Fey Evolution Merchant พ่อค้าอัปเกรดสัตว์วิเศษ
ข้อมูลเบื้องต้น
Fey Evolution Merchant พ่อค้าอัปเกรดสัตว์วิเศษ
หนึ่งศตวรรษหลังจากปราณจิตวิญญาณตื่นขึ้น โลกก็เข้าสู่ยุคใหม่
มนุษย์สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณที่ตื่นขึ้นของโลกได้
ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปบนเส้นทางใหม่ได้ นั่นคือผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณ!
ในขณะเดียวกันพืชและสัตว์บนโลกก็กำลังพัฒนาไปสู่สายเลือดบรรพบุรุษของพวกมัน
หรือพัฒนาการกลายพันธุ์ทางจิตวิญญาณ
…
'หลินเอวี่ยน' เสียชีวิตลงในวัย 30 ปี รู้ตัวอีกที เขาก็มาเกิดใหม่ที่โลกแห่งนี้แล้ว
พร้อมกับกำไลทองแดงปริศนาวงหนึ่ง แต่มันกลับหายไปตอนที่เขาหกล้มจนเลือดออกตอนอายุ 8 ขวบ
หลังจากที่กำไลหายไป หลินเอวี่ยนก็สัมผัสถึงปราณจิตวิญญาณไม่ได้อีก
และนั่นทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงอย่างมาก
เมื่อโตขึ้น หลินเอวี่ยนรับช่วงต่อร้านสัตว์วิเศษที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้
จู่ๆ วันหนึ่งเขาเป็นลมสลบไป ในห้วงจิต เขาได้พบกำไลทองแดงวงนั้นอีกครั้ง
และค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันคือสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง!
มิหนำซ้ำเขายังทำสัญญากับมันแล้วโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อตอน 8 ขวบ!
หลังจากที่ได้กำไลทองแดงกลับคืนมา หลินเอวี่ยนก็สัมผัสปราณจิตวิญญาณได้อีกครั้ง
และการวิวัฒนาการสัตว์วิเศษสำหรับเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!
…
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ร้านวิวัฒนาการสัตว์วิเศษ
ไม่มีปัญหาอะไรที่ผมแก้ไม่ได้ ถ้าจะมีปัญหา
อาจเป็นเพราะสินค้าดีกว่าที่คาดไว้มากกว่า!
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท Ink Stone Entertainment ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : China Literature
เรื่อง : Fey Evolution Merchant พ่อค้าอัปเกรดสัตว์วิเศษ
ผู้เขียน : หู่พั่วหนิ่วโค่ว
ผู้แปล : แปลไปมึนหัวไป
ภาพปก : Whither
---
[御兽进化商] / [琥珀纽扣]
©2023 Ink Stone Entertainment Co., Ltd. All rights reserved.
Thai translation rights arranged with China Literature by Ink Stone Entertainment Co., Ltd.
บทที่ 1 สัตว์ร้ายร้อยคำถามและนกเสียง
เป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วที่ฝนยังไม่หยุดตก เมื่อฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมาพร้อมกับความชื้น ทำให้ใครๆ ต่างก็หายใจในสภาพแวดล้อมนี้ได้ลำบาก
ภายใต้ความร้อนชื้นนี้ มีเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอคนหนึ่งกำลังถือโทรศัพท์มือถือเอไอที่ล้าสมัย เขาพยายามแตะไปมาเพื่อซ่อมมันอยู่นานก่อนที่มันจะเริ่มส่งเสียงในที่สุด
หลินเอวี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่โทรศัพท์เครื่องนี้ยังไม่พัง เพราะถ้าพังเขาคงไม่อาจจะเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่ได้
หลังจากเปิดใช้งานแล้ว
หลินเอวี่ยนก็เข้าไปที่เครือข่ายซื้อขายสัตว์วิเศษ มันคือเครือข่ายที่เขามักแวะเวียนเข้าไปเสมอ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าบัญชีของเขามีการแจ้งเตือนมากกว่า 99 รายการ ทว่าเขากลับตอบกลับเพียงคำถามเดียวเท่านั้น
เมื่อเขานอนไม่หลับในคืนนั้น เขาได้สะดุดกับโพสต์ในกระดานสนทนาที่มีคนถามหาวิธีแก้ปัญหาหลังจากที่ถูกแมงมุมขนเงาผีกัด และเขาก็ตอบคำถามนี้กลับไปอย่างสมเหตุสมผลว่า
“อย่าตกใจไปเมื่อถูกแมงมุมขนเงาผีกัด ให้ดื่มน้ำร้อนผสมป่านหลานเกิน แล้วก็ทำความสะอาดแผลที่โดนกัด จากนั้นให้หาที่ร่มและอากาศถ่ายเทใต้ต้นไม้แล้วนอนลง เพื่อป้องกันไม่ให้ศพของคุณมีกลิ่นเหม็น และถ้าการเงินของคุณเพียงพอก็ควรปูเสื่อไม้ไผ่ไว้ใต้ตัวด้วย”
ในขณะที่มองคำตอบแปลกๆ ทุกประเภท หลินเอวี่ยนก็ได้ยินเสียงบางอย่างและทันใดนั้นเอง ก็มีแมวดำสีเทาเข้มตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนขาของเขา หลังจากที่แมวกระโดดขึ้นมาบนขาของหลินเอวี่ยนแล้วนั้น เขาพลันได้ยินเสียงกระพือปีกดังอยู่ไม่ไกล ก่อนที่นกที่มีลักษณะคล้ายนกกระจอกซึ่งมีสีฟ้าทั้งตัวจะร่อนลงบนไหล่ของเขาและส่งเสียงร้อง จิ๊บ จิ๊บ
เขารีบวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วถามแมวน้อยสีเทาเข้มที่เกาะขาของเขาว่า “ชงหมิง ตอนนี้อุณหภูมิของร้านอยู่ที่เท่าไหร่?”
