

ชายวัยกลางพูดต่อ "พวกเจ้าทุกคนต้องขึ้นเขาจากขั้นแรกไปถึงยอดเขาในเวลาสามวัน ผู้ที่ทำได้ถือว่ามีคุณสมบัติแต่ถ้าหากยอมแพ้ให้พูดออกมา จะมีคนรับกลับบ้าน"
หลังจากพูดเสร็จ ชายวัยกลางคนเดินไปหาผู้ถูกเลือกทั้งสาม "พวกเจ้าสามคนมากับข้า ไปเตรียมพบอาจารย์ เวลาที่จะพบได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของท่านอาจารย์ หวังเฮ่ามากับข้า ข้าจะแนะนำให้รู้จักต้านฟง" ชายวัยกลางคนพูดพร้อมพาเด็กทั้งสามหายเข้าไปในภูเขา
หวังหลินหายใจลึกดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เตรียมเดินทางขึ้นเขา ซึ่งนับเป็นการทดสอบความอดทน

ตอนนี้เหลือผู้เข้าทดสอบอยู่ 39 คน ตอนแรกรู้สึกท้อใจแต่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง

เขากำลังก้าวเดินออกไปสู่ถนนแห่งโชคชะตาที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ไหน

……………………………

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...