โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ต่างชาติถ่ายหนังในไทย สร้างรายได้พันล้านต่อปี ใครได้ประโยชน์

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 12 พ.ย. 2567 เวลา 10.28 น. • เผยแพร่ 12 พ.ย. 2567 เวลา 09.56 น.

ไทยสูบรายได้จากผู้สร้างภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศกว่า 5,533 ล้านบาท จากสถิติ 10 เดือนของปี 2567 พร้อมส่องกลุ่มธุรกิจ-อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากกองถ่ายทำนี้

ทันทีที่ปล่อยตัวอย่างแรกของซีรีส์ดังสัญชาติอเมริกันอย่าง The White Lotus 3 กับงานแสดงครั้งแรกของลิซ่า ศิลปินสาวสัญชาติไทยที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดีกับประโยค “Welcome to the white lotus Thailand ka” ก็สามารถกระตุกต่อมความต้องการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันสำหรับซีซั่นนี้ คือ การใช้ประเทศไทยเป็นโลเกชั่นหลักของซีซั่นนี้ กลายมาเป็นความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ว่า จะได้รับอิทธิพลใดจากการฉายของภาพยนตร์ระดับโลกอย่างไรบ้าง ที่เดาได้ไม่ยาก คือ การสะพัดของธุรกิจท่องเที่ยวที่จะมีการ “มาตามรอย” ของผู้ชมทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ที่กลายมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของทศวรรษนี้ที่ถูกผลักดันจากรัฐบาลให้มีมาตรการดึงดูดนักลงทุน ด้วยความคาดหวังจะได้รายได้เข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่มีธรรมชาติสวยงาม ทั้งภูเขา ทะเล แหล่งน้ำ รวมถึงวัฒนธรรม สถานที่ทางประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ประเทศไทยกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางของกองถ่ายทำภาพยนตร์ของคนทั่วโลก และมีรายได้จากกองถ่ายทำเข้ามาในหลักหลายพันล้านมาตลอดหลายปี

เกือบครบปี 2567 กวาดไปกว่า 5,533 ล้าน

สำหรับสถิติรายได้ของปีนี้ กองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ Thailand Film Office (TFO) เผยจำนวนภาพยนตร์ต่างประเทศที่มาถ่ายทำในประเทศไทยปี 2567 (มกราคม-ตุลาคม) จำนวน 404 เรื่อง กวาดรายได้กว่า 5,533,750,318 บาท และจำนวนทีมงานต่างชาติ 7,055 คน และคนไทย 23,662 คน

มีจำนวนภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำ 404 เรื่อง จากประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น

  • ภาพยนตร์โฆษณา 166 เรื่อง
  • ภาพยนตร์สารคดี 67 เรื่อง
  • รายการโทรทัศน์ 53 เรื่อง
  • ภาพยนตร์เรื่องยาว 42 เรื่อง
  • มิวสิกวิดีโอ 33 เพลง
  • รายการเกม/เรียลิตี้ 29 รายการ
  • ภาพยนตร์ชุด (ซีรีส์) 11 เรื่อง
  • Stock Footage 2 เรื่อง
  • รายการโทรทัศน์ 1 รายการ

และมี 5 อันดับประเทศและเขตปกครองพิเศษ ที่เข้ามาถ่ายทำ และสร้างรายได้สูงสุด ดังนี้

  • เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน 1,243,115,421 บาท
  • สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ 857,863,355 บาท
  • สหรัฐอเมริกา 785,620,364 บาท
  • สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 580,995,680 บาท
  • สาธารณรัฐอินเดีย 383,497,234 บาท

เมื่อเทียบสถิติกับปีที่ผ่านมาพบว่า รายได้ในปี 2566 กว่า 6,602 ล้านบาท มากกว่าในปีนี้ 1,000 ล้านบาท แม้ว่าจะเหลือเวลานับสถิติอีก 2 เดือนก็ตาม ซึ่งถึงแม้ว่ารายได้จากกองถ่ายต่างประเทศจะลดลง แต่สำหรับสถานการณ์ภาพยนตร์และละครไทยก็กำลังกลับมาเติบโตอีกครั้ง