แมวตัวนั้นได้กระโดดลงจากขาของหลินเอวี่ยนดังตุบ ก่อนจะอ้าปากและตอบด้วยน้ำเสียงที่น่ารักและอ่อนหวาน “อุณหภูมิห้องอยู่ที่ 34 องศาเซลเซียส หลินเอวี่ยนถึงเวลาที่นายจะต้องระบายอากาศและกระจายความร้อนแล้วนะ”
หลินเอวี่ยนได้ยินดังนั้นก็รีบอุ้มแมวสีดำขี้เถ้าวิ่งลงไปชั้นล่าง โดยมีนกสีฟ้าร้องเจื้อยแจ้วอยู่บนไหล่ของเขาไปด้วย
เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณเริ่มสาดส่องขึ้นท้องฟ้า หลินเอวี่ยนก็เปิดหน้าต่างเต็มบานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่เขาจะเดินไปหน้าชั้นวางดอกไม้อย่างระมัดระวัง
ในขณะนั้นแมวสีดำขี้เถ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หลินเอวี่ยน กินยาของนายก่อนสิ!”
หลินเอวี่ยนหยุดฝีเท้าทันทีและหันไปรินน้ำแทน ในเวลาเดียวกันนกสีฟ้าก็คาบเม็ดยามาให้เขาด้วย
หลินเอวี่ยนรับเม็ดยาจากนกและโยนเม็ดยาเข้าปากก่อนที่จะกลืนมันลงไปพร้อมกับดื่มน้ำในถ้วย
จากนั้นนกสีฟ้าก็เริ่มเพลงอย่างเผลอตัว แต่หลินเอวี่ยนกลับปิดปากของมันอย่างรวดเร็ว
“ยินยินถ้าเธอร้องเพลงตอนนี้ ป้าจางข้างบ้านจะมาหาเราอีกครั้งนะ!”
แมวพูดได้ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่บนขาของหลินเอวี่ยนและนกบนไหล่ของเขาซึ่งสามารถร้องเพลงได้ ทั้งสองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตลึกลับ แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งศตวรรษหลังจากปราณจิตวิญญาณตื่นขึ้น แมวสีดำขี้เถ้าและนกสีฟ้ากลายเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่เกือบทุกคนต่างมีไว้ในครอบครอง
ชื่อของแมวตัวนั้นคือ “ชงหมิง” มันเป็นหนึ่งในสัตว์ร้ายร้อยคำถาม เป็นสารานุกรมเดินได้ แถมยังสามารถเติมเต็มบทบาทของแม่บ้านได้อีกด้วย มันถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถช่วยทำความสะอาดได้ แต่อย่างไรมันก็แตกต่างจากสัตว์ร้ายร้อยคำถามในตลาดอยู่ เนื่องจากแมวสีดำขี้เถ้าตัวนี้ผอมกว่าและตัวเล็กกว่ามาก ดูราวกับว่ามันขาดสารอาหาร
แมวตัวนี้อาจเกิดมาจากแม่พันธุ์สัตว์ร้ายร้อยคำถาม แต่เนื่องจากขนของมันไม่ได้เป็นสีดำล้วนแต่มีสีอื่นขึ้นมาแซมด้วย มันเลยดูเหมือนกับว่ามันสกปรกอยู่ เพราะแบบนั้นเจ้าของของมันจึงขายมันไม่ออกมานานแล้ว
เจ้าของร้านที่ขายสัตว์วิเศษจึงได้ขายมันโดยมอบส่วนลด 50% จากราคาปกติให้กับหลินเอวี่ยน
ส่วนนกที่ร้องเพลงได้นั้นเป็นนกเสียง เป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นนกเสียงวางขายในตลาด เนื่องจากนกเสียงส่วนใหญ่ได้พัฒนาเป็นนกนักร้องไปแล้ว นกนักร้องเป็นเหมือนเครื่องเล่นเพลงที่มีชีวิตและนกนักร้องที่ฉลาดจะสามารถเรียนรู้เพลงได้มากกว่า 100 เพลง
แต่สำหรับนกเสียงสีฟ้าตัวเล็กเหมือนนกกระจอกที่เกาะบนไหล่ของหลินเอวี่ยนนั้น มันไม่สามารถพัฒนาเป็นนกนักร้องได้
เมื่อเจ้าของร้านเห็นหลินเอวี่ยนลังเลที่จะซื้อสัตว์ร้ายร้อยคำถาม เขาจึงได้เพิ่มนกเสียงตัวนี้เป็นของขวัญให้กับหลินเอวี่ยนด้วย
หลังจากได้รับการฝึกฝนจากหลินเอวี่ยนเป็นเวลากว่าสองปี เจ้านกเสียงตัวนี้ก็สามารถร้องเพลงได้หนึ่งเพลงแล้ว
ยินยินคือชื่อของนกเสียงตัวนี้ ตอนที่มันมาถึงบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก มันมักจะขี้อายและดูหมดอาลัยตายอยาก แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีจิตวิญญาณและสามารถสัมผัสได้ทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียงโดยธรรมชาติ ดังนั้นหลินเอวี่ยนมักจะยกย่องยินยินเพื่อสร้างความมั่นใจให้มันอย่างช้าๆ เป็นผลทำให้ยินยินมีชีวิตชีวามากขึ้นเป็นพิเศษหลังจากเรียนรู้การร้องเพลงได้เพลงหนึ่ง
กับสัตว์ร้ายร้อยคำถามที่ขาดสารอาหารถูกทอดทิ้งและนกเสียงที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับขยะชิ้นหนึ่งแถมไม่สามารถวิวัฒนาการได้ รวมกับเด็กหนุ่มที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะดูอย่างไรทั้งสามก็ดูเหมือนจะเป็นการผสมผสานที่ค่อนข้างจะ “อ่อนแอ”
และตอนนี้ทั้งสามได้จัดการบริหารร้านค้าที่ถูกทิ้งไว้โดยพ่อแม่ของหลินเอวี่ยน
หลังจากกินยาแล้ว หลินเอวี่ยนก็เดินไปที่ชั้นวางดอกไม้และหยิบผ้าสีดำที่คลุมพวกมันออกอย่างระมัดระวัง
ตรงชั้นวางนั้นมีพืชที่มีลักษณะคล้ายดอกบัว 5 ดอก กำลังเติบโตในกระถาง พวกมันมีสีเขียวมรกตและส่งกลิ่นหอมจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นออกมา
เมื่อหลินเอวี่ยนมองเข้าไปใกล้ๆ ดอกของต้นกุหลาบหินทั้งห้าก้าน เขาก็ที่จะอดถอนหายใจออกมาไม่ได้หลังจากที่เห็นก้านดอกก้านหนึ่งของต้นกุหลาบหินมีใบหนึ่งของมันเริ่มเหี่ยวเฉาลง
เมื่อไหร่ที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้จะสิ้นสุดลงกันนะ?
