โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ภาพยนตร์

[รีวิว] Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One: อีธาน ฮันต์ ปะทะ ปัญญาประดิษฐ์ ปฐมบทแอ็กชันประเด็นลึกล้ำ

BT Beartai

อัพเดต 12 ก.ค. 2566 เวลา 12.27 น. • เผยแพร่ 12 ก.ค. 2566 เวลา 09.02 น.
[รีวิว] Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One: อีธาน ฮันต์ ปะทะ ปัญญาประดิษฐ์ ปฐมบทแอ็กชันประเด็นลึกล้ำ
สนับสนุนโดย Major Cineplex
สนับสนุนโดย Major Cineplex

ย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีที่แล้ว ทอม ครูซ (Tom Cruise) ได้เริ่มต้นโปรเจกต์แรกของตัวเขาเองในฐานะนักแสดงและโปรดิวเซอร์หนัง ซึ่งนั่นก็คือ ‘Mission: Impossible’ หลังจากที่ออกฉายในปี 1996 โลกเลยได้รู้จักกับสายลับ อีธาน ฮันต์ สายลับประจำหน่วย IMF (Impossible Mission Force) ที่ต้องทำภารกิจในปฏิบัติการที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ จากหนังสายลับขายความไฮเทค พัฒนากลายเป็นแฟรนไชส์หนังแอ็กชันสายลับ ที่มาพร้อมกับฉากเสี่ยงตายสไตล์ ทอม ครูซ ที่ตอนนี้เดินทางมาถึงภาคที่ 7 ในชื่อ ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ และถือเป็นภาคแรกของแฟรนไชส์ที่แบ่งเรื่องราวออกเป็น 2 ตอน

ในภาคนี้ก็ยังคงได้ คริสโตเฟอร์ แม็กควอรี (Christopher McQuarrie) ผู้กำกับและเขียนบทเจ้าประจำที่ทำงานกับแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ตอนเขียนบทภาค ‘Mission: Impossible – Ghost Protocol’ (2011) และรับหน้าที่กำกับ 2 ภาคหลังอย่าง ‘Mission: Impossible – Rogue Nation’ (2015) และ ‘Mission: Impossible – Fallout’ (2018) ที่มีความเชื่อมโยงกันด้วยตัวละครชุดเดิม ทำให้มีภาพของความเป็น ‘จักรวาล’ ขึ้นมาอย่างชัดเจน รวมไปถึงภาคนี้ และตอนที่ 2 ที่จะฉายในปี 2024 ด้วยครับ

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

เรื่องราวในภาคนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ – Tom Cruise) สายลับ IMF ที่ได้รับภารกิจใหม่ในการออกตามล่ากุญแจรูปกางเขนที่สามารถแยกออกได้เป็น 2 ชิ้นส่วน เมื่อประกอบกันเข้า กุญแจนี้จะสามารถเข้าถึงและควบคุมสิ่งที่เรียกว่า เอนทิตี (Entity) อาวุธปริศนาที่ใช้พลังของ AI แทรกซึมเข้าสู่ระบบดิจิทัลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทั่วทั้งโลก แถมยังมีความสามารถในการก่อวินาศกรรมระบบดิจิทัล ด้วยการแทรกซึมเข้าไปในระบบเครือข่ายได้อย่างแนบเนียน แถมยังไม่มีใครที่ล่วงรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นแบบไหน ใครเป็นคนสร้าง สร้างขึ้นมาทำไม และตั้งอยู่ที่ไหนในโลก

แม้จะสร้างความหวั่นวิตกในระดับนานาชาติ แต่ แกเบรียล (อีไซ โมราเลส – Esai Morales) อดีต IMF ที่มี ปารีส (ปอม เคลม็องตีแยฟ – Pom Klementieff) นักสังหารสาวเป็นผู้ติดตาม รวมทั้งแม่ม่ายขาว (วาเนสซา เคอร์บี – Vanessa Kirby) ก็อยากได้กุญแจนี้ด้วยเช่นกัน ฮันต์จึงต้องออกตามหา อิลซา ฟาวสต์ (รีเบ็คกา เฟอร์กูสัน – Rebecca Ferguson) พันธมิตรเก่า และยังได้พบกับ ยูจีน คิตทริดจ์ (เฮนรี เซอร์นีย์ – Henry Czerny) อดีตหัวหน้า IMF คู่ปรับเก่า และ เกรซ (เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ – Hayley Atwell) สาวนักล้วงกระเป๋าปริศนา ฮันต์จึงต้องรวมพลเพื่อนเก่าและผู้ช่วยภารกิจอย่าง ลูเธอร์ สติกเคลล์ (วิง เรมส์ – Ving Rhames) และ เบนจี ดันน์ (ไซมอน เพ็กก์ – Simon Pegg) ร่วมกันตามหากุญแจ และไขปริศนา เกี่ยวกับเอนทิตีให้ได้ โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

