โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

พลิกแค้นสนมคืนบัลลังก์

นิยาย Dek-D

อัพเดต 16 ก.ย 2566 เวลา 12.05 น. • เผยแพร่ 16 ก.ย 2566 เวลา 12.05 น. • Jinovel
ขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่คิดกินลูก ทว่าเจ้าถึงกับฆ่าลูกตัวเองเลยรึ? “ซ่งหลิงซิง”เจ้ายังเป็นคนอยู่รึเปล่า ?

ข้อมูลเบื้องต้น

ขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่คิดกินลูก ทว่าเจ้าถึงกับฆ่าลูกตัวเองเลยรึ? “ซ่งหลิงซิง”เจ้ายังเป็นคนอยู่รึเปล่า ?

ประพันธ์โดย:鸭圣婆 / แปลและเรียบเรียงโดย:ธาราธิคุณเจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ:塔读文学 / ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย:Glory Foreverขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่คิดกินลูก ทว่าเจ้าถึงกับฆ่าลูกตัวเองเลยรึ?

“ซ่งหลิงซิง”เจ้ายังเป็นคนอยู่รึเปล่า ?

ภาพจำสุดท้ายของฮองเฮานักรบอย่าง “กู้ชิง”

ต้องจบด้วยเลือดแห่งความแค้นที่เดือดข้น

เมื่อสามีที่นางอยู่เคียงข้าง กลับฆ่านางและลูกในไส้ของตัวเองได้อย่างเลือดเย็น

ทั้งยังร่วมมือกับ “ซูจิ้งโหยว”หญิงใจอำมหิต ฆ่าคนทั้งตำหนักเพื่อชิงตำแหน่งฮองเฮาจากนางอีก

นางขอสาบานเลยว่า หากชาติหน้ามีจริง นางจะไม่เป็นคนที่ซื่อสัตย์แสนดี นางจะทรยศ

แย่งชิงแผ่นดินของเขา และฆ่าล้างตระกูลคนชั่วให้สิ้น!

แต่เหมือนสวรรค์ประทานโอกาสให้กับนาง เมื่อ “ซูเฟ่ยซื่อ” วิญญาณเด็กสาวที่มีศัตรูร่วมกับนาง

ให้ยืมร่างเพื่อหวนคืนวิญญาณ โอกาสที่นางจะได้แก้แค้นจึงบังเกิด!

-----------------

แนะนำช่องทางการอ่านนิยายแปลจีนสุดคุ้มกับระบบ subscribe จาก Jinovel

https://www.youtube.com/watch?v=1Z70wf-9P8A

----------------------------------

พลาดไม่ได้! อ่าน ‘พลิกแค้นสนมคืนบัลลังก์’

และนิยายจาก Jinovel ทั้งหมด ทุกเรื่อง ทุกตอน ไม่จำกัด

เพียง 99 บาท/ เดือน คลิกเลย > https://bit.ly/3Lggkrl


สำหรับคุณท่านที่ติดตามอ่านฟรี

สามารถติดตามอ่านตอนฟรีได้ที่นี่ทุกวัน _

และขอขอบพระคุณ คุณท่านที่สนับสนุนผลงานนิยาย

เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ นักเขียน นักแปล และสำนักพิมพ์นะคะ <3


ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3

เล่มที่ 1 บทที่ 1 เลือดล้างตำหนักเฟิ่ง

ตำหนักเฟิ่งจิ้นพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

กู้ชิงทรุดนั่งอยู่กับพื้น มือทั้งสองยังคงประคองท้องนูนไว้แน่น

นางเงยหน้ามองซ่งหลิงซิว พลางถามย้ำทีละคำ “ซ่งหลิงซิว ตำหนักเฟิ่งจิ้นของข้าทำผิดอันใด จึงต้องประสบเภทภัยเช่นนี้!?”

นางเป็นถึงฮองเฮา กลับต้องมาเห็นตาคนในวังทุกคนถูกลงทัณฑ์อย่างทารุณ

คนเหล่านั้นมีทั้งที่เคยและไม่เคยปรนนิบัตินางมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่คนเก็บกวาดรดน้ำดอกไม้นอกพระตำหนัก

กระทั่งเซียงเอ๋อร์นางกำนัลรับใช้ข้างกาย ก็ถูกชายฉกรรจ์สิบกว่าคนย่ำยีจนเลือดทะลักเสียชีวิตลงต่อหน้า

ภาพเซียงเอ๋อร์กรีดร้องทั้งดิ้นรนทุรนทุราย ตาเหลือกค้างสิ้นใจด้วยความแค้น ฉากนี้กลายเป็นฝันร้ายฉากหนึ่งที่ฝังอยู่ในจิตใจของนางมิรู้ลืม

แล้วยังขันทีน้อยที่ซื่อสัตย์ภักดี เพื่อปกป้องนาง เขาถูกดาบใหญ่ฟันขาดสะพายแล่ง ตับไตไส้พุงกับเลือดคาวไหลนองเต็มพื้น ยังไม่ทันแม้แต่จะได้ต่อสู้ดิ้นรนเลยด้วยซ้ำ

เสียงกรีดร้องโหยหวนของดังก้องไปทั่วตำหนักใหญ่ กระตุกเส้นประสาทของนางให้ปวดหนึบอยู่รางๆ

“ทำผิดอะไรงั้นหรือ?” ซ่งหลิงซิวแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา เขาก้าวเข้ามาใช้เท้ากระทืบลงไปที่ท้องของนางอย่างไม่ปรานี

ทันใดนั้นกู้ชิงรู้สึกได้ถึงพลังขุมหนึ่งอัดกระแทกที่ช่องท้องอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดรวดร้าวปานฉีกหัวใจกระชากปอดขาดนั้นแทบจะพรากชีวิตนางไป

นางดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากเท้าของซ่งหลิงซิว แต่ที่ข้างหูกลับได้ยินเสียงเย้ายวนเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันขอเตือนว่าพระองค์อย่าทรงขัดขืนจะดีกว่า พระองค์ได้ทำร้ายคนทั้งตำหนักเฟิ่งจิ้นจนตายหมดแล้ว หรือยังจะให้คนทั้งตระกูลกู้ถูกฝังร่วมไปเป็นเพื่อนด้วยหรือเพคะ?”

ตระกูลกู้?!

กู้ชิงสะดุ้งวาบด้วยความตื่นตระหนก นางตะโกนไปทางต้นเสียงอย่างโกรธแค้น “ซูจิ้งโหยว เจ้ากล้าเอาตระกูลกู้มาข่มขู่ข้า? เจ้าฆ่าคนทั้งตำหนักเพื่อชิงตำแหน่งฮองเฮา จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าดินลงทัณฑ์หรือไร!?”

“ความตายมาเยือนถึงศีรษะแล้วยังปากเก่งอีก” แรงกดใต้ฝ่าเท้าของซ่งหลิงซิวเพิ่มขึ้นหลายส่วน กู้ชิงเจ็บปวดปางตายกระทั่งแรงจะพูดก็ไม่มี

ทว่านางยังคงยึดชายเสื้อของซ่งหลิงซิวแน่น ดึงพลังจากทั้งร่างจนในที่สุดจึงเค้นคำพูดออกมาไม่กี่คำ “ละ… ลูก อย่าทำร้ายเขา”

“ลูกเหรอ? ใช่สิ เจ้าหวังมาตลอดให้ลูกคนนี้ได้เกิดมาอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ? งั้นก็ให้ข้าช่วยเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ ซ่งหลิงซิวก็คว้าเมีดสั้นด้ามหนึ่งจากข้างเอวแล้วแทงท้องของกู้ชิง

กู้ชิงถือกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพ นางพลิกตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็วจนหลบพ้นคมมีด

นางเบิกตาคู่โตจ้องซ่งหลิงซิวอย่างเหลือเชื่อ “ขนาดพยักฆ์ร้ายยังไม่กินลูก ทว่าเจ้าถึงกับจะฆ่าลูกตนเองงั้นรึ? ซ่งหลิงซิวเจ้ายังเป็นคนหรือเปล่า?”

“เขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของข้าแต่แรก ตระกูลกู้ผลงานอำนาจล้นฟ้าสูงจนกลบนาย ตอนนั้นข้ายังไม่มีอำนาจ จำต้องยอมให้พวกเขาหนุนเจ้าขึ้นเป็นฮองเฮา แล้วตอนนี้ไม่คาดว่าพวกเจ้ายังคิดใช้ลูกคนนี้ผูกมัดข้าไว้ เพื่อหลอกครอบครองแผ่นดิน พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่นักหรือ?” ซ่งหลิงซิวกล่าวเสียงเยือกเย็น

กู้ชิงได้ยินวาจาก็อดรนทนไม่ไหวหัวเราะลั่น

พูดได้ดี! พูดดีมากจริงๆ

ที่แท้ซ่งหลิงซิวยังจำได้ว่าตอนนั้นปีกเขายังไม่แข็งกล้า เป็นตระกูลกู้ของนางสนับสนุนเขา

ตระกูลกู้ของนางเต็มไปด้วยเลือดแห่งความจงรักภักดี จากรุ่นสู่รุ่นล้วนเป็นแม่ทัพ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลกู้ ซ่งหลิงซิวจะมีบัลลังก์ในวันนี้ได้อย่างไร?

เมื่อนางอายุได้สิบสามปีก็ติดตามซ่งหลิงซิวไปในสนามรบ ร่วมสู้ศึกเป็นตายเพื่อเขา เข่นฆ่าสังหารผู้คนไปมากมาย

ซ่งหลิงซิวต้องการเป็นฮ่องเต้ นางทั้งสู้รบกับเหล่าศัตรูอย่างกล้าหาญเพื่อเขา ทั้งให้ร้ายองค์รัชทายาทก็เพื่อเขา

วันเวลาในวัยดรุณีของนางทั้งหมดทุ่มเทให้เพื่อซ่งหลิงซิวเพียงผู้เดียว

สิบปี! สิบปีเต็มๆ

ฝ่ามือหยาบกร้าน รอยแผลเป็นทั่วร่าง กลับแลกมาซึ่งจุดจบเช่นนี้..

สิบนิ้วของกู้ชิงกำหมัดแน่นจนเล็บจิกกลางฝ่ามือ ความรู้สึกคับแค้นเสียใจทั้งมวลในจิตใจลุกโชนแผ่ซ่านอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับความเจ็บปวดบาดลึกถึงกระดูก

แต่นางกลับร้องไห้แสดงความอ่อนแอไม่ได้ ทั้งสิ่งที่ควรสูญเสียและไม่ควรสูญเสียล้วนดับสูญ สิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้ก็คือปกป้องสิ่งที่ยังไม่สูญเสียเอาไว้

“ซ่งหลิงซิว เจ้าจะฆ่าข้า ยังต้องหาข้ออ้างอันใดอีก ตั้งแต่เด็กจนโต เป็นข้าที่เชื่อฟังเจ้ามาตลอด เจ้าให้ข้าตาย ข้าย่อมฆ่าตัวตายเองก็ได้ แต่ต้องรอให้ข้าคลอดลูกเสียก่อน ยามนี้หากผู้ใดกล้าแตะต้องลูกในครรภ์ ข้าจะทำให้มันต้องลงนรก!” กู้ชิงยันตัวลุกขึ้นยืนโงนเงน

ร่างของนางช่างบอบบาง ทว่าบั้นเอวกลับเหยียดตรงแน่วแน่

ยามนี้นางอยู่ภายในวังหลังเพียงลำพัง ต่างจากครั้งนั้นที่มีทหารนับพันหมื่นคอยพิทักษ์ซ้ายขวา จึงไร้เรี่ยวแรงปกป้องคนในตำหนักนี้ไว้ เป็นเหตุให้พวกเขาต้องมาตายอย่างน่าสังเวช แต่อาศัยกำลังของนาง หากต้องการปกป้องทารกในครรภ์นี้ไว้ นางยังมั่นใจว่าทำได้

ดูเหมือนซูจิ้งโหยวจะคิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้กู้ชิงยังรักษากิริยาไว้ได้แบบนี้ นางสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้

สีหน้าของซ่งหลิงซิบูดบึ้งขึ้งเคียดไม่ต่างกัน หากจะพูดถึงกู้ชิง ไม่มีใครเข้าใจนางดียิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว

ในตอนนั้นที่เขาเลือกกู้ชิง ก็เพราะเห็นแก่วิทยายุทธ์ล้ำเลิศกับนิสัยอดทนเกินคนของนาง คิดไม่ถึงว่าสองจุดนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคของเขาที่จะกำจัดนางในวันนี้

“กู้ชิง นี่เจ้าคิดจะบีบคั้นข้าหรือ?” ซ่งหลิงซิวกัดฟัน

กู้ชิงแสยะยิ้มเย็นยะเยือก “บีบคั้นเจ้า? เจ้าสังหารคนของข้าทั้งตำหนัก ตอนนี้ยังคิดฆ่าข้ากับทารกในท้องข้าอีก หากจะบอกว่าข้าบีบคั้นเจ้า มิสู้บอกว่าเป็นเจ้าบีบคั้นข้า มิดีกว่าหรือ?”

“ดีๆ ๆ” ซ่งหลิงซิวเอ่ยคำว่าดีติดต่อกันสามคำ พลันใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็นเยียบวูบหนึ่ง “ด้วยวิทยายุทธ์ของเจ้า หากคิดจะฝ่าออกจากพระราชวังเรียกได้ว่าง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลกู้ล้วนมีความจงรักภักดี คิดไม่ถึงว่ากลับมีฮองเฮาที่ไร้ซึ่งคุณธรรมแห่งสตรี ในภายภาคหน้าผู้คนใต้หล้าจะมองคนตระกูลกู้ของเจ้าอย่างไร? เกรงว่าประหารทั้งตระกูลก็คงไม่มีค่าพอให้คนสงสารกระมัง?”

ประโยคเดียวจี้ถูกจุดอ่อนของกู้ชิงโดยตรง

ไม่รอให้นางเอ่ยปาก ซ่งหลิงซิวก็โยนมีดสั้นไปหน้าจุดที่นางยืนนิดเดียว “ในเมื่อเจ้าบอกว่าใครกล้าแตะลูกในท้อง เจ้าจะทำให้มันลงนรก ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลงมือเอง เด็กคนนี้หรือคนทั้งตระกูลกู้ ใครสำคัญกว่า เจ้าจงเลือกเอง”

ช่างเป็นชายใจอำมหิต ถึงกับจะให้นางผ่าท้องตนเองเอาลูกออก เขาไม่เพียงคิดฆ่านาง ยังจะให้นางมีชีวิตอยู่มิสู้ตายอีกด้วย!

ลูก… ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือน ลูกที่กำลังจะคลอดออกมา…

คนตระกูลกู้หลายร้อยชีวิต

ใครสำคัญกว่า นางจะไม่รู้ได้อย่างไร?

กู้ชิงคลายริมฝีปากล่างที่กัดจนเลือดออกตั้งนานแล้ว ฉีกเสื้อผ้าออกอย่างแรง ใช้มีดสั้นกรีดผนังท้องทีละนิดๆ

เป็นความเจ็บปวดที่แทงลึกไปถึงจิตวิญญาณ ปวดลึกสุดขั้วหัวใจ ปวดร้าวจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่

ความหวัง เกียรติศักดิ์ศรี หัวใจของนางแตกสลายไปชั่วพริบตา

ลูกเอ๋ย แม่ขอโทษ…

“ซ่งหลิงซิว เจ้าได้ตามต้องการแล้ว โปรดรักษาสัญญาของเจ้าปล่อยคนตระกูลกู้ไปด้วย” กู้ชิงหยิบมีดสั้นขึ้นเตรียมฆ่าตัวตาย

คิดไม่ถึงว่ากลับถูกซ่งหลิงซิวคว้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ลากนางออกจากตำหนักเฟิ่งจิ้นอย่างทารุณ “คิดจะตายงั้นรึ? ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะทำให้ข้าพอใจได้หรือ? ดูนั่นสิว่าเกิดอันใดขึ้น”

กู้ชิงสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ รีบหันมองตามทิศทางที่นิ้วของซ่งหลิงซิวชี้

นั่นเป็นทิศที่ตั้งของบ้านตระกูลกู้ ตอนนี้ลุกไหม้เต็มไปด้วยประกายไฟท่วมท้น

“บิดาข้าได้นำกำลังทหารองครักษ์ไปทำลายตระกูลกู้ตั้งแต่แรกแล้ว คิดว่าตอนนี้สภาพของบ้านตระกูลกู้คงไม่ดีไปกว่าตำหนักเฟิ่งจิ้นสักเท่าไร” ซูจิ้งโหยวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ฮ่าๆ ๆ” ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ซ่งหลิงซิวคิดล้มล้างตระกูลนางตั้งแต่แรก และยังหลอกให้นางเอาลูกออกด้วยมือของตนเอง

“ซ่งหลิงซิว ต่อให้ตระกูลกู้สูญสิ้น เจ้าก็อย่าหวังจะได้นั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคง อย่าลืมว่ายังมีท่านอ๋องเก้าพันปีแห่งตงฉ่างที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าตระกูลกู้อยู่อีกผู้หนึ่ง หากไร้ซึ่งตระกูลกู้แล้ว ข้าจะรอดูว่าเจ้าเอาอะไรไปสู้กับเขา”

สีหน้าของซ่งหลิงซิวบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ชี้หน้ากู้ชิงพลางตะโกนก้อง “เจ้า! นังปีศาจร้าย! ความตายย่างกรายมาถึงศีรษะยังกล้ามาสาปแช่งข้า! ทหาร! ฟาดมันให้ตายด้วยท่อนไม้!”

“ฮ่าๆ ๆ ตีให้ตายงั้นรึ? ไม่ต้องให้เจ้าลงมือหรอก ร่างข้าจะให้เจ้ามาทำแปดเปื้อนได้ยังไงกัน” กล่าวจบ กู้ชิงก็อุ้มลูกกระโดดลงจากตำหนักเฟิ่งจิ้นทันที

สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านข้างหูนาง ดวงตานางมองออกไปราวกับเห็นอดีตในปีนั้น

ซ่งหลิงซิว หากชาติหน้ามีจริง… ข้าจะไม่เป็นขุนนางที่แสนภักดี แต่เป็นขุนนางผู้คิดคดทรยศ! แย่งชิงแผ่นดินเจ้า! ฆ่าล้างตระกูลเจ้า!!!


สำหรับคุณท่านที่ติดตามอ่านฟรี

สามารถติดตามอ่านตอนฟรีได้ที่นี่ทุกวัน _

และขอขอบพระคุณ คุณท่านที่สนับสนุนผลงานนิยาย

เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ นักเขียน นักแปล และสำนักพิมพ์นะคะ <3
.
.

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ _

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

เล่มที่ 1 บทที่ 2 อาจูสาวใช้

กู้ชิงล่องลอยอยู่เหนือตำหนักเฟิ่งจิ้น ได้เห็นกายเนื้อของตนตกจากที่สูงจนแหลกสลาย เลือดสดไหลนองทั่วพื้น อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มขมขื่น

คิดไม่ถึงว่านางซึ่งเป็นบุตรสาวของขุนพลกู้ผู้ยิ่งใหญ่ ฮองเฮาแห่งแคว้นซ่งถึงกับตกต่ำจนมีจุดจบเช่นนี้

ยังมีลูกของนางที่ยังไม่คลอดออกมา นางไม่ยินยอม… มิอาจยินยอมได้!

“ข้าก็ไม่อาจสมัครใจยินยอมเช่นกัน” เสียงที่อ่อนแอเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง

กู้ชิงหันศีรษะไป เพียงเห็นวิญญาณสาวน้อยผอมบางตนหนึ่ง น้ำตาคลอกำลังมองดูนางอย่างโศกาอาดูร “เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าเป็นซูเฟยซื่อ คุณหนูสามของจวนอัครมหาเสนาบดี” วิญญาณสาวกล่าว

จวนอัครมหาเสนาบดีหรือ? ซูเต๋อเหยียนอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน!คือบิดาของซูจิ้งโหยวที่พาคนมาทำลายล้างตระกูลกู้ของนาง ครอบครัวของซูจิ้งโหยว

กู้ชิงพินิจมองวิญญาณสาวตรงหน้านางรอบหนึ่ง ปกติหลังจากผู้คนเสียชีวิตไปแล้ว มักจะสวมเสื้อผ้าก่อนตาย ทว่าเสื้อผ้าบนร่างของหญิงสาวคนนี้กลับขาดวิ่นรุ่งริ่ง อย่าว่าเป็นคุณหนูเลย แม้แต่คนรับใช้ของจวนอัครมหาเสนาบดียังแต่งตัวดีมีสง่าราศีกว่านาง

“เท่าที่ข้ารู้ จวนอัครมหาเสนาบดีมีคุณหนูเพียงสามท่านเท่านั้น ซูจิ้งโหยว ซูจิ้งเซียง และซูจิ้งเถียน” ความหมายในวาจาเป็นที่ชัดเจนมากว่านางไม่ได้เชื่อในสิ่งที่วิญญาณสาวพูด

ดูเหมือนวิญญาณสาวก็รู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ นางยิ้มอย่างปลงสังเวชคราหนึ่ง “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อฐานะข้าหรือไม่ แต่ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอให้ช่วยแก้แค้นแทนข้า”

“แก้แค้นหรือ? ทำไมต้องเป็นข้า? หรือเจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าตายไปแล้วเหมือนเจ้า?” กู้ชิงหัวเราะเยาะกับตนเอง นางเองก็มีความแค้นลึกดุจทะเลโลหิต จะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร

“เพราะเรามีศัตรูร่วมกัน พี่สาวน้องสาวตระกูลซูกลั่นแกล้งทำร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายหญิงใหญ่ซูเป็นฆาตกรที่ฆ่ามารดาของข้า ซูเต๋อเหยียนทราบทุกอย่างแน่ชัด แต่ก็ยังยอมปล่อยปละตามใจ แม้ว่าเป็นญาติสนิท กลับมองดูชีวิตข้าราวกับวัชพืช ข้าไม่ยินยอม แต่ข้าไร้แรงกระทั่งเชือดไก่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นฮองเฮากู้ชิง เมื่อครู่สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักเฟิ่งจิ้น ข้าได้เห็นทั้งหมดแล้ว ขอเพียงยอมช่วยข้าแก้แค้น ข้าก็จะให้เจ้ายืมร่างกายของข้าเพื่อหวนคืนวิญญาณ” วิญญาณสาวกล่าวอย่างโกรธขึ้ง เมื่อพูดถึงตอนท้าย คาดไม่ถึงว่าถึงกับหลั่งน้ำตาโลหิต

แม้เป็นญาติสนิท กลับเห็นชีวิตของข้าเป็นเหมือนวัชพืช

คำพูดนี้ราวกับคมดาบเสียดแทงหัวใจของกู้ชิงโดยตรง ซ่งหลิงซิวก็ได้ทำแบบเดียวกันกับนางและลูกในครรภ์ของนางด้วยมิใช่หรือ?

“ตกลง ข้ารับปากเจ้า ข้ากู้ชิงสาบาน ท้ายสุดจะต้องมีสักวันที่สุนัขที่ทรยศเราทั่วหล้าจะถูกฆ่าให้หมดสิ้น!”

วิญญาณสาวได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ทันใดนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นประกายแสงลำหนึ่งพุ่งเข้าไปในร่างของกู้ชิง กู้ชิงเพียงรู้สึกปวดศีรษะราวกับแตกร้าว ดุจมีไฟแผดเผาร่างแสบร้อนเกินจะทานทน

“อ่า” กู้ชิงลืมตาขึ้นกะทันหัน ตรงหน้ามืดสลัวมัวไปหมดบนศีรษะยังเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว

“เฮ้ พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม? ตระกูลขุนพลกู้ทั้งครอบครัวถูกฮ่องเต้ทำลายล้างบาง ได้ยินว่าเป็นฮองเฮากู้วางแผนทำร้ายคุณหนูใหญ่ตระกูลเรา จุ๊ๆ กู้ชิงนี่ไม่เจียมกำลังตนจริงๆ มีใครไม่รู้หรือว่าตำแหน่งฮองเฮาของนางเป็นเพียงการจัดฉาก คนที่ฮ่องเต้ทรงรักที่สุดเป็นพระชายาโหยวของเราต่างหาก โอ้! คุณหนูสาม ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ?”

ได้ยินเสียงเรียกของกู้ชิง ในที่สุดคนรับใช้ปากมากที่กำลังนินทาอยู่ข้างนอกประตูก็เดินเข้ามา

กู้ชิงยังไม่ตื่นเต็มที่ เพียงเห็นเงาตะคุ่มร่างคนหนึ่งตรงมาหานาง ก็ยื่นมือไปบีบคอหอยของคนนั้ผู้นตามสัญชาตญาณ ข้างหูได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฝ่ายตรงข้ามดังมาโดยพลัน “โอ้ย เป็นบ่าวเอง! อาจูเจ้าค่ะ!”

อาจูเป็นใคร? กู้ชิงใช้แรงกัดปลายลิ้น ความปวดเสียดแทงและคาวเลือดทำให้นางตื่นอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างตรงหน้าพลันกระจ่างชัด

นางกวาดตาไปทั่วสารทิศอย่างรวดเร็ว เป็นห้องที่ถูกทิ้งร้างธรรมดาห้องหนึ่ง ในห้องนอกจากโต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้สองตัว ตู้หนึ่งใบ รวมถึงเตียงที่นางกำลังนอนอยู่ในขณะนี้ ไม่มีเครื่องเรือนชิ้นอื่นอีก

แต่ตรงหน้านาง หญิงสาวที่แสดงความเจ็บปวด สวมเสื้อผ้าสีแดง ในสายตานอกความแปลกใจระคนตกใจยังมีความสะอิดสะเอียนขยะแขยง

ดูไปแล้วอาจูคนนี้คงไม่ได้ชอบนาง

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตระกูลขุนพลกู้ถูกฮ่องเต้ทำลายล้างไปหมดแล้วหรือ?” กู้ชิงรู้สึกเพียงว่าที่หน้าอกปวดร้าวกระตุกเป็นพักๆ มือที่คว้าจับอาจูก็ใช้แรงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

“โอ้ยเจ็บ! บ่าวเจ็บแทบตายแล้ว คุณหนูสาม สมองท่านกระแทกชนจนโง่ทึบไปแล้วหรือเจ้าคะ? ถึงยังไม่รีบปล่อยมืออีก!” อาจูร้องแยกเขี้ยวยิงฟันเจี๊ยกๆ หมายจะยกมือขึ้นตวัดใส่กู้ชิงไปหนึ่งฝ่ามือ

คาดไม่ถึงว่ามือของนางเพิ่งยกขึ้น กลับถูกกู้ชิงคว้าจับไว้อย่างโหดเหี้ยม

แววอำมหิตประกายหนึ่งแวบผ่านสายตากู้ชิงอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูสาม ก็ควรรู้ว่าข้าเป็นเจ้านาย เจ้าเป็นบ่าว คนรับใช้เล็กๆ คนหนึ่งกล้าลงมือจัดการเจ้านาย ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกแล้วหรือ?”

ความทรงจำของซูเฟยซื่อค่อยๆ ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความทรงจำของนาง ใช่แล้ว นางระลึกได้แล้วว่าตอนนี้กำลังยืมร่างเพื่อหวนคืนวิญญาณ อาจูตรงหน้าเป็นคนรับใช้ข้างกายซูเฟยซื่อ แน่นอนกว่าเป็นเพียงสาวใช้หนึ่งเดียวในเรือนหลังนี้

แม่แท้ๆ ของซูเฟยซื่อ เดิมทีเป็นคนรับใช้คนหนึ่งของจวนอัครมหาเสนาบดี ถูกซูเต๋อเหยียนโปรดปรานโดยไม่ตั้งใจ แต่น่าเสียดายที่ชีวิตเปราะบางขณะคลอดนางก็เสียชีวิต ลูกที่ไม่มีมารดาก็เหมือนต้นหญ้า ตั้งแต่นั้นมา ซูเฟยซื่อก็ได้รับชื่อในฐานะคุณหนูสามแห่งจวนอัครมหาเสนาบดี

แต่ในความเป็นจริงกลับใช้ชีวิตที่แม้แต่คนรับใช้ยังไม่เทียมเท่า

กระทั่งคนระดับล่างชั้นสามอย่างอาจูที่มิอาจนับว่าเป็นคนรับใช้ ยังกล้าลงมือต่อนาง ก็รู้ได้เลยว่าตำแหน่งของนางในจวนอัครมหาเสนาบดีต่ำต้อยมากเพียงใด

“นายท่าน? คนรับใช้? คุณหนูสาม ความโง่เง่าของเจ้านี่มากเกินไปแล้วนะ คุณหนูที่ไม่ได้รับความโปรดปรานยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นเจ้านาย หลายปีนี้ถ้าไม่ใช่ข้าดูแลเจ้า เจ้าก็ตายไปนานแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้วด้วยซ้ำ” อาจูชี้จมูกของกู้ชิงด่าพลาง ด่าจบยังไม่สาแก่ใจ “คนอื่นต่างดูแลคุณหนูรองกับคุณหนูสี่ ไม่เพียงได้รับเงินทองรางวัล ยังมีพลังอำนาจมีสิทธิ์มีเสียงในจวน ไหนเลยจะเหมือนข้า ชีวิตทรมาทรกรรมรับใช้ท่าน เจ้านายที่เป็นอมตะจะตายไม่ตายคนนี้ ทุกวันผ่านไปอย่างไร้ค่า เจ้าสารเลวคนนี้ทำไมเจ้าไม่ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!”

กู้ชิงไหนเลยเคยถูกคนรับใช้ด่าว่าแบบนี้มาก่อน เพลิงโกรธพลันจู่โจมหัวใจ ยกมือก็คิดจะฉีกอาจูให้เป็นชิ้นๆ แต่กลับพบว่าเรือนร่างนี้ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ตนคิดไว้ ไม่เพียงแต่ความแข็งแรงอีกทั้งความเร็วล้วนแตกต่างจากร่างของตนเองในอดีตไปไกลโข

ความจริงเรื่องนี้ทำให้นางตระหนักและยอมรับว่าตอนนี้นางไม่ได้เป็นกู้ชิงคนนั้นที่พุ่งทะยานอยู่ในสนามรบแล้ว ขณะนี้นางเป็นซูเฟยซื่อคุณหนูสามของตระกูลซู บุตรสาวของศัตรู

นางต้องอดทน ไม่สามารถยโสอวดดีเหมือนเมื่อก่อนนั้นแล้ว

มิฉะนั้นด้วยสถานะและพลังของนางในปัจจุบัน เพียงกลัวว่านางอาจต้องตายก่อนจะแก้แค้นสำเร็จ

ใช่ นางต้องลืมตัวตนของนาง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีกู้ชิงในโลกนี้อีกต่อไป มีเพียงซูเฟยซื่อเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ ซูเฟยซื่อหลับตาลง ปล่อยให้อาจูด่าว่าตามสบาย ต้องมีสักวันที่นางจะทวงเอาทุกสิ่งคืนมาจนหมด นางจะทำให้จวนอัครมหาเสนาบดีชโลมไปด้วยเลือดดุจแม่น้ำโลหิต

เมื่ออาจูเห็นซูเฟยซื่อเปลี่ยนกลับไปเป็นคุณหนูสามที่อ่อนแอขลาดกลัวไม่กล้าโต้ตอบก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชาในใจ ยิ่งด่าดังขึ้นๆ เสียงด่านี้ดึงดูดบ่าวไพร่มามุงดูคึกคักไม่น้อย

อาจูสั่งสอนซูเฟยซื่อเป็นหนึ่งในละครที่เหล่าบ่าวไพร่ชื่นชอบชมดูมากที่สุด แต่อาจูชอบที่สุดที่จะใช้วิธีนี้เพื่อแสดงอำนาจให้ตนเองมีหน้ามีตาต่อหน้าคนรับใช้อื่นๆ ด้วย

“จุ๊ๆ เมื่อครู่ไม่ใช่ยังพูดเก่งเจื้อยแจ้วไม่ใช่หรือ? เจ้านายอะไร? คนรับใช้อะไร?” เมื่ออาจูเห็นผู้คนชมมามุงดู นางก็ยิ่งอวดดี ใช้มือจิ้มกระแทกหน้าผากของซูเฟยซื่อ “จะป้องกันตนเองได้ก็ยากลำบาก ยังมีหน้ามาถามว่าตระกูลขุนพลกู้ใช่ถูกฮ่องเต้ทำลายล้างบางแล้วใช่หรือไม่? ข้าตอบเจ้าให้ก็ได้ ใช่แล้ว! ไม่เพียงฆ่าล้างบางทั้งตระกูล แต่ทุกคนยังตายอย่างน่าสังเวช ถ้าเจ้าไม่รู้จักกาลเทศะซะบ้าง ข้าก็จะทำให้เจ้าเป็นเหมือนผู้ที่ตายไปแล้วก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรมเช่นตระกูลกู้ ได้ยินชัดหรือไม่?!”


สำหรับคุณท่านที่ติดตามอ่านฟรี

สามารถติดตามอ่านตอนฟรีได้ที่นี่ทุกวัน _

และขอขอบพระคุณ คุณท่านที่สนับสนุนผลงานนิยาย

เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ นักเขียน นักแปล และสำนักพิมพ์นะคะ <3
.
.

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ _

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

เล่มที่ 1 บทที่ 3 ตัดลิ้นประกาศอานุภาพ

ก่อนที่อาจูจะพูดจบ ซูเฟยซื่อก็คว้ามือนางที่จิ้มหน้าผากของตนอย่างอำมหิต ประกายตาคมกร้าวราวกับจะฆ่าคน “เจ้าพูดอะไร? ไหนลองพูดอีกครั้งซิ”

ด่านาง นางสามารถทนได้ แต่ด่าตระกูลกู้ว่าตายไปแล้วก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรม นางไม่อาจทนได้

คนตระกูลกู้ล้วนมีความจงรักภักดี ดาหน้าบุกเข้าไปในสนามรบ โลหิตระอุสาดกระเซ็น ไม่รู้ว่าวีรบุรุษหนุ่มคนดีเสียชีวิตไปแล้วมากน้อยเท่าไร จึงแลกมาซึ่งความสงบสุขของแคว้นซ่งในวันนี้

มาถึงวันนี้ประสบทรราชสังหารล้างตระกูล เป็นความแค้นใหญ่หลวงยามหิมะเหินเดือนหก คนรับใช้เล็กๆ คนหนึ่งถึงกับยังกล้าพูดว่าตายอย่างสาสม จะให้นางทนได้อย่างไร?!

“เจ้า… เจ้าทำอะไร เจ้ายังคิดเป็นกบฏไปด้วยหรือ?” อาจูที่ได้รับความเจ็บปวดจ้องถลึงตาโต แต่ไม่กล้าตะโกน

เพราะบ่าวไพร่ระดับล่างหลายคนที่ยืนอยู่ข้างนอกเรือนดูคึกคัก ถ้านางแสดงความอ่อนแอต่อซูเฟยซื่อในยามนี้ เช่นนั้นในวันข้างหน้านางจะยังยืนหยัดอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีได้อย่างไร

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร ข้าให้โอกาสเจ้าพูดอีกครั้ง” ประกายตาซูเฟยซื่อฉายประกายเย็นชาเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน พูดคำช้าๆ แต่ละคำซึมลึกถึงจิตใจผู้คน

ในยามนี้ บ่าวไพร่ที่กำลังดูความคึกคักนอกเรือนต่างพากันกระซิบนินทา พวกเขาเคยเห็นอาจูรังแกซูเฟยซื่อมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซูเฟยซื่อโต้ตอบ ทำให้ผู้คนต่างประหลาดใจ

แต่อาจูยิ่งพิศวงระคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คุณหนูสามผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?

“ข้าก็ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่คุณหนูสามถูกอาจูรังแกมาโดยตลอดแล้วไม่ตอบโต้ ต้องมีสักวันที่ต้องเอาคืนอยู่แล้ว”

“โอ้โห คนรับใช้ก็เป็นแค่คนรับใช้ ไหนเลยสามารถเทียบเคียงเจ้านายได้”

คำพูดโต้แย้งวิจารณ์ด้านนอกเรือนดังเข้ามาถึงหูของอาจูไม่ตกหล่น นางอับอายจนหน้าแดง อาจูเอื้อมมือออกไปหวังผลักซูเฟยซื่อคราหนึ่ง “ว่าแต่ว่า ข้าคิดว่าเจ้าเองก็เป็นเหมือนตระกูลกู้ที่สาสมแก่ความตาย”

ประกายโหดเหี้ยมในดวงตาซูเฟยซื่อเป็นประกายเจิดจ้า มือที่จับอาจูไว้บิดอย่างแรงทันทีจนอาจูร้องเสียงโหยหวน

มือนี้ถูกดึงหลุดจากข้อต่อทั้งๆ อย่างนั้น

แต่ซูเฟยซื่อยังส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เรือนร่างนี้ขาดสารอาหารระยะยาว ทั้งไม่ได้รับการฝึกปรือฝีมือมาก่อน เมื่อครู่ที่นางออกแรงบิด ข้อมือของอาจูต้องแหลกไปแล้วแน่ๆ

“มีฐานะเป็นคนรับใช้ กลับฝ่าฝืนกฎล่วงเกินเบื้องสูง ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังพูดจาดูถูกเจ้านาย เจ้าว่าควรใช้บทลงโทษอย่างไรดี?” ซูเฟยซื่อหยิบกรรไกรจากกล่องเย็บปักถักร้อย แกว่งไปมาต่อหน้าอาจู กล่าวอย่างเย็นยะเยือก

อาจูตกใจกลัว คิดที่จะถอยร่น แต่ข้อมือที่เคลื่อนหลุดจากข้อต่อยังถูกซูเฟยซื่อจับไว้ ถอยไม่ได้ รุดหน้าไม่ได้ นี่มัน…

นางมองดูซูเฟยซื่อด้วยความหวาดกลัว “เจ้า… เจ้าคิดทำอะไร?”

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” ซูเฟยซื่อลูบคางอาจูอย่างคล่องแคล่ว ใช้แรงบีบขากรรไกรทั้งสองข้างทันที อาจูอ้าปากหวอเหมือนปลาขาดน้ำทำได้เพียงส่งเสียงครางเครือไม่ได้ศัพท์ ไม่รู้ว่ากำลังแช่งด่าหรือร้องขอความเมตตากันแน่

แต่ไม่ว่านางจะแช่งด่าหรือร้องขอความเมตตาก็ล้วนไม่มีประโยชน์ กรรไกรในมือซูเฟยซื่อขยับขึ้นลง ชั่วพริบตาโลหิตสีแดงสดพุ่งทะลักออกจากปากของอาจู เมื่อเหลือบมองในปากของนางอีกครั้ง ลิ้นของอีกฝ่ายได้ถูกตัดออกไปเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ความแค้นใหญ่หลวงของตระกูลกู้นางยังไม่สามารถแก้แค้นได้ แต่คนที่ดูถูกด่าตระกูลกู้อย่างอัปยศเช่นนี้ นางยังจัดการได้

“โอ้ยๆ ๆ …” อาจูเจ็บปวดเกินกว่าจะหุบปากลง เอาแต่ร้องโหยหวนลูกเดียว ปล่อยให้น้ำลายผสมเลือดสดไหลลงมา

ได้เห็นฉากนี้ บ่าวไพร่ที่เดิมยืนอยู่นอกเรือนดูเรื่องสนุกครื้นเครงต่างพากันสูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง โชคดีที่ตนเพียงดูอยู่ที่นี่ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม มิฉะนั้นตอนนี้คงไม่สามารถปกป้องลิ้นไว้ได้

แต่ใครเล่าจะคาดคิด คุณหนูสามที่ปล่อยให้อาจูรังแกมาโดยตลอดจนทำได้เพียงร้องไห้จะกลายเป็นดุร้ายแกร่งกล้าเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการลงมือที่เด็ดเดี่ยวโหดร้ายอำมหิต กระทั่งแววตาที่มองผู้คนนั้นช่างประหัตประหารเฉียบขาด

ไม่ต้องพูดถึงต่อสู้ประจัญบานกับนาง แม้แต่ถูกเหลือบสายตามองเล็กน้อยก็ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ซูเฟยซื่อไม่สนใจสายตาขยาดกลัวของทุกคน นางหยิบลิ้นของอาจูที่ถูกตัดทิ้งโยนให้สุนัขกิน “ผู้ที่เอ่ยวาจาไม่เคารพเจ้านาย สมควรตัดลิ้น ใครอยากคิดจะมาลองดูหรือไม่?”

“ข้า… เราไม่กล้า ไม่กล้า” บ่าวไพร่ที่ดูเรื่องสนุกอยู่นอกเรือนต่างพากันกระจายหนีไป ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของอาจู

แม้จวนอัครมหาเสนาบดีจะเป็นสถานที่ส่วนตัว แต่ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงหลังจากทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องที่ซูเฟยซื่อตัดลิ้นของอาจูให้เป็นอาหารของสุนัขก็ได้ลือกระฉ่อนถึงหูผู้คนอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็ดังมาจากนอกประตู “คุณหนูสาม นายหญิงเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”

แม้ว่าปากจะเอ่ยเชิญ ทว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความดูถูก

นอกจากนี้นางยืนอยู่ที่ประตู ไม่มีเจตนาจะเข้าไปข้างในแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่ากลัวความเก่าแก่ผุพังของเรือนนี้จะทำให้เท้าของนางสกปรก

ประกายตาของซูเฟยซื่อกวาดมองไป อาศัยความทรงจำเดิมของร่างนี้ นางจดจำได้ว่าเป็นหลิวมามา หนึ่งในคนสนิทของนายหญิง

ซูเฟยซื่อเผยรอยยิ้มเย็นชา หลิวมามาผู้นี้อาศัยความเป็นคนสนิทของนายหญิง ก่อนหน้านี้ได้มาก่อกรรมทำชั่วที่เรือนนี้ไม่น้อย นางย่อมไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกับอาจูนั่นแล

“หลิวมามา ข้ารู้สึกไม่สบาย รบกวนท่านช่วยกลับไปเรียนนายหญิง รอข้าสุขภาพดีแล้วค่อยไปคารวะนะ”

นางเพิ่งตัดลิ้นของอาจูมา หลิวมามาก็มาหาทันที ท่าทางแบบนี้ชัดเจนมากเกินไป

นอกจากนี้ร่างของนางตอนนี้ก็ไม่เหมาะจะไปพบนายหญิงจริงๆ อย่าได้ให้นายหญิงหยิบยกเรื่องอาจูมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อจัดการนางเลย

มีคนรับใช้แบบนี้ นายหญิงย่อมไม่ได้ดีกว่าแน่นอน

“ฮ่า” หลิวมามายิ้มอย่างเย็นชาทันที ราวกับได้ยินเรื่องน่าขันที่สุดเช่นนั้น “คุณหนูสามยังพูดจาล้อเล่นได้อีกหรือ? นายหญิงเป็นคนออกปากเชิญ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้คุณหนูสามปฏิเสธได้? นายหญิงกล่าวแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับหน้าตาของจวนอัครมหาเสนาบดี คุณหนูสามต้องไปเจ้าค่ะ”

“ต้องไป? ถ้าข้าปฏิเสธเล่า?” ซูเฟยซื่อรินชาถ้วยหนึ่งให้ตนเองแล้วนั่งลงดื่มช้าๆ

นางรู้ว่าคราวนี้คงไม่อาจหนีพ้น แต่… หลิวมามาคิดเชิญนางไป ยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายเล็กๆ ด้วย

ดูเหมือนคิดไม่ถึงว่าซูเฟยซื่อจะกล้าพูดอย่างนี้ หลิวมามาอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเผยสีหน้าดุดันตามมา “นั่นก็มิอาจแล้วแต่คุณหนูสามได้แล้ว อย่างไรวันนี้ท่านก็ต้องไป ถ้าท่านไม่อยากไปเองดีๆ บ่าวก็จะให้บ่าวไพร่ลากตัวท่านไป”

“งั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนหลิวมามาแล้ว” ซูเฟยซื่ออมยิ้มขณะวางถ้วยชาลง

“ท่าน…! ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน บ่าวไพร่ ลากไป” หลิวมามาโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม

เหล่าบ่าวไพร่ที่ติดตามอยู่ข้างหลังต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บ่าวไพร่จะลากเจ้านาย? ดูเหมือนยากที่จะพูดให้เป็นเรื่องจริงได้

ถึงแม้กล่าวว่าคุณหนูสามเป็นเจ้านาย แต่ในจวนอัครมหาเสนาบดีนางกลับไร้ที่พึ่งพา หลิวมามาเป็นตัวแทนของนายหญิง คิดไปแล้วเช่นนี้ อะไรสำคัญกว่ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว

คิดถึงตรงนี้ บ่าวไพร่หลายคนก็พุ่งเข้าไปยังซูเฟยซื่อทันที

ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาของซูเฟยซื่อวาบผ่านไปโดยพลัน ดีจริงๆ พวกเจ้าที่มองดูแต่อำนาจผลประโยชน์ จะต้องมีวันที่ให้พวกเจ้าได้ชดใช้แน่

นางรีบลุกขึ้นหลบมือของคนรับใช้อย่างรวดเร็ว ทั้งจงใจสะบัดชายเสื้อให้พ้นมือ ไม่ให้พวกเขาจับได้จริงๆ แต่กระนั้นพวกบ่าวไพร่ก็ยังจับรั้งนางได้บางส่วน

การกระชากลากดึงหลายรอบแบบนี้ นอกจากทำให้ผมของซูเฟยซื่อกระเซิงแล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าก็ยุ่งเหยิงไปด้วย ทั่วร่างมีสภาพทุลักทุเลทนจนดูไม่ได้ อย่าว่าเป็นคุณหนูสามของจวนอัครมหาเสนาบดี แม้แต่ขอทานข้างถนนยังดูดีกว่ามากนัก

เกือบใช้ได้แล้ว จู่ๆ มุมปากของซูเฟยซื่อก็หยักรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาโดยไม่ทันได้สังเกต หลบเลี่ยงบ่าวไพร่หลายคนอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังวิ่งออกจากเรือนทันที


สำหรับคุณท่านที่ติดตามอ่านฟรี

สามารถติดตามอ่านตอนฟรีได้ที่นี่ทุกวัน _

และขอขอบพระคุณ คุณท่านที่สนับสนุนผลงานนิยาย

เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ นักเขียน นักแปล และสำนักพิมพ์นะคะ <3
.
.

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ _

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...