ต้นกุหลาบหินเป็นพืชสัตว์วิเศษประเภทรักษาทั่วไป
หนึ่งศตวรรษหลังจากการปลุกปราณจิตวิญญาณ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกได้รับอิทธิพลจากปราณจิตวิญญาณและมีรูปแบบวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน
ต้นกุหลาบหินนั้นเคยเป็นพืชอวบน้ำมาก่อนที่ปราณจิตวิญญาณจะตื่นขึ้นและเป็นหนึ่งในพืชที่มีวิวัฒนาการ
หากเจ้าของของมันได้รับบาดเจ็บขณะทำอาหาร พวกเขาก็แค่วางต้นกุหลาบหินไว้ข้างเตียงและในวันรุ่งขึ้นรอยบาดที่นิ้วก็จะหายสนิท
แน่นอนว่ายังมีผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณที่เลือกต้นกุหลาบหินเป็นคู่สัญญาอยู่ แต่อย่างไรก็ตามต้นกุหลาบหินเป็นสัตว์วิเศษที่มีระดับต่ำสุดและมันยากมากที่จะพัฒนา
ดอกต้นกุหลาบหินทั้ง 5 กระถางในร้านของหลินเอวี่ยนเป็นระดับปกติทั้งหมด หากพวกมันสามารถผ่านระดับชั้นยอดและไปถึงขั้นประตูของระดับบรอนซ์ได้ ดอกต้นกุหลาบหินก็จะเทียบได้กับสัตว์วิเศษพืชประเภทรักษาที่ยอดเยี่ยมอื่นๆ
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีสถานะที่กำหนดโดยโชคชะตา สัตว์วิเศษระดับต่ำถูกละเลยเพราะมันยากที่จะพัฒนาตัวเอง อย่างไรก็ตามมันจะแตกต่างออกไปหากสัตว์วิเศษระดับต่ำได้รับการรับรองว่าจะพัฒนาเป็นสัตว์วิเศษระดับสูง ในความเป็นจริง
หลินเอวี่ยนได้ยินข่าวลือว่าเหล่าสัตว์วิเศษระดับต่ำมีลักษณะบางอย่างที่จะทำให้พวกมันสามารถปราบปรามเหล่าสัตว์วิเศษระดับสูงได้
การเพิ่มระดับของสัตว์วิเศษระดับต่ำนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีอะไรเลยปีนขึ้นไปบนก้อนเมฆทีละก้าวจากพื้นโลก พวกมันไม่เหมือนสัตว์วิเศษระดับสูงที่เกิดมาในจุดสูงสุดแต่แรกเลย
เหล่าสัตว์วิเศษคุณภาพสูงสามารถพัฒนาได้เช่นกันและพัฒนาได้ค่อนข้างง่ายกว่าเมื่อเทียบกับเหล่าสัตว์วิเศษระดับต่ำ
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะเลี้ยงดูสัตว์วิเศษระดับต่ำ เพราะลำพังแค่ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการเลี้ยงดูสัตว์วิเศษระดับต่ำก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูสัตว์วิเศษระดับสูงได้แล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือว่าเกือบทุกคนมีสัตว์ร้ายร้อยคำถามและนกนักร้องเป็นของตัวเอง ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะลองคิดดูสิ
ในศตวรรษนี้หลังจากการตื่นขึ้นของปราณจิตวิญญาณก็ไม่เคยมีกรณีของสัตว์ร้ายร้อยคำถามหรือนกนักร้องที่พัฒนาขึ้นได้
หลินเอวี่ยนดูแลดอกต้นกุหลาบหินทั้ง 5 กระถางอย่างระมัดระวังโดยฝังแร่ธาตุทางโภชนาการลงในดิน แม้เขาอาจจะไม่ได้ใช้แรงกายมากนัก แต่หลินเอวี่ยนก็หอบเล็กน้อย
และถึงแม้ว่าร้านของหลินเอวี่ยนอาจเรียกได้ว่าเป็นร้านค้าก็จริง แต่ก็เป็นร้านที่มีพืชสัตว์วิเศษเพียงสองประเภทเท่านั้นนั่นคือต้นกุหลาบหินทั้ง 5 กระถางและอัสเนียอีกกว่าหนึ่งโหล อัสเนียเหล่านี้ถือว่าเป็นสัตว์วิเศษระดับปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกมันได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพียงรูปแบบของอัสเนียดั้งเดิมก่อนที่ปราณจิตวิญญาณจะตื่นขึ้น
นอกเหนือจากสารพิษอ่อนๆ ที่มันมีแล้ว เถาวัลย์ของมันยังเติบโตเร็ว แถมยังสามารถเพิ่มสารอาหารในตัวเองได้อีกด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอัสเนียจึงเป็นอาหารสัตว์ที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยงที่กินพืชเป็นอาหารหรือกินไม่เลือก
ในแต่ละวันแต่ละกระถางของอัสเนียเหล่านี้จะมอบเถาวัลย์ยาวหนึ่งเมตรราวๆ 100 เถา ให้กับหลินเอวี่ยน
“เพื่อรักษาปากท้องในแต่ละวันของฉัน ฉันยังคงต้องพึ่งพาอัสเนียเหล่านี้ ถ้าฉันขายต้นกุหลาบหินพวกนี้ได้สัก 1 กระถางล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจแล้วล่ะ”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลินเอวี่ยนจะมองพวกอัสเนียเหมือนกับแม่ที่แก่ชรามองลูก แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะฝึกพวกมัน เพราะโดยพื้นฐานแล้วกับต้นกุหลาบหินทั้ง 5 กระถางนี้ เขาก็ได้ใช้ความพยายามทั้งหมดไปอย่างเต็มที่แล้ว
หลังจากที่หลินเอวี่ยนทำความสะอาดเสร็จ ร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มเปิดกิจการตามปกติในตอนเช้าหลังจากฝนหยุดตก
…………………………………………………….