แม้โดยรวมจะไม่ได้มีเนื้อหาต่อมาจากภาคก่อน ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยดููภาคไหนมาก่อนเลย ก็ยังถือว่าดูได้แบบสนุกและรู้เรื่องนะครับ บทถือว่าฉลาดทีเดียว ในการออกแบบให้ภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องการตามหากุญแจ ส่วนปริศนาของเอนทิตีจริง ๆ ก็ค่อยต๊ะเอาไว้ไปว่ากันตอน 2 ก็เลยทำให้ภาคนี้มีความสนุกแบบจบในตัวได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ภาคนี้มีตัวละครจากภาคเก่า ๆ ทั้งภาค ‘Rogue Nation’ (2015) และ ‘Fallout’ (2018) ผู้เขียนเองก็คิดว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องดูภาคเหล่านี้มาก่อนเพื่อปูให้เข้าใจที่มาที่ไปของตัวละครเก่า ๆ ทั้งหมด (รวมถึงตัวละครจากภาคเก่าที่ถูกอ้างชื่อ) เพราะในหนังจะเล่าประเด็นความสัมพันธ์ของคนที่อยู่รายรอบตัวฮันต์อยู่มากพอสมควร

สิ่งที่แฟนหนังชุดนี้น่าจะพอจับสังเกตได้ก็คือ ในระหว่างภารกิจการหากุญแจ สิ่งที่คู่ขนานไปกับหนังก็คือ ความพยายามกลับไปสำรวจเรื่องราวในอดีตของตัวฮันต์เอง ในรูปของการย้อนกลับไปยังรากเหง้าของตัวเขาเองใน ‘Mission: Impossible’ (1996) ครับ คือนอกจากความพยายามใช้มุมกล้องแบบเอียง (Dutch Angle) ที่ผู้กำกับ ไบรอัน เดอ พัลมา (Brian De Palma) ใช้จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาคแรก ซึ่งแม้ว่ามันจะดูจงใจดึงเอกลักษณ์จากภาคแรกมาใช้ แต่ที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ การพยายามวางคาแรกเตอร์ให้แกเบรียล อดีตสมาชิก IMF ที่เปรียบเหมือนผีที่ตามมาหลอกหลอนฮันต์อีกครั้ง

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

หรือแม้แต่การดึงเอา ยูจีน คิตทริดจ์ อดีตหัวหน้า IMF จากภาคแรกกลับมาในภาคนี้ด้วย การมาของคิตทริดจ์ ในฐานะผู้อำนวยการของ CIA ในภาคนี้ ไม่ได้มาเพื่อแค่ต้องการระลึกวันวานเฉย ๆ นะครับ แต่เป็นการนำกลับมาเพื่อเป็นเหมือนกับชนวนระเบิดอดีตของฮันต์ออกมา ในภาคแรก คิตทริดจ์คือคนของรัฐบาลที่เคยกล่าวหาว่า อีธาน ฮันต์ ว่าเป็นคนทรยศ ส่วนในภาคนี้ คิตทริดจ์กลับมาขัดขาฮันต์ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลที่ยึดเอาประเทศชาติเป็นสำคัญ และคอยบีบบังคับดักคอให้ฮันต์ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง ระหว่างประเทศชาติ (ยังไงก็เกิดสงครามแน่ ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ประเทศชาติ คนในชาติรอด) กับมนุษยชาติ (คนทั้งโลกรอด แต่ไม่มีใครเป็นมหาอำนาจ) ซึ่งจะว่าไปมันก็แอบชวนให้นึกถึงทางเลือกในแบบเดียวกับภาค ‘Fallout’ เหมือนกัน คาดว่าภาคหน้าคงลงลึกประเด็นนี้มากกว่านี้ หวังว่านะครับ