มาตรการดึงรายได้นอกบ้าน

จากรายได้กว่า 600 ล้านของภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง “ธี่หยด” 1,900 ล้านบาทจากเรื่อง “หลานม่า” และ 130 ล้านบาทจากเรื่อง “วิมานหนาม” และนอกจากจะสร้างรายได้แล้วยังถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์ของกฎหมายสมรสเท่าเทียม และความยากจนเรื้อรังของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในส่วนของละครไทยก็เติบโตตามกันมาติด ๆ จากกระแสการไปถ่ายรูปที่กระทรวงกลาโหมตาม “อนงค์” จากเรื่องหนึ่งในร้อย เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาบูมอีกครั้งของละคร และการเติบโตไปสู่สากลโลกของภาพยนตร์ไทย

อย่างไรก็ตาม การนำรายได้เข้าสู่ประเทศยังคงมีความสำคัญ กรมการท่องเที่ยวจึงดำเนินมาตรการสร้างแรงจูงใจ และอำนวยความสะดวกให้กับกองถ่ายทำ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาถ่ายทำที่ประเทศไทยมากขึ้น พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางในการส่งเสริมระบบนิเวศและปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านอื่น ๆ ได้แก่

  • มาตรการ Incentive หรือการคืนเงิน (Cash Rebate) เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศนั้น ๆ โดยมีหลายประเทศทั่วโลกที่นำมาตรานี้มาดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไอซ์แลนด์ อินเดีย และกรีซ ที่มีมาตรการในรูปแบบ Cash Rebate หรือรูปแบบ Tax Rebate ที่ฮังการีและฝรั่งเศสนำไปใช้ รวมถึง Tax Credit ที่ถูกใช้โดยออสเตรเลีย สเปน และอังกฤษ และสำหรับประเทศไทยมีการนำมาตรานี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2560

ตามมติ ครม. 7 กุมภาพันธ์ 2566 มีการปรับมาตรการให้อยู่ในรูปแบบขั้นบันได โดยกองถ่ายทำภาพยนตร์จะได้รับเงินคืนเพิ่มขึ้นตามค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำ 20-30% ของค่าใช้จ่ายการถ่ายทำทั้งหมด ได้แก่

  • ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 50-100 ล้านบาท ได้เงินคืน 20%
  • ค่าใช้จ่ายทำตั้งแต่ 100-500 ล้านบาท ได้เงินคืน 25%
  • ค่าใช้จ่ายเกินกว่า 500 ล้านบาท จะได้เงินคืน 30%

ประกอบกับมาตรการเสริมเพิ่มเติม ที่สามารถเลือกได้ข้อหนึ่งข้อใดหรือมากกว่าหนึ่งข้อ แต่รวมกันแล้วไม่เกินร้อยละ 5 ได้แก่

  • ร้อยละ 3 หากมีการจ้างทีมงานหลักชาวไทย (Key Personnel)
  • ร้อยละ 5 มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริม Soft Power และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย คณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศต้องยื่นหนังสือนำส่งหลักฐานตามแบบ ICM3 ต่อกรมการท่องเที่ยว ภายในระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ภาพยนตร์ได้ออกฉายสู่สาธารณะ แต่ต้องไม่เกินระยะเวลา 3 ปี หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้นในประเทศไทย
  • ร้อยละ 3 มีการถ่ายทำในจังหวัดเมืองรองตามนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีสัดส่วนจำนวนวันการถ่ายทำในจังหวัดเมืองรองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนวันการถ่ายทำในประเทศไทยทั้งหมด
  • ร้อยละ 2 มีค่าใช้จ่ายในกระบวนการหลังการถ่ายทำ (Post-Production) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของค่าใช้จ่ายที่เข้าเงื่อนไขทั้งหมด
  • ร้อยละ 5 หากเริ่มถ่ายทำในประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 และมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทยตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป
  • ร้อยละ 5 หากมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทยตั้งแต่ 150 ล้านบาทขึ้นไป และเริ่มการถ่ายทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

โดยในปี 2567 (มกราคม-ตุลาคม) มีภาพยนตร์ทั้งหมด 12 เรื่อง ที่ขอรับ Incentive

2. เปิดรับสมัครผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งเป็นอาชีพใหม่ที่มีความสำคัญต่อการถ่ายทำตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 และทางหน่วยงานมีการเปิดรับสมัครเป็นช่วง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกองถ่ายทำที่จะเข้ามาในประเทศไทย

โดยมีคุณสมบัติ คือ อายุ 20 ปีขึ้นไป, มีสัญชาติไทย หรือหากเป็นต่างชาติจะต้องมีใบรับรองผ่านการทดสอบทักษะการใช้ภาษาไทย และมีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไม่น้อยกว่า 2 ปี (มีใบรับรอง)

ส่งต่อรายได้สู่วงการอื่น

สำหรับเงินลงทุนในทุกปีที่ประเทศไทยได้รับจากการถ่ายทำในประเทศไทยของต่างประเทศนั้น เคยถูกวิเคราะห์ไว้ โดยระบุว่า ในปี 2560-2566 ไทยได้รายได้จากการลงทุนของผู้สร้างภาพยนตร์ต่างชาติเฉลี่ยปีละ 3,000 ล้านบาทนั้น กระจายไปยังกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนี้

ทีมงานวงการหนังไทย

ทีมงานของชาวไทยขึ้นชื่อในเรื่องของประสบการณ์การทำงานและความทุ่มเทให้ผลงานออกมาดีที่สุด กลายเป็นความเป็นมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เกิดมาเป็นการว่าจ้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกองถ่ายทำ โดยเฉพาะทีมงานฝ่ายศิลป์ที่เนรมิตผลงานได้ออกมาตามความต้องการของผู้ผลิตภาพยนตร์

ในภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีการจ้างงานทีมงานคนไทยหลากหลายตำแหน่ง อาทิ ผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ ฝ่ายศิลป์ ฝ่ายจัดหาสถานที่ถ่ายทำ ฝ่ายตัดต่อ แผนกช่างไฟ ช่างกล้อง สไตลิสต์ ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ฝ่ายจัดหานักแสดง นักแสดงสมทบ และผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ที่ TFO มีการเปิดรับสมัครตลอดปี มีรายได้เข้ามากว่า 3,398 ล้านบาท

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับประโยชน์จากการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย สำหรับภาคธุรกิจที่จะได้รับรายได้จากค่าที่พักทั้งระดับ Luxury เพื่อรองรับนักแสดง ผู้กำกับ หรือที่พักในชุมชนที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ และค่าอาหารที่กระจายไปตั้งแต่ร้านอาหารท้องถิ่น ไปจนถึงภัตตาคารหรู รวมถึงธุรกิจจัดเตรียมอาหารสำหรับทีมงานในกองถ่าย

ค่าพาหนะเดินทาง ตั้งแต่สายการบินที่เป็นนิติบุคคลไทย รถไฟ รถตู้ หรือยานพาหนะในท้องถิ่น ล้วนได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น โดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรับรายได้ไปกว่า 1,878 ล้านบาท

ค่าบริการสถานที่/อุปกรณ์

สำหรับการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นอกจากการเช่าพื้นที่สตูดิโอ หรือโรงถ่ายทำที่เป็นของเอกชนแล้ว ยังมีพื้นที่ของรัฐ อาทิ พื้นที่อุทยานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ พื้นที่สาธารณะที่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงสถานที่ และเตรียมความพร้อมในการรองรับกองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บนั้นจะมีการจัดเก็บภาษีที่ภาครัฐได้รับโดยตรง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย นอกจากนี้ยังมีภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีประเภทอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพากรกำหนด มีรายได้เข้าประเทศกว่า 805 ล้านบาท

ในส่วนของการให้บริการเช่าอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและทันสมัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกล้องคุณภาพสูง ไฟประกอบฉาก รางสไลด์ รางดอลลี่ หรือโดรน ประเทศไทยได้รายได้จากส่วนนี้ไปกว่า 1,968 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายโควิด-19 ในช่วงระหว่างปี 2563-2565 ที่ประเทศไทยมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกองถ่ายทำ ทำให้คณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายทั้งในการตรวจหา และคัดกรองเชื้อโรค และค่าใช้จ่ายการกักตัวของคณะถ่ายทำต่างประเทศ โดยได้รายได้จากส่วนนี้ไปประมาณ 894 ล้านบาท

ทั้งนี้สำหรับปัจจุบันที่โรคระบาดโควิด-19 ถูกลดระดับความรุนแรงลงมาจนกลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่น รายได้ส่วนนี้ที่เคยได้รับก็จะหายไปด้วย ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่ใช่น้อย ประกอบกับสถิติรายได้ของปี 2567 นี้ที่ลดลงกว่า 1,000 ล้านบาท และกลายมาเป็นโจทย์ของหน่วยงานว่าจะสามารถเรียกรายได้เพิ่มเข้ามาในประเทศได้อีกรายได้ในทางใดได้อีกบ้าง

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ต่างชาติถ่ายหนังในไทย สร้างรายได้พันล้านต่อปี ใครได้ประโยชน์

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...