บทที่ 2 สร้อยข้อมือทองแดง
หลินเอวี่ยนเปิดร้านก่อนเวลา 7 โมงเช้าไปไม่กี่นาที
ในเวลานี้เขายืนอยู่ข้างชั้นวางดอกไม้และรู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิม นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดูอ่อนแอ
แม้ความรู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อเขาเปิดร้านทุกวันเป็นสิ่งที่หลินเอวี่ยนคุ้นเคยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้เขามีความรู้สึกมึนงงในส่วนลึกของจิตใจและความรู้สึกของอาการวิงเวียนศีรษะนี้ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เหมียว! หลินเอวี่ยนไปนั่งพักที่เก้าอี้สักหน่อยก่อนสิ”
จากนั้นแมวดำขี้เถ้าก็ได้ปีนไต่ขึ้นมาบนกางเกงและเสื้อของหลินเอวี่ยนก่อนจะปีนขึ้นไปที่คอของเขา จากนั้นมันก็เริ่มสั่นก่อนที่มันจะยืนขึ้นและใช้อุ้งเท้าอันแสนนุ่มนิ่มของมันนวดที่ศีรษะของหลินเอวี่ยนเบาๆ
นกเสียงเองก็บินไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย ราวกับมันกำลังถามว่าทำไมหลินเอวี่ยนถึงดูอ่อนแอกว่าปกติ
จากนั้นหลินเอวี่ยนก็อุ้มแมวดำขี้เถ้าขึ้นมา ก่อนที่จะกอดสัตว์ร้ายร้อยคำถามอย่างชงหมิงไว้ในอ้อมแขน พลางใช้นิ้วมือที่สวยงามแต่มองเห็นเส้นกระดูกชัดเจนของเขาลูบไล้ไปตามขนของมัน
“ชงหมิง ยินยิน พวกเธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันหรอก เมื่อวานฉันคงนอนหลับไม่สนิทเฉยๆ น่ะ” ในขณะที่หลินเอวี่ยนพูด
เขาก็เริ่มไตร่ตรองไปด้วย เขาคงจะไม่ป่วยอีกใช่ไหม?
ตอนนี้เขาเก็บเงินจากการเปิดร้านเล็กๆ นี่จนเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสาวได้แล้ว
โดยปกติแล้วเงินสำหรับค่าอาหารของเขา เขามักจะเก็บมันเอาไว้
คนยากจนกลัวการล้มป่วยมากที่สุด
หลังจากผ่านไปหนึ่งศตวรรษนับตั้งแต่ปราณจิตวิญญาณตื่นขึ้น ความเจ็บป่วยทั้งหมดก่อนหน้านี้สามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ตราบเท่าที่เราสามารถหาผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณที่ทำสัญญากับสัตว์วิเศษประเภทการรักษาระดับสูงได้ การรักษาก็จะเสร็จสิ้นในขั้นตอนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นค่าธรรมเนียมในการจ้างผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณพร้อมสัตว์วิเศษระดับสูงนั้นมันมากกว่ารายได้ตลอดสามเดือนของร้านค้าของเขาเสียอีก
แม้ว่าหลินเอวี่ยนอาจจะพูดอย่างนั้นออกไปก็จริง แต่ความวิตกกังวลของชงหมิงและยินยินกลับไม่ได้ลดลงเลย ราวกับว่าพวกมันกลัวที่จะสูญเสียสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดไป
สำหรับชงหมิงและยินยิน พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงดูแลบ้านที่ถูกด้อยค่า ทั้งสองตัวต่างถูกทอดทิ้งและถูกปฏิเสธมาโดยตลอด แต่กับหลินเอวี่ยนแล้ว เขาคือโลกทั้งใบของพวกมัน
เมื่อถึงเวลา 7.00 น. ก็มีเสียงดังมาจากบริเวณทางเข้าร้าน
“เสี่ยวเอวี่ยน ป้าบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าอย่าเปิดร้านเร็วขนาดนี้ ให้เปิดหลัง 8 โมงเช้า จะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นไง”
ขณะที่เธอพูด หญิงวัยกลางคนก็ได้วางกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่เธอถืออยู่บนโต๊ะที่เคาน์เตอร์ของหลินเอวี่ยน จากนั้นเธอก็มองไปที่หลินเอวี่ยนด้วยความอ่อนโยนก่อนที่จะพูดว่า “เหมือนเดิม ขอเถาวัลย์อัสเนียสิบอันให้ป้าด้วย”
เมื่อหลินเอวี่ยนได้ยินเสียงที่ค่อนข้างกระตือรือร้น ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มที่อบอุ่นทันที
รอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของหลินเอวี่ยน ทําให้หลินเอวี่ยนดูใจดีมากเหมือนกับสายลมของฤดูใบไม้ผลิ
“ป้าจาง ผมก็เคยบอกป้าหลายครั้งแล้วว่าอย่าเอาอาหารเช้ามาให้ผมตอนป้ามาซื้อของไงครับ!” ในขณะที่พูด หลินเอวี่ยนก็เก็บเกี่ยวเถาวัลย์อัสเนียอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วไปด้วย
กระถางของอัสเนียจะปลูกได้ประมาณ 13 หรือ 14 เส้นเถาวัลย์ซึ่งมีความยาวประมาณ 1.5 เมตรต่อวัน
เถาวัลย์อัสเนียส่วนหนึ่งยาวประมาณหนึ่งเมตร หลินเอวี่ยนใช้กรรไกรตัดเถาวัลย์สิบอันซึ่งมีความยาว 1.5 เมตร จากนั้นเขาก็ใช้ผ้าห่อเถาวัลย์ยาว 1.5 เมตร ทั้งสิบเส้นนั้นให้แน่น
หลินเอวี่ยนเก็บเถาวัลย์อัสเนียที่ปลูกอย่างดีและสดใหม่
ป้าจางมองไปที่ท่าทางกึ่งนั่งยองของหลินเอวี่ยนและดวงตาของเธอก็กะพริบด้วยความเมตตาก่อนจะเปลี่ยนเป็นเวทนา
ในฐานะเพื่อนบ้านเก่าแก่ ป้าจางเฝ้าดูหลินเอวี่ยนที่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเขาต้องมาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุ 12 ปี ต้องมาดูแลร้านนี้เพื่อเลี้ยงตัวเองและน้องสาวของเขา เขาแทบจะไม่สามารถสนับสนุนน้องสาวของเขาให้ได้เรียนหนังสือและป้าจางเองก็จำไม่ได้ว่านี่เป็นปีที่หกหรือปีที่เจ็ดแล้วที่ล่วงเลยมาตั้งแต่ตอนนั้น
เมื่อเก็บเสร็จหลินเอวี่ยนก็นำเถาวัลย์อัสเนียไปที่เคาน์เตอร์และก็บังเอิญเห็นป้าจางมองมาที่เขาพอดี
“ป้าจาง ถ้าผมเปิดร้านตอน 8 โมงเช้าแบบที่ป้าบอก ป้าก็คงจะซื้อเถาวัลย์อัสเนียสดๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกจริงไหมครับ?” เขาถาม
ป้าจางรีบถอนสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอและหัวเราะในขณะที่พูดว่า “นั่นมันก็จริง ทำไมเธอไม่เรียนรู้จากวิธีการทำงานของร้านค้าอื่นๆ ล่ะ นี่มันเป็นเพียงแค่อัสเนียนะ แถมเธอยังคงใส่แร่พลังงานไว้ในนั้นอีกด้วย ลำพังแค่เถาวัลย์อัสเนียจะได้เงินต้นละเท่าไหร่กันเชียว?”
หลินเอวี่ยนยิ้มและส่ายหัวโดยไม่พูดอะไรขณะที่เขาฟังคำแนะนำของป้าจาง ในตอนนั้นหลินเอวี่ยนกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพยุงร่างกายของเขา เนื่องจากอาการวิงเวียนศีรษะทำให้จิตใจของเขาหนักมากจนเขารู้สึกว่าเขาอาจจะทรุดลงไปได้ทุกเมื่อ
ป้าจางเข้าใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีหลักการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านในเวลา 7.00 น. ของแต่ละวันหรือการที่เขายืนกรานอย่างดื้อดึงที่จะใส่แร่พลังงานลงในดินของเถาวัลย์อัสเนีย
ในขณะที่รู้สึกใจสลาย ป้าจางยังคงรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้ที่เธอเฝ้าดูจนเติบใหญ่ รู้สึกเหมือนกับว่าผู้หลักผู้ใหญ่ดูลูกหลานเติบโตเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ
ป้าจางทิ้งเงิน 25 ดอลลาร์สหพันธรัฐไว้ก่อนจะหมุนตัวและเดินไปที่ทางเข้าร้าน เธอกล่าวก่อนจากไปว่า “เสี่ยวเอวี่ยน ลุงหลี่ของเธอทำขนมเค้กงาและน้ำเต้าหู้มาให้เธอเป็นพิเศษเลยนะ กินด้วยล่ะถ้าไม่อยากให้ลุงเขาเสียใจ”
เมื่อหลินเอวี่ยนเห็นเงิน 25 ดอลลาร์สหพันธรัฐบนโต๊ะ เขาก็รีบเก็บเงินและกำลังจะเรียกป้าจาง แต่ทันใดนั้นอาการวิงเวียนศีรษะของเขาก็รุนแรงขึ้นและดวงตาของเขาก็พร่ามัวก่อนที่เขาจะเป็นลม
เมื่อป้าจางเดินจากไป เธอรู้สึกพอใจมาก เพราะทุกครั้งที่เธออยากให้เงินหลินเอวี่ยนเพิ่ม เขาจะไม่ยอมรับมัน
แต่คราวนี้เธอเดินออกมาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย
แบบนี้เสี่ยวเอวี่ยนก็คงจะต้องยอมรับเงินไว้สักที
แต่อย่างไรก็ตามขณะที่เธออยู่ที่ทางเข้าร้าน เธอก็ได้ยินเสียงดังราวกับว่ามีบางสิ่งตกลงมาที่พื้น ก่อนที่เสียงกระทบกันจะสะท้อนก้องออกไป นกเสียงและสัตว์ร้ายร้อยคำถามเห็นแบบนั้นก็ต่างพากันส่งเสียงร้องอย่างกังวล
ป้าจางรีบหันกลับมาและสังเกตเห็นว่าหลินเอวี่ยนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับกำเงิน 25 เหรียญสหพันธรัฐไว้ในมือ ดวงตาของเขาปิดลงอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเขาดูสงบราวกับว่าเขากำลังนอนหลับอยู่
ป้าจางรีบเข้าไปช่วยหลินเอวี่ยนด้วยความกังวลทันที
ณ ช่วงเวลาก่อนที่หลินเอวี่ยนจะหลับตาและเป็นลม หูของเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างกังวลของชงหมิง ยินยินและป้าจางอย่างคลุมเครือและหลังจากนั้นสติของเขาก็มืดมนลง
ในสภาพที่มืดครึ้มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหนองน้ำที่ขังเท้าของคนทำให้เคลื่อนไหวได้ยากลำบาก มันทั้งหนืดและนิ่งสนิท
หลังจากเป็นลม หลินเอวี่ยนก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด ความคิดของเขาแวบไปพร้อมกับใบหน้าของน้องสาว ชงหมิงและยินยิน
บุคคลทั้งสามนี้เป็นญาติสนิทที่สุดของเขาและเขาก็กังวลมากที่สุด ถ้าเขาเสียชีวิต เขาก็ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะเจ็บปวดแค่ไหนและไม่มีใครดูแลยินยินและชงหมิง
โชคดีที่เขามีเงินเก็บมากพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสาวในปีหน้าได้แล้ว
สติของหลินเอวี่ยนเริ่มเดินไปรอบๆ ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายนี้ ไม่รู้ว่าเขาเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่ทันใดนั้น
ในจุดสิ้นสุดของสถานที่ที่วุ่นวาย หลินเอวี่ยนก็เห็นบางสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างมาก
มันเป็นสร้อยข้อมือสีทองแดงที่เรียบง่ายและไร้การตกแต่ง
สร้อยข้อมือนี้เป็นความลับของหลินเอวี่ยนมาตลอด ในความเป็นจริงชีวิตนี้เป็นชีวิตที่สองของหลินเอวี่ยน
ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขามีความกระตือรือร้นสูงและเขาเคยอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 30 ปี แต่เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กลายเป็นทารกที่เพิ่งเกิดใหม่หนึ่งศตวรรษหลังจากปราณจิตวิญญาณ ตื่นขึ้น และเมื่อเขาเกิดใหม่สร้อยข้อมือทองแดงนี้ก็ได้ติดตัวเขามาด้วย
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็สวมสร้อยข้อมือนี้ติดตัวมาตลอด แต่เมื่อครั้งตอนเขาอายุแปดขวบ เขาเกิดอุบัติเหตุจนเลือดได้เปื้อนไปโดนใส่สร้อยนั่นโดยไม่ได้ตั้งใจและหลังจากนั้นมันก็ได้หายไปอย่างลึกลับ
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบสร้อยข้อมือสีทองแดงในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ สร้อยข้อมือทองแดงนั่นกำลังกะพริบพร้อมกับแสงจางๆ มันทำให้ส่วนลึกของจิตสำนึกของเขาเต็มไปด้วยระลอกน้ำที่มีความแวววาวของหยก
สร้อยข้อมือนี้เป็นเหมือนประตูที่รอให้สติของหลินเอวี่ยนก้าวข้ามผ่านมันไป
……………………………………………………
บทที่ 3 มอร์เบียส
มันเป็นการเรียกหาที่จับต้องไม่ได้ แต่มันก็เป็นการเรียกที่เป็นกันเองที่สุดเช่นกัน
มันเหมือนกับการที่โชคชะตานำทางนิวตันไปยังต้นแอปเปิลอย่างแนบเนียนและด้วยความบังเอิญที่ยิ่งใหญ่แอปเปิลได้ร่วงหล่นจากต้นไม้
เมื่อจิตสำนึกของหลินเอวี่ยนข้ามเข้าไปในวงแหวนแสงสีทองแดงที่เรียบง่าย วงแหวนแสงก็สว่างขึ้นพร้อมกับลวดลายที่มีจุดและซับซ้อน
รูปแบบเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้นอกจากแปลกประหลาด พวกมันทั้งหมดตัดกันไปมา แต่มีความรวดเร็วที่เหนือจินตนาการ
หลินเอวี่ยนรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกหลังจากผ่านวงแหวนแสงที่เรียบง่ายและไร้การตกแต่งนี้ ในสภาพอันผ่อนคลายนี้ หลินเอวี่ยนสามารถสัมผัสได้ถึงปราณจิตวิญญาณของโลกที่อยู่รอบกายของเขา
มันเป็นความรู้สึกที่หลินเอวี่ยนไม่เคยรู้สึกมาก่อนตั้งแต่เขาอายุแปดขวบ เมื่อสร้อยข้อมือทองแดงเปื้อนเลือดของเขาและมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อสร้อยข้อมือทองแดงหายไป มันไม่เพียงแค่ทำลายประสาทสัมผัสของเขาที่มีต่อปราณจิตวิญญาณของโลก แต่มันยังปล้นพลังจิตวิญญาณของเขาไปด้วย
ในปัจจุบันพลังจิตวิญญาณของเขาอาจยังคงเหือดแห้งเหมือนเดิม แต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงปราณจิตวิญญาณในโลก
ร่างกายของเขาอ่อนแอมากเพราะเขาไม่สามารถสัมผัสถึงปราณจิตวิญญาณของโลกได้อีกต่อไป
หลังจากปราณจิตวิญญาณตื่นขึ้น ปราณจิตวิญญาณได้กลายเป็นพลังงานพื้นฐานที่สุดของโลกใบนี้ สัตว์และพืชพื้นเมืองของโลกล้วนสามารถพัฒนาไปสู่ลักษณะสองลักษณะได้เนื่องมาจากอิทธิพลของปราณจิตวิญญาณ
ลักษณะอย่างหนึ่งคือการหวนกลับไปใช้ธรรมชาติอันป่าเถื่อนของบรรพบุรุษซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถของร่างกาย อีกลักษณะคือการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณและมุ่งเน้นไปที่การโจมตีด้วยพลังงาน
สำหรับมนุษย์พวกเขาได้พัฒนาผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณภายใต้อิทธิพลของปราณจิตวิญญาณ มีผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณทุกประเภท แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาใช้ปราณจิตวิญญาณเพื่อเสริมสร้างร่างกาย
เนื่องจากหลินเอวี่ยนหยุดรับรู้ปราณจิตวิญญาณเมื่ออายุแปดขวบ เขาจึงไม่ได้พึ่งพาปราณจิตวิญญาณเพื่อปรับปรุงความสามารถของร่างกายอีกต่อไป เขาพึ่งพาธรรมชาติในการเติบโตและอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน
หลินเอวี่ยนรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของเขาจึงไม่สามารถกักเก็บปราณจิตวิญญาณได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันในตอนนี้ เขาอาจจะสามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณด้วยความเร็วที่น่าตกใจซึ่งไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แต่ปราณจิตวิญญาณที่รวมตัวกันในร่างของเขาจะรั่วไหลออกจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเขาเป็นเหมือนช่องทางและนี่คือสาเหตุที่หลินเอวี่ยนรู้ว่าเขาถูกกำหนดให้ล้มเหลวในฐานะผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณ แม้จะมีกรณีที่ปราณจิตวิญญาณทั้งหมดแล่นผ่านร่างกายจะไม่หลงเหลืออยู่ แต่เขาก็ยังสามารถเพิ่มขีดความสามารถของร่างกายได้ด้วยกระบวนการนี้ ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่ต้องกินยาซึ่งมีไว้เพื่อบำรุงร่างกายของเขาอีกต่อไป
ในช่วงเวลาหนึ่งปี เขาจะสามารถประหยัดเงินได้มหาศาล น้องสาวของเขาอายุมากพอแล้วที่เธอจะสามารถทำสัญญากับสัตว์วิเศษตัวแรกของเธอได้
ด้วยเงินทั้งหมดที่เขาเก็บออมไว้ เขาจะสามารถซื้อสัตว์วิเศษซึ่งถือว่าดีกว่าในบรรดาสัตว์วิเศษปกติสำหรับน้องสาวของเขาได้
ในความเป็นจริงเขาอาจสามารถซื้อสัตว์วิเศษระดับชั้นสูงระดับต่ำได้
“ในที่สุดร่างกายนี้ก็สามารถสัมผัสจิตวิญญาณได้! แต่ถึงอย่างนั้น…” หลินเอวี่ยนยังพูดไม่จบประโยคที่เหลือ
หลินเอวี่ยนเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ อย่างไรก็ตามแม้ว่าตอนนี้เขาสามารถสัมผัสปราณจิตวิญญาณได้ แต่หลินเอวี่ยนรู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่พลังจิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนแอเหมือนแต่ก่อน
หนึ่งศตวรรษหลังจากที่ปราณจิตวิญญาณตื่นขึ้น พลังจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับปราณจิตวิญญาณ
ผู้เชี่ยวชาญปราณจิตวิญญาณสามารถทำสัญญากับสัตว์วิเศษได้ เหล่าสัตว์วิเศษถูกจัดเรียงเป็นประเภทการรักษา ประเภทโจมตี ประเภทการป้องกัน และประเภทการสนับสนุน ในหมู่พวกมัน สัตว์วิเศษประเภทโจมตีและประเภทสนับสนุนมีจำนวนมากที่สุด
ในการสร้างสัญญากับสัตว์วิเศษเราจะต้องใช้พลังปราณจิตวิญญาณ
คนทั่วไปสามารถทำสัญญากับสัตว์วิเศษสองถึงสามตัวได้ในชีวิตและอัจฉริยะอาจสามารถทำสัญญาได้ถึงห้าตัว
ความแข็งแกร่งของคนเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตามค่าพลังสัตว์วิเศษที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตามทรัพยากรที่จำเป็นในการบ่มเพาะสัตว์วิเศษเพิ่มเติมก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
ในเรื่องสัตว์วิเศษ สิ่งที่ยากที่สุดคือการพัฒนาพวกมัน ทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการวิวัฒนาการแต่ละครั้งนั้นเกินกว่าที่หลินเอวี่ยนผู้เป็นเจ้าของร้านขายของจิตวิญญาณขนาดเล็กจะสามารถหาซื้อได้
พลังจิตวิญญาณของหลินเอวี่ยนอ่อนแอเหมือนเส้นขน ย้อนกลับไปเมื่อหลินเอวี่ยนได้ทำสัญญากับสัตว์วิเศษในประจำบ้านอย่าง สัตว์ร้ายร้อยคำถามและนกเสียง ทำเอาเขานั้นเป็นลมหมดสติไปสามวันเต็ม
หลังจากตื่นนอน หลินเอวี่ยนมีอาการปวดหัวไปเป็นครึ่งเดือน สิ่งนี้ทำให้หลินเอวี่ยนเข้าใจได้โดยตรงว่าพลังจิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเพียงใด
เมื่อเขาเกิดมาพลังจิตวิญญาณของเขาไม่ได้เหนือกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเช่นกัน พลังจิตวิญญาณของเขาอ่อนแอลงในเวลาเดียวกันเมื่อเขาไม่สามารถสัมผัสกับปราณจิตวิญญาณได้อีกต่อไป เหตุผลที่พลังจิตวิญญาณของเขาอ่อนแออาจเป็นเพราะสร้อยข้อมือทองแดงนี้
สร้อยข้อมือทองแดงนี้ได้ย้ายมาสู่โลกนี้พร้อมกับเขา แต่มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอ่อนแอและไร้ประโยชน์
หลินเอวี่ยนอดไม่ได้ที่จะมีความเห็นที่ซับซ้อนเกี่ยวกับสร้อยข้อมือทองแดง
ในขณะนั้นหลินเอวี่ยนรู้สึกได้เพียงเท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นแข็งๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นหลินเอวี่ยนก็สังเกตเห็นว่าเขาอยู่ในมิติอื่นซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 40 ตารางเมตร พื้นดินเป็นสีทองแดง ภายในพื้นที่มิตินี้มีสระน้ำขนาด 5 เมตรหรือ 6 เมตร
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่น
เมื่อหลินเอวี่ยนเดินไปที่ริมสระน้ำ เขาสังเกตเห็นว่าน้ำใสมากจนสามารถสะท้อนใบหน้าของเด็กหนุ่มได้
สระน้ำนั้นไม่ลึกนักเนื่องจากมีความลึกเพียงครึ่งเมตร หลินเอวี่ยนก้มตัวลงและวักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือ เขารู้สึกได้ว่าน้ำมีอุณหภูมิอุ่นๆ เมื่อเขาได้กลิ่นน้ำ เขาก็รู้ว่ามันเป็นเพียงน้ำปกติเพราะมันไม่มีปราณจิตวิญญาณ
ในขณะที่ครุ่นคิด หลินเอวี่ยนรู้สึกว่าบริเวณข้อมือของเขาหนักขึ้น เขาสังเกตเห็นว่าตอนนี้ข้อมือของเขาสวมสร้อยข้อมือทองแดงที่เรียบง่ายและไม่มีการประดับประดาอื่นใด ในขณะนั้นสร้อยข้อมือทองแดงได้แสดงร่องรอยของความปรารถนาที่จะสื่อสารกับเขา
ความปรารถนาที่จะสื่อสารนี้มีทั้งความรู้สึกชอบพอ ความขี้อายและความสับสน รู้สึกเหมือนเป็นสติปัญญาของเด็กที่เพิ่งได้รับการพัฒนา
ทันทีที่หลินเอวี่ยนใช้สติในการติดต่อกับสร้อยข้อมือทองแดง ทุกอย่างที่หลินเอวี่ยนไม่เข้าใจนับตั้งแต่อายุแปดขวบก็ได้รับคำตอบทั้งหมด
“กลายเป็นว่าสร้อยข้อมือทองแดงเส้นนี้ซึ่งถูกส่งมาพร้อมกับฉันจริงๆ แล้วก็เป็นสัตว์วิเศษ ตอนฉันอายุแปดขวบฉันทำสร้อยข้อมือทองแดงเปื้อนเลือดและทำสัญญากับมันเพราะความผิดพลาดของฉันเอง แปลว่าที่จริงฉันทำสัญญากับสัตว์วิเศษตอนอายุแปดขวบโดยบังเอิญ!”
หลินเอวี่ยนไม่อยากจะเชื่อ เขาใช้มือซ้ายแตะสร้อยข้อมือทองแดงที่ข้อมือขวาและคลื่นแห่งความสงบก็ซัดเข้าใส่ตัวเขาทันที ช่วยให้เขาหายจากอาการไร้เสถียรภาพ ตอนนี้เขาก็มีอาการตัวสั่นเหมือนกันและเขาอาจจะหาเงินได้มากขึ้นนับจากนี้
นอกจากนี้ น้องสาวของเขาไม่จำเป็นต้องใช้สัตว์วิเศษอยู่ในระดับปกติหรือระดับชั้นสูงอีกต่อไป ถ้าเขาทำงานหนักเขาอาจจะให้น้องสาวของเขาเป็นสัตว์วิเศษระดับบรอนซ์ได้ใช่ไหม?
ในความเป็นจริงในระดับหนึ่ง เมื่อสัตว์วิเศษถึงระดับบรอนซ์มันจะถือว่าเป็นสัตว์วิเศษที่แท้จริง
ก่อนหน้านี้หลินเอวี่ยนมีความคิดที่ซับซ้อนเกี่ยวกับสร้อยข้อมือทองแดงนี้ อย่างไรก็ตามหลังจากคิดผ่านไป
หลินเอวี่ยนก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีเพียงร่องรอยของพลังปราณจิตวิญญาณซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะใช้ชีวิตแบบปกติตลอดสิบปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้เขายังเข้าใจว่าทำไมสร้อยข้อมือทองแดงถึงเงียบและไม่ติดต่อกับเขามาสิบปี
สร้อยข้อมือทองแดงพยายามปกป้องหลินเอวี่ยนวัย 8 ขวบซึ่งไม่มีพลังจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงเลือกที่จะจำศีล
การจำศีลทำให้การสร้างสัญญาช้าลง ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสิบปีในการสร้างสัญญาฉบับสมบูรณ์ วันนี้เป็นวันที่สร้อยข้อมือทองแดงตื่นขึ้นด้วย
เมื่อสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์ของหลินเอวี่ยน สร้อยข้อมือทองแดงที่ข้อมือขวาของเขาก็เปล่งความรู้สึกอ่อนโยน รู้สึกเหมือนกำลังพยายามปลอบประโลมจิตใจราวกับให้หลินเอวี่ยนสงบลง
เมื่อรู้สึกได้ว่าหลินเอวี่ยนสงบลง สร้อยข้อมือทองแดงก็รัดแน่นและยึดข้อมือขวาของหลินเอวี่ยนอย่างแน่นหนา รู้สึกอย่างกับว่ามันจับมือของหลินเอวี่ยนไว้แน่นและพูดว่า “ยินดีที่ได้พบนายนะ หลินเอวี่ยน”
หลินเอวี่ยนเผยรอยยิ้มซึ่งเหมือนกับแสงตะวันในยามรุ่งสางที่ผ่านความมืด มันเหมือนกับภาพเงาของดวงอาทิตย์ขึ้นด้านหลังภูเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนว่า “ยินดีที่ได้รู้จักนะมอร์เบียส”
……………………………………………………