กกต.พร้อมรับสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ - แคนดิเดตนายกฯ พรุ่งนี้
วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ที่ห้องประชุม วายุภักษ์ 2–4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการตรวจความพร้อมก่อนเปิดรับสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และการรับแจ้งรายชื่อบุคคลที่แต่ละพรรคมีมติเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยมี นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ประธาน กกต. พร้อมด้วย นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ขั้นตอนเตรียมงานรับสมัคร ซึ่งถูกจัดระบบไว้เป็น 5 จุดชัดเจน ได้แก่
1.ตรวจเอกสาร
2.จับสลากหมายเลขพรรคสำหรับใช้หาเสียง
3.ชำระค่าธรรมเนียมสมัคร
4.ออกใบรับสมัคร
5.ตรวจรับเอกสารนโยบายหาเสียงของพรรค
นายแสวง ระบุว่า ภาพรวมของการเปิดรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขตทั่วประเทศเมื่อวันแรกเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีเหตุผิดปกติ และในวันที่ 28 ธ.ค. ที่จะเปิดรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ซักซ้อมแนวทางไว้แล้ว โดยจะตรวจสอบเอกสารของพรรคที่มาลงทะเบียน ก่อนเวลา 08.30 น. หากเอกสารครบถ้วนสามารถเข้าสู่ขั้นตอนจับสลากหมายเลขได้ทันที คาดว่ากระบวนการช่วงเช้าจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย
เลขาฯ กกต.ยังกล่าวถึงบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่เคยเกิดปัญหาเรื่องการให้หมายเลขผู้สมัครจนทำให้การสมัครล่าช้า ส่งผลต่อการเริ่มหาเสียง ครั้งนี้จึงมีการปรับปรุงระบบ หากผ่านการตรวจเอกสารแล้ว จับได้หมายเลขใดจะใช้หมายเลขนั้นหาเสียงทันที ลดความล่าช้าและเพิ่มความชัดเจน
คุมเข้มโลกออนไลน์ใส่ร้าย–บิดเบือน
นายแสวงย้ำว่า ประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังมีการออกเสียงประชามติควบคู่กัน หากปล่อยข้อมูลใส่ร้ายทางโซเชียลฯ อาจกระทบความเป็นธรรมของการแข่งขันทางการเมือง กกต.จึงตั้ง ศูนย์ตรวจสอบการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อเนื่องทุกวัน
กรณีพบการโจมตี บิดเบือน หรือใส่ร้ายผู้สมัครทางออนไลน์ กกต.มีอำนาจ
1.ลบข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองความเป็นธรรