โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ไหวแล้ว (จบแล้ว)

นิยาย Dek-D

อัพเดต 23 ก.ย 2566 เวลา 01.38 น. • เผยแพร่ 23 ก.ย 2566 เวลา 01.38 น. • ออ.เอ๋ย / รพัด
โมวโฉ่วย้อนกลับมาในยุคอดีต เข้าร่างของลู่โมวโฉ่วที่มีชีวิตที่น่าลำเค็ญ แต่จากนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว อะไรที่เป็นตัวสร้างปัญหา ข้าจะตัดให้ขาดกระเด็น ไม่มีอีกแล้วชีวิตที่ถูกรังแกเยี่ยงนั้น

ข้อมูลเบื้องต้น

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ไหวแล้ว
…ท้องฟ้ามีนกสามตัว…

ข้ายิ้มหัวเราะในใจ

เหล่านกบินผ่านไป

ข้ายังยิ้มหัวเราะดังเดิม… : ลู่โมวโฉ่ว

อีบุ๊ก คลิกที่ชื่อเรื่องได้เลยค่า==> ท่านแม่ทัพข้าไม่ไหวแล้ว

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ไหวแล้ว รพัด www.mebmarket.com ลู่โมวโฉ่วย้อนกลับมาในยุคอดีต เข้าร่างลู่โมวโฉ่วที่มีชีวิตที่น่าลำเค็ญแต่จากนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้วอะไรที่เป็นตัวสร้างปัญหา เธอจะตัดให้ขาดกระเ… Get it now
***** ประกาศค่ะ *****
จะเริ่มติดเหรียญนะคะตอนใหม่ จะติด 2 เหรียญก่อนค่ะและหลังจาก 1 วันจะปรับเพิ่มเป็น 4-6 เหรียญนะคะ

อีบุ๊ก ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ไหวแล้ว

อีบุ๊ก ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ไหวแล้วค่า

จิ้มที่ปกได้เลยนะคะ

โมวโฉ่วย้อนกลับมาในยุคอดีต เข้าร่างของลู่โมวโฉ่วที่มีชีวิตที่น่าลำเค็ญ แต่จากนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว อะไรที่เป็นตัวสร้างปัญหา ข้าจะตัดให้ขาดกระเด็น ไม่มีอีกแล้วชีวิตที่ถูกรังแกเยี่ยงนั้น

ลู่โมวโฉ่วย้อนกลับมาในยุคอดีต เข้าร่างลู่โมวโฉ่วที่มีชีวิตที่น่าลำเค็ญ
แต่จากนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว
อะไรที่เป็นตัวสร้างปัญหา เธอจะตัดให้ขาดกระเด็น
ไม่มีอีกแล้วชีวิตที่ถูกรังแกเยี่ยงนั้น
“ท่านแม่ทัพ ท่านยังไม่นอนหรือ”
“ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่า คืนนี้ดวงดาวสวยหรือไม่”
“ท่านแม่ทัพ เกรงว่าคืนนี้จะไม่มีดวงดาว”
“มี ดวงตาของเจ้าคือดวงดาวของข้า”

บทนำ

บทนำ

‘ท้องฟ้ามีนกสามตัว

ข้ายิ้มหัวเราะในใจ

เหล่านกบินผ่านไป

ข้ายังยิ้มหัวเราะดังเดิม’

ศิลานกบินสามพันปีอันเลื่องชื่อตำนานกาลก่อนเล่าขาน ปราชญ์หญิงแห่งยุคผู้มีความสามารถเป็นเอกทุกทางได้สลักกลอนบทหนึ่งไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา

โมวโฉ่วหญิงสาววัยยี่สิบแปด หัวหน้าหน่วยพญาอินทรียืนพิจารณาศิลาที่สลักข้อความเลื่องชื่อด้วยสายตาเหลือเชื่อ

“ถ้าเดาไม่ผิด ปราชญ์หญิงคนนี้เวลาเขียนต้องอยู่ในอารมณ์อับจนปัญญาแน่นอน”

คนคาดเดาส่ายหัว มองของล้ำค่าที่เพิ่งถูกค้นพบไม่กี่วันก่อนอย่างอึ้งงัน ปราชญ์หญิงผู้นี้ต้องใช้ความกล้ามากเพียงใดหนอ ถึงกล้าสลักข้อความนี้ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ถึงความสามารถที่ดูเหมือนจะแค่พอถูไถเท่านั้น

โมวโฉ่วละสายตาจากศิลานกบินแล้วเดินไปสำรวจรอบๆ ศิลาที่ถูกครอบด้วยกระจกกันกระสุนอย่างระแวดระวัง คืนนี้ศิลาถูกส่งมาที่หน่วยงานของเธอ และจะถูกส่งต่อไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติในวันพรุ่งนี้ โดยเธอและเพื่อนร่วมงานอีกเจ็ดคนได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วยให้มาเฝ้าสมบัติล้ำค่าที่กล่าวกันว่ามีราคาที่สูงลิบ ยิ่งในตลาดมืดที่มีการซื้อขาย มีคนเสนอราคาให้ศิลานี้ถึงสามร้อยล้านดอลลาร์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของอาชีพและเงินเดือนของเธอและพรรคพวก ทุกคนจึงตั้งใจแข็งขันเป็นพิเศษ

ผ่านไปค่อนคืนสถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปอย่างปกติและเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ฝีมือดีที่ผ่านการคัดเลือกว่ามีความสามารถสูงทุกด้านยังคงตรวจตราดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างแข็งขันต่อเนื่อง

หากแต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไปค่อนคืนเพียงใด สรรพสิ่งรอบข้างกลับยิ่งเงียบสงัดราวกับคืนนี้ไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือ จนเพื่อนร่วมงานของโมวโฉ่วถึงกับต้องออกปาก

“หัวหน้าทำไมคืนนี้เงียบนัก”

โมวโฉ่วมองไปโดยรอบ ทำหน้าครุ่นคิด “ใช่ ดูเงียบเกินไป”

“หัวหน้าฝนจะตกหรือเปล่า”

“พยากรณ์อากาศเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ไม่ปรากฏกลุ่มเมฆฝน” โมวโฉ่วตอบ เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนด้วยหน้าที่และความเคยชิน เธอตรวจสภาพอากาศเพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมก่อนทำงานแล้ว และทุกอย่างเป็นปกติจนถึงเมื่อครู่ที่บรรยากาศแปลกจนน่าฉงนใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทโมวโฉ่วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสภาพอากาศอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะขมวดคิ้ว และเงยหน้ามองเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาที่คล้ายมีความกังวลใจ

“มีอะไรหรือหัวหน้า”

“มือถือไม่มีสัญญาณ” สีหน้าโมวโฉ่วขรึมลงอย่างนึกไม่ถึงว่าคืนนี้เครือข่ายมือถือจะล่ม

“จริงหรือหัวหน้า ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้ยังไง” อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ้าง และเมื่อเห็นว่าไร้คลื่นสัญญาณเหมือนกันก็ทำหน้าสงสัย

“สัญญาณมือถือของพวกเราเป็นเครือข่ายพิเศษ ในรอบสิบปีสัญญาณไม่เคยล้ม” โมวโฉ่วเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

“ใช่ บรรยากาศก็บอกไม่ถูก ดูอึมครึมแปลกๆ” หนึ่งในลูกน้องของโมวโฉ่วมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยเห็นด้วย

“บอกพวกเราคืนนี้ให้ตื่นตัวตลอดเวลา อย่าประมาท” โมวโฉ่วสั่งการเงียบๆ คืนนี้รู้สึกเหมือนมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ไม่ดีเอาซะเลย

คนรับคำสั่งพยักหน้า จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือให้เพื่อนๆ ที่กระจายกำลังกันคอยตรวจโดยรอบอย่างละเอียดและรอบคอบสูงสุด

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…

“วี้ด! วี้ด! วี้ด!”

จู่ๆ เกิดเสียงวี้ดคล้ายลมพัดดังแรงมาก ทุกคนเงียบกริบ กระชับอาวุธเตรียมพร้อมทันที

“วี้ด!! วี้ด!! วี้ด!!”

เสียงวี้ดคล้ายลมพัดดังขึ้นอีก แต่ระลอกนี้ยิ่งทวีความดังมากขึ้น เสมือนประหนึ่งว่าลมพายุนั้นใกล้เข้ามามากกว่าเดิม

ช่วงจังหวะที่ทุกคนกำลังแปลกใจว่าเสียงวี้ดแปลกๆ ดังมาจากทางไหน จู่ๆ ไฟก็ดับพึ่บ ทั่วทั้งอาคารมืดสนิท ความหนาวเย็นเข้ามาปะทะร่างทุกคนอย่างจัง โดยเฉพาะโมวโฉ่วที่รู้สึกได้ถึงไอเย็นจัดผ่านผิวเนื้อและซึมเข้าสู่หัวใจอย่างเฉียบพลัน ชนิดที่ทำให้เจ้าตัวถึงกับนิ่วหน้า

โมวโฉ่วสูดหายใจลึกหนึ่งครั้งเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกในใจออกไปพร้อมกับสงบสติให้กลับมาเป็นปกติ

จากนั้นจึงมองฝ่าความมืด และผิวปากเบาๆ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจไม่ธรรมดานี้ อาคารหลังนี้มีไฟสำรอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะดับแบบนี้

เมื่อได้รับสัญญาณ กลุ่มลูกน้องของโมวโฉ่วเตรียมตัวพร้อมปะทะกับสถานการณ์ตรงหน้าเต็มที่

เสียงวี้ดยังดังต่อเนื่องไม่หยุด และหนนี้คล้ายอยู่ในระยะใกล้มาก จนทุกคนต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าเสียงนี้เป็นลมหรือเสียงอะไรกันแน่

“วี้ด! วี้ด! วี้ด!” เสียงวี้ดดังรอบห้อง

โมวโฉ่วมองฝ่าความมืดไปยังจุดที่ได้ยินเสียงวี้ด พร้อมบอกลูกน้องด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นิ่งไว้ คอยดูสถานการณ์”

ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นทันที

โมวโฉ่วที่มีสายตาชินกับความมืดมากที่สุดจับทิศทางของเสียงที่ได้ยินแล้วนิ่วหน้า เสียงนั้นเหมือนเสียงลมแต่ไม่ใช่ลม และคล้ายๆ ดังอยู่รอบศิลา

“วี้ว” โมวโฉ่วผิวปากเบาๆ หนึ่งครั้งเหมือนลองหยั่งเสียงวี้ดนั้นว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร

เสียงวี้ดภายในห้องเงียบลงทันที

โมวโฉ่วขมวดคิ้ว ลองผิวปากอีกหน “วี้ว”

“วี้ด!” เสียงวี้ดดังขึ้นถี่ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระตุ้น

โมวโฉ่วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ลูกน้องของโมวโฉ่วเริ่มงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงกับเหตุการณ์แปลกประหลาด เสียงเสียงหนึ่งก็ดังสนั่นหวั่นไหว

“เปรี้ยง!!” สายฟ้าฟาดสีแดงฟาดลงมากลางศิลา สรรพสิ่งรอบข้างเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนภาพตรงหน้าจะทำให้ทุกคนต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อหันไปเห็นเปลวไฟพวยพุ่งจากศิลาที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แถมกระจกที่ครอบกันกระสุนยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไร้สาเหตุ

“ช่วยกันดับไฟ!!” โมวโฉ่วสั่งเสียงดัง แล้วถลันวิ่งไปที่ศิลาเป็นคนแรก เสี้ยววินาทีนั้นยังไม่ทันที่คนอื่นจะขยับตัว เสียงวี้ดลากยาวบาดแก้วหูก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง

“วี้ด!!!…”

ทุกคนชะงักรีบยกมือขึ้นมาปิดหูเพราะทนเสียงแผดร้องวี้ดที่ดังบาดหูไม่ไหว ยกเว้นเพียงโมวโฉ่วคนเดียวเท่านั้นที่วิ่งไปถึงศิลาและดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับเสียงนั้นแม้แต่น้อย

จังหวะเดียวกันนั้นเปลวเพลิงก็ลามไปทั่วห้องอย่างรวดเร็วเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเร่งปฏิกิริยา พระเพลิงโหมลุกจนทั้งห้องเต็มไปด้วยสีแดงอมเลือด รวมทั้งควันที่พวยพุ่งจนเหมือนสกัดกั้นไม่ให้ทุกคนเข้าไปใกล้ศิลา

“วี้ด!!!…” เสียงวี้ดลากยาวดังกระหึ่มบาดแก้วหูอีกครั้ง และครั้งนี้ลูกน้องของโมวโฉ่วถึงกับหน้าตาบิดเบี้ยวคล้ายทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จากนั้นก็ล้มลงพร้อมกันดั่งใบไม้ร่วงทันที

“บ้าเอ๊ย!!” โมวโฉ่วสบถเสียงดังเพราะตัวถูกตรึงไว้จนขยับตัวไม่ได้

“เปรี้ยง!! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!” เสียงคล้ายฟ้าผ่าดังกึกก้องสามครั้งซ้อน ข้อความบนศิลาสาดประกายแสงสีแดงเจิดจ้าก่อนจะแตกกระจายเป็นลูกไฟออกมา

ในจังหวะที่ลูกไฟแตกกระจาย ร่างของโมวโฉ่วที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่หน้าศิลาซีดและจางลงเรื่อยๆ จนเมื่อสิ้นเสียงฟ้าผ่าครั้งที่สาม ร่างทั้งร่างก็หายวับพร้อมกับเปลวไฟที่ดับพึ่บทันที

วินาทีต่อมา ควันที่เคยพวยพุ่งก็ถูกกลืนหายกลับเข้าไปในเศษซากศิลา ห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงอมเลือดกลับคืนมาเป็นปกติ ไม่ถึงนาทีทุกอย่างย้อนกลับมาเหมือนเดิมก่อนหน้า ยกเว้นเพียงศิลาเท่านั้นที่แตกออกเป็นเสี่ยงกับร่างของโมวโฉ่วที่หายไป…

รุ่งเช้าเจ้าหน้าที่หน่วยพญาอินทรีที่นอนหมดสติถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และเมื่อทุกคนฟื้นขึ้นไม่มีใครจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แม้แต่คนเดียว ความทรงจำที่มีทั้งหมดในช่วงหลังเที่ยงคืนจนถึงรุ่งเช้าขาดหายไป

ไม่มีใครบอกว่าเครือข่ายสัญญาณล้มหลังเที่ยงคืน

ไม่มีใครบอกว่าได้ยินเสียงวี้ดแปลกๆ

ไม่มีใครบอกว่าเกิดเพลิงไหม้

ไม่มีใครบอกว่าศิลาแตกได้อย่างไร

ไม่มีใครรู้ว่าโมวโฉ่วหายไปไหน

ไม่มีใครรู้อะไรแม้แต่อย่างเดียว…ทุกอย่างล้วนมีแต่ความว่างเปล่า

เหตุการณ์ที่เกิดในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนคล้ายภาพที่หลุดหายไร้ที่มาที่ไป

แม้แต่เจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานที่เข้าไปเก็บข้อมูล ก็ไม่มีใครสามารถสันนิษฐานได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลักฐานทุกอย่างไม่บ่งชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติใดๆ แม้แต่น้อย

เรื่องราวทุกอย่างคล้ายเป็นหลุมดำที่ไม่มีใครล่วงรู้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโมวโฉ่วจึงเหลือทิ้งไว้แค่เพียงชื่อ ที่ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยพญาอินทรีและได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจเฝ้าศิลานกบินอันล้ำค่า

ห้าปีผ่านไป…ศิลานกบินได้ถูกซ่อมแซมจากผู้เชี่ยวชาญจนเสร็จเรียบร้อย และภายใต้เส้นรอยแตกร้าวที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมได้นั้น

กลับปรากฏข้อความใหม่เกิดขึ้น…ลู่โมวโฉ่ว

บทที่ 1

“โมวโฉ่วเจ้าอย่าฝันเฟื่องไปเลยว่าคุณชายหานจะลดตัวลงมาแต่งงานกับเจ้า เจ้าเองก็ควรจะรู้ตัวดีกว่าผู้ใด” ลู่เยี่ยนฉิงบอกโมวโฉ่วด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

โมวโฉ่วมองเยี่ยนฉิงญาติผู้พี่ที่มีอายุมากกว่านางหนึ่งปีด้วยสีหน้าซีดเผือด เมื่ออีกฝ่ายตอกย้ำถึงความต่ำต้อยไร้ค่าของตน

“โมวโฉ่วเจ้าอย่าดื้อรั้น มอบหยกออกมาจะได้สิ้นเรื่องราว” หลินฟางซึ่งเป็นอาสะใภ้ของโมวโฉ่วเอ่ยเสียงหน่ายใจ เพราะไม่ว่าจะพยายามอย่างไรโมวโฉ่วก็ยังดื้อรั้นเก็บหยกไว้

“ข้า ข้า” โมวโฉ่วส่ายหัว น้ำตากลบเมื่อถูกบีบคั้นอย่างหนัก

“เจ้าจะเก็บไว้ทำไม เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า เจ้าไม่คู่ควรกับคุณชายหานสักนิด เจ้าไม่รู้ตัวหรือว่าคุณชายหานรังเกียจเจ้ามากเพียงใด หึ ตระกูลลู่ต้องมาเสื่อมเสียเพราะเจ้าคนเดียว” เยี่ยนฉิงตอกย้ำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูแคลน

“ข้า ข้า” โมวโฉ่วส่ายหัว

“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าจะไม่มอบหยกออกมา” หลินฟางถามเสียงแข็ง พร้อมยกมือฟาดลงไปที่แขนโมวโฉ่วสองสามทีอย่างโมโห “นังเด็กหัวดื้อ โง่นัก”

โมวโฉ่วน้ำตาไหล ยืนนิ่งให้หลินฟางตี

“ท่านแม่ นังโมวโฉ่วนี่ดื้อด้านที่สุด” เยี่ยนฉิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์

หลินฟางโมโหจึงตีโมวโฉ่วอีกหลายครั้ง โมวโฉ่วยื่นนิ่งให้ตีอย่างไม่หลบหลีกเพราะรู้ว่าถ้าหลบอาจทำให้อาสะใภ้โมโหแล้วน้องชายของนางจะพลอยโดนตีไปด้วย

“ท่านแม่อย่าเพิ่งโมโหเลย” เฟิ่นอิง บุตรสาวคนรองของหลินฟางกลัวมารดาจะโมโหมากไปจึงเอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ ข้าไม่ยอมนะ อย่างไรวันนี้ข้าต้องได้หยกกลับไป คุณชายหานกับข้าเท่านั้นถึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน” เยี่ยนฉิงรีบบอกตามนิสัยที่เอาแต่ใจตนเอง

“ได้ๆ” หลินฟางเอ่ยอย่างตามใจบุตรสาวที่ตนรักประหนึ่งแก้วตาดวงใจ ก่อนจะหันไปคาดคั้นเอากับโมวโฉ่ว “เจ้าไปหยิบหยกออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย”

“ข้าขอโทษ” โมวโฉ่วก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาหวิว

“นังเด็กดื้อ” หลินฟางโมโหจึงตีโมวโฉ่วอีกหลายครั้ง

โมวโฉ่วน้ำตาไหลอาบแก้ม ยืนนิ่งปล่อยให้หลินฟางตีเหมือนเดิม

“นังโมวโฉ่วถ้าวันนี้ไม่เอาหยกออกมา เจ้าอย่าหวังจะมีชีวิตไปชูคอเป็นคู่หมั้นคุณชายหานอีกเลย” เยี่ยนฉิงตวาดใส่โมวโฉ่วที่หัวแข็งซ่อนหยกเอาไว้

โมวโฉ่วมองเยี่ยนฉิง ตั้งแต่บิดากับมารดาของนางเสีย ญาติผู้พี่ที่เคยดีต่อนางก็กดขี่ข่มเหงนางมาตลอด ครอบครัวนี้ทำไมถึงใจร้ายกับนางนัก

“เจ้ากล้ามองหน้าข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้หรือ” พูดจบเยี่ยนฉิงก็ง้างมือขึ้นแล้วตบหน้าโมวโฉ่วอย่างแรง

“เพี้ยะ!” เสียงฝ่ามือกระทบหน้าดังลั่น จากนั้นเยี่ยนฉิงก็ผลักโมวโฉ่วจนกระเด็นล้มลง

“หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าอย่าบังอาจมามองหน้าข้า” เยี่ยนฉิงตวาด โมโหที่โมวโฉ่วไม่ยอมบอกว่าหยกอยู่ไหน และทำท่าจะเข้าไปตบตีซ้ำ แต่หลินฟางเอ่ยขัดขึ้น

“เยี่ยนฉิงพอก่อน” หลินฟางบอกบุตรสาว และพยักหน้าให้ใจเย็นเพราะไม่อยากเสียเรื่อง

เยี่ยนฉิงเข้าใจความนัยที่มารดาส่งสายตามาบอกจึงสะบัดหน้าไม่พอใจ และแสร้งยอมหยุดมืออย่างเชื่อฟังพร้อมพูดทิ้งท้าย “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“ข้าจะกลับก่อน ส่วนเจ้าก็กลับไปคิดให้ดี เก็บหยกไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร” หลินฟางเอ่ย แล้วพาบุตรสาวทั้งสองจากไป

โมวโฉ่วรีบปาดน้ำตาทิ้งเพราะไม่อยากให้น้องชายเห็นและทุกข์ใจ

เมื่อหลินฟางกับบุตรสาวจากไปแล้ว น้องชายของโมวโฉ่วที่แอบอยู่แถวนั้นก็วิ่งมาหาพี่สาว

“พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือไม่” เจียงเฉียงถามพี่สาวอย่างเป็นห่วง

“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร” โมวโฉ่วตอบ มือลูบศีรษะเล็กๆ อย่างรักใคร่

ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะพูดจาอะไรต่อ เสียงคนถีบประตูก็ดังขึ้น จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่สี่คนเข้ามาในบ้าน และตรงเข้ามาหาโมวโฉ่วกับเจียงเฉียงพร้อมกับลงมือทุบตีโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ทั้งสิ้น

โมวโฉ่วเอาตัวบังน้องชายไว้ไม่ให้โดนอีกฝ่ายทุบตี เจียงเฉียงร้องไห้ลั่นอย่างหวาดกลัว ก่อนจะมีเสียงดังโป๊ะขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วร่างของโมวโฉ่วก็ร่วงผล็อยลงไปนอนกองกับพื้นทันที

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” เจียงเฉียงตกใจเรียกโมวโฉ่วเสียงสะอื้น

ชายร่างสูงสองคนลากโมวโฉ่วที่ไม่ได้สติกับเจียงเฉียงไปยังห้องเล็กหลังบ้าน แล้วเอาโซ่มาคล้องกับแม่กุญแจที่ประตูเพื่อไม่ให้ทั้งคู่ออกมา ก่อนที่สองคนที่เหลือจะไปจุดไฟเผาตามที่ต่างๆ และสุดท้ายก็โยนคบไฟไปที่หน้าประตูห้องที่ขังสองพี่น้องไว้

“ข้าทำตามคำสั่ง อย่าโทษข้าเลย” หนึ่งในชายร่างสูงเอ่ยทิ้งท้าย แล้วรีบจากไปทันที

“พี่ใหญ่ท่านรีบตื่นเถอะ พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ตื่นเถอะ” เสียงเล็กๆ ปนสะอื้นดังไม่หยุด

เด็กชายที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาพยายามปลุกพี่สาวที่สลบไม่ได้สติ และใต้ประตูหน้าห้องเริ่มมีควันไฟสีขาวเล็ดลอดเข้ามา

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่”

เด็กชายเขย่าตัวพี่สาว น้ำตาไหลลงเปื้อนแก้มคนที่ยังหลับตานิ่ง ทั้งลมหายใจยังแผ่วเบาเหมือนคนใกล้หมดลม

ช่วงเวลานั้นในห้วงหลุมดำอันไร้ขอบเขตที่มืดมิดมีเปลวอัคคีพวยพุ่งตลอดเวลา ควันดำลอยเต็มพื้นที่จนไม่เห็นทาง โมวโฉ่วมองซ้ายขวาพยายามหาทางออกก่อนที่ตนเองจะสำลักควันไฟจนขาดใจตาย ในเวลาเป็นตายที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ เสียงเรียกและเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โมวโฉ่วตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไป

ยิ่งเดินลึกเข้าไปเสียงเรียกยิ่งดังชัดเจน หากแต่ฉับพลันอากาศก็เริ่มแปรปรวน จากควันไฟลอยฟุ้งเปลี่ยนเป็นสายฝนที่กระหน่ำใส่ แล้วเพียงพริบตามวลน้ำมหาศาลก็ถล่มใส่โมวโฉ่วที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังม้วนร่างโมวโฉ่วลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว

โมวโฉ่วกลั้นหายใจ พยายามตะกายตัวเองสู้กับน้ำวน จนท้ายที่สุดในจังหวะที่กำลังจะขาดอากาศหายใจและหมดแรง ลำแสงสีขาวก็พุ่งเข้าใส่ร่างโมวโฉ่วอย่างจัง ร่างทั้งร่างเหมือนถูกเขย่าและดึงกระชากอย่างรุนแรง

คนที่ร่างแทบแหลกลืมตาพรวดอย่างตกใจ พร้อมๆ กับเสียงเรียกอย่างดีใจ

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว”

โมวโฉ่วที่เหมือนคนกำลังจะขาดใจตายรีบสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดทันที จนเมื่อปรับระดับการหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว ก็กะพริบตาอย่างงุนงงกับสภาพแวดล้อมตรงหน้า จากนั้นจึงเงยหน้ามองเด็กชายตัวผอมเกร็งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างแปลกใจกึ่งสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...