อีกความเจ๋งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาของหนังนิด ๆ เหมือนกัน นั่นก็คือความซับซ้อนมากสิ่งของหนังครับ ถ้าหั่นครึ่งหนังแบบง่าย ๆ ก็จะเห็นชัดเจนว่า ครึ่งแรกของหนังคือการเล่าอธิบายเชิงโครงสร้างทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นใน ‘Dead Reckoning’ ทั้งสองภาค ทั้งการอธิบายเอนทิตี ในฐานะวายร้ายรูปแบบใหม่ที่มีความน่ากลัวก็คือ สามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบดิจิทัล เข้าถึงฐานข้อมูลได้ทุกอย่างในโลก สร้าง Fake News เพื่อล้างสมองผู้คน สามารถปลอมแปลงอัตลักษณ์ตัวตน เรียนรู้และวิวัฒน์ตัวเองได้แบบไม่รู้จบ ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นคู่ปรับที่ตรงกันข้ามกับฮันต์อย่างชัดเจนมาก

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

เพราะในขณะที่ฮันต์เองแม้ว่าจะทันสมัยแค่ไหน แต่ตัวเขาเองก็ยังมีสถานะเป็นคนจากโลกเก่าอยู่ดี เพราะในขณะที่ฮันต์ก็ยังคงรับข้อมูลผ่านแฟ้ม ภาพถ่ายอัดใส่กระดาษ และเทปบันทึกเสียงแอนะล็อกที่ทำลายตัวเองได้ เอนทิตีกลับสามารถจัดการฐานข้อมูลและทำลายตัวเอง ลบร่องรอยได้ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องให้ใครมาส่งพัสดุ ในขณะที่ฮันต์ยังต้องสร้างหน้ากากยางในการปลอมแปลงตัวเอง เอนทิตีกลับสามารถปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แฮกเพื่อสร้างข้อมูลเท็จ เปลี่ยนแปลง ปกปิด ทำลายข้อมูลอัตลักษณ์ตัวตนได้เลยภายในเสี้ยววินาที คือแทบจะเป็นวายร้ายระดับพระเจ้าที่สามารถ Disrupt โลกเก่าอย่างฮันต์ และส่งผลต่อโลกดิจิทัล และโลกจริงได้แบบที่แทบจะไม่มีพรมแดนระหว่างกันอีกต่อไป

ถ้าใครเข้าใจคอนเซ็ปต์ของ AI และ Machine Learning รวมทั้งตัวตนบนโลกออนไลน์มาแล้วพอสมควร ก็จะรู้สึกว่า นอกจากเอนทิตีจะเป็นวายร้ายที่มีทั้งความไซไฟ ลึกลับ และแปลกใหม่จากวายร้ายอยากยึดครองโลกแบบดาด ๆ ในหนังแนว ๆ เดียวกันแล้ว ตัวมันเองก็ดูน่ากลัว ร่วมสมัย และดูใกล้ตัวเรามาก ๆ นะครับ แถมยังเจ๋งตรงที่ใช้เอนทิตีในการวิพากษ์จิกกัดเกี่ยวกับประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ และความต้องการเป็นมหาอำนาจในแบบที่หาไม่ได้จากภาคไหนได้ด้วย ในขณะเดียวกันมันก็ยังย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองด้วยการวิพากษ์ความล้าสมัยของ IMF ได้อีก (ซึ่งมุกช่วงนี้ผู้เขียนชอบมากครับ ดูแล้วถึงกับอุทานว่า เล่นงี้เลยเรอะ…)

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

สิ่งที่ผู้เขียนเกริ่นไว้ว่าเป็นปัญหานิด ๆ ของครึ่งแรกก็คือ การที่หนังต้องค่อย ๆ อธิบายองค์ความรู้ซับซ้อนเนิร์ด ๆ ของตัวเอนทิตีเอง รวมไปถึงยังต้องพยายามปูเรื่องเพื่ออธิบายเกี่ยวกับบรรดาตัวละครต่าง ๆ ทั้งสถานการณ์ปัจจุบันของบรรดาตัวละครเก่า และการแนะนำตัวละครใหม่ รวมทั้งการพยายามวิพากษ์วิจารณ์การเมืองระหว่างประเทศ การพยายามอธิบายเรื่องราวความน่ากลัวของเอนทิตีที่มีความน่ากลัว ร่วมสมัย และดูใกล้ตัวเรามาก รวมทั้งเกมช่วงชิงอำนาจระหว่างประเทศ และระหว่างตัวละคร แม้ตัวหนังจะใช้วิธีการแทรกทุกอย่างไว้ในฉากแอ็กชันและบทสนทนาตึง ๆ จิกกัด เชือดเฉือน และยาวเหยียด ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้ Pace หนังในครึ่งแรกมันเนือยมากพอสมควร และเต็มไปด้วยข้อมูลที่ต้องรับ วิเคราะห์ ปะติดปะต่อข้อมูลเยอะ ๆ จนแอบเหนื่อยเหมือนกัน ทั้งที่จริง ๆ คอนเซ็ปต์คร่าว ๆ มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นนะ

แต่พอเข้าฉากแอ็กชันก้อนใหญ่ ๆ 2 ก้อนหลักที่เป็นไฮไลต์ของภาคนี้ ก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นการปลดเปลื้องทุกอย่างแล้วเข้าสู่โหมดบันเทิงแบบเต็มตัวไปเลยครับ เพราะตัวหนังเริ่มเล่าเรื่องการไล่ล่า และพยายามสอดแทรกพล็อตของการใช้เล่ห์เหลี่ยม หักหลัง แผนซ้อนแผนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและยากที่จะไว้ใจใครได้แบบสนิทใจ ยิ่งพอมีประเด็นเกี่ยวกับตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่พอถึงจุดหนึ่ง หลาย ๆ ตัวละครก็จำต้องซ่อนตัวเองอยู่ในโลกแอนะล็อก (แต่ต้องต่อกรกับโลกดิจิทัลซะงั้น) ก็ยิ่งบีบให้คนดูรู้สึกไม้ไว้วางใจหนักเข้าไปอีก

แต่แม้ตัวหนังจะปูเรื่องมาซะซีเรียส แต่ภาคนี้กลับมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับภาคไหนเลยก็คือ การสอดแทรกมุกจังหวะนรกยามคับขัน โดยเฉพาะการแทรกมุกให้ฮันต์มีความกลายเป็นลุงเชย ๆ แม้บางช่วงมุกจะดูเยอะจนทำให้ภาพรวมของหนัง พล็อต และคาแรกเตอร์ อีธาน ฮันต์ ที่วางตัวเป็นสายลับซีเรียสมาตลอด กลายเป็นลุงฮันต์ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ซิตคอมที่ดูทีเล่นทีจริงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับล้นจนไปทำลายพล็อตสุดซีเรียสที่อุตส่าห์ปูไว้ คืออันไหนที่ต้องจริงจัง เช่นเหตุเสี่ยงตาย บทสนทนาตึง ๆ หรือจังหวะดราม่าอึมครึม ก็ไม่มีจังหวะให้ขำ แต่ถ้าอันไหนแทรกได้นิด ๆ ก็ขอหน่อยสักฮา ถ้าใครถือสากับความซีเรียสจากภาคเก่า ๆ ก็อาจจะขัดใจหน่อย แต่ถ้าดูเพื่อหวังความบันเทิงก็เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังครับ

สิ่งที่เป็นจุดเด่นจุดขายของแฟรนไชส์นี้ก็คงหนีไม่พ้นบรรดาฉากแอ็กชันที่ครูซยังคงเล่นเอง เสี่ยงเองในทุก ๆ ภาค เอาจริง ๆ แม้ตัวหนังจะปล่อยฟุตเทจเบื้องหลังออกมาให้ได้ดูทั้งในออนไลน์ และในโรงหนังมานานมากแล้ว แต่พอได้ดูซีนเหล่านั้นแบบเต็ม ๆ ก็ยังรู้สึกว่า ทอม ครูซ วัย 61 ปี นอกจากจะเล่นจริง เสี่ยงจริง เหมือนเช่นทุกภาค รวมทั้งยังนำเสนอฉากแอ็กชันแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ต้องชมว่าช่างหาทำหาเสี่ยงกันเหลือเกิน ในอีกมุมหนึ่งมันก็ยืนยันได้อย่างชัดเจนเลยว่า ป๋าครูซแกยังคงรักษาวินัยด้วยการซ้อมแล้วซ้อมอีกอย่างเข้มข้น ยังคงมีสมรรถนะทางร่างกายที่แน่นปั้กกว่าอายุจริง และใจรักในการเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายได้แบบไร้ขีดจำกัด ชนิดที่ว่าลืมอายุลืมตายได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

ซึ่งในภาคนี้ก็ต้องบอกว่ามีฉากแอ็กชันที่ให้ลุ้นกันแบบจิกเท้าหลายฉากอยู่นะครับ ทั้งฉากขี่มอเตอร์ไซค์ Honda CRF 250 พุ่งทะยานจากหน้าผาหินในนอร์เวย์ ที่ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ดิ่งพสุธาลงสู่หุบเขา ก่อนจะกางร่มชูชีพก่อนถึงพื้นเพียงแค่ 500 ฟุต หรือ 152.4 เมตร ซึ่งพอมาเห็นแบบเต็ม ๆ ก็ยังเล่นเอาเกร็งได้อยู่ รวมทั้งฉากแอ็กชันบนขบวนรถไฟ ที่ชวนให้นึกถึงฉากต่อสู้บนรถไฟจากภาคแรกเหมือนกัน แต่ที่เจ๋งกว่าคือ ความสมจริงด้วยการถ่ายทำบนรถไฟจริง และถ่ายทำบนรางรถไฟจริง ๆ ซึ่งในหนังก็จัดฉากแอ็กชันบนรถไฟให้ดูกันแบบยาวเหยียด และใช้ทุกองค์ประกอบบนรถไฟแบบเกินคุ้ม รวมทั้งฉากซิ่งรถในโรม ที่ลุงฮันต์ต้องขับ Fiat 500 รถ EV สีเหลืองปุ๊กปิ๊ก ที่แม้จะดูคุ้น ๆ กับหนังที่มักจะใช้โลเคชันนี้ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ทั้งลุ้น ได้ทั้งตลกนรกบ้าบอคอแตกดีจริง ๆ

ส่วนในพาร์ตตัวละคร ด้วยความที่ภาคนี้อุดมไปด้วยตัวละครทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ซึ่งบรรดาตัวละครจากภาคก่อน ๆ รวมทั้งครูซ ที่ไม่ต้องพูดถึงแล้วว่านึ่คือ อีธาน ฮันต์ คนเดียวในโลกจริง ๆ ส่วน วิง เรมส์ ในบทลูเธอร์ และเบนจี ที่รับบทโดย ไซมอน เพ็กก์ ก็เป็นตัวสร้างสีสันในภาคนี้ที่เข้าเส้นมาก ๆ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ก็ยังคงแสดงกันได้ดี ผู้เขียนยอมรับว่าแอบเอนเอียงไปชอบ วาเนสซา เคอร์บี ในบทแม่ม่ายขาวครับ คือคุณเค้าพราวเสน่ห์มาตั้งแต่ภาค ‘Fallout’ แล้วล่ะ เพียงแต่ภาคนี้ก็จะได้เห็นฝีมือของเธอที่หลากหลายกว่าเดิมด้วย ส่วน อีไซ โมราเลส ที่รับบทเป็น แกเบรียล วายร้ายประจำภาคนี้ ที่แอบโชว์ของน้อยไปนิด แต่ก็ถือเป็นวายร้ายที่มีมิติน่าสนใจ และน่าจะมีบทบาทมากขึ้นในตอนต่อไป

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

จะมีที่ติดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือคาแรกเตอร์และบทของ 2 ตัวละครหญิงครับ คนแรกคือ ปารีส นักสังหารสุดโหด ที่แสดงโดยนักแสดงสาวหน้าเก๋ ปอม เคลม็องตีแยฟ ที่จริง ๆ ผู้เขียนก็ชอบในความโหดแบบเดือด ๆ ของเธอนะครับ แต่พอตัวละครของเธอต้องเจอกับจุดพลิกล็อก ก็ทำให้แอบรู้สึกว่าหนังน่าจะเติมมิติให้ปารีสได้อีกสักหน่อย

อีกตัวละครก็คือ เกรซ ที่รับบทโดย เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ ครับ คือเธอรับบทเป็นนักล้วงกระเป๋าได้อย่างมีเสน่ห์ เป็นพลังงานบวกของหนังที่เข้าขากับครูซอย่างยอดเยี่ยม จนอยากชงให้เข้าคู่พระ-นางกันไปเลย แต่ปัญหาที่ผู้เขียนรู้สึกก็คือ พอแอตเวลล์รับบท เพ็กกี คาร์เตอร์ และกัปตันคาร์เตอร์กับ Marvel แล้ว รวมทั้งอายุที่ดูโตกว่าจะเล่นบทแนว ๆ นี้ ก็เลยทำให้ผู้เขียนแอบไม่รู้สึกเชื่อ และไม่ซื้อกับเหตุผลและการกระทำบางอย่างของเกรซอยู่บ้างเหมือนกัน แอบเสียดายว่า ถ้าให้เธอมารับบทเป็นสายลับเก่ง ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคู่กับฮันต์ น่าจะดูเหมาะกับเธอมากกว่านี้

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

สุดท้ายแล้ว คงไม่ต้องนั่งสงสัยแล้วล่ะครับว่าทำไม ‘Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One’ ถึงได้คะแนนจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้สูงปรี๊ดขนาดนี้ เพราะถ้าไม่นับความซับซ้อนของภัยร้ายที่ยิ่งใหญ่และเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ การวิเคราะห์บทสนทนาเกมแย่งชิงอำนาจและการเมือง รากเหง้า ปมเก่า ภัยจากโลกยุคแอนะล็อก มิตรภาพ การสูญเสีย ความไว้วางใจที่ไม่น่าไว้วางใจ ปริศนาที่ยังคงไร้ทางแก้ ทั้งหมดนี้ขมวดรวมกลายเป็นภารกิจที่น่าจะเป็นไปไม่ได้มากที่สุดของ อีธาน ฮันต์ ในบรรดาทุกภาคแล้วล่ะ

แต่ในขณะเดียวกัน ตัวหนังก็ยังคงให้ความบันเทิงแบบเกินคุ้ม ทั้งฉากแอ็กชันที่ให้แบบจุก ๆ มุกจังหวะนรกที่ต้องอุทานว่ามันนรกจริง ๆ เป็นหนังที่มีความจบในตัวที่ดูโรงระบบปกติก็ได้ ดูระบบ IMAX ก็ยิ่งดี นับจากนี้ก็นึกไม่ออกเลยว่า ตอนที่ 2 ป๋าครูซแกจะดันเพดานจากภาคนี้ไปได้อีกแค่ไหนนะครับ คงได้แต่อวยพรป๋าที่เพิ่งอายุครบ 61 ว่า ขอให้ยังคงแข็งแรง รักษาสมรรถนะร่างกายให้ฟิตปั๋งแบบนี้ไปอีกยาวนาน เพราะอย่าลืมว่านี่เป็นเพียงแค่ตอนแรกเองนะครับ

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures
Mission Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง Courtesy of Paramount Pictures

Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One | มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง คุณภาพด้านการแสดง 7.6 คุณภาพโปรดักชัน 8.2 คุณภาพของบทภาพยนตร์ 8.6 ความบันเทิง 9 ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม 9.1 จุดเด่น ฉากแอ็กชันของ ทอม ครูซ แม้จะเคยเห็นฟุตเทจเบื้องหลังแล้ว แต่ในหนังมีมากกว่านี้อีกเยอะ ออกแบบวายร้ายให้มีความแปลกใหม่ และน่ากลัว และสามารถจิกกัดความเป็น อีธาน ฮันต์ รวมทั้งการจิกกัดอำนาจระหว่างประเทศได้น่าสนใจ งานโปรดักชัน งานสร้างทำออกมาได้อลังการมาก งานซีจีแอบมีลอยนิด ๆ แต่ถือว่ารับได้ มีการสอดแทรกมุกตลกจังหวะนรก และมุกเฉิ่ม ๆ ได้ฮามาก ถ้าไม่ติดภาพซีเรียสก็บันเทิงดี จุดสังเกต ครึ่งแรกของหนังต้องอธิบายทั้งตัวละคร เอนทิตี และความน่ากลัวในเชิงอำนาจการเมือง เลยทำให้ Pace ครึ่งแรกค่อนข้างเนือยและข้อมูลล้นเยอะมาก แอบเสียดายบทของ ปอม เคลม็องตีแยฟ ที่ให้มิติน้อยไปหน่อย และ เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ ที่ดูโตกว่าบทบาทที่ได้รับ 8.5 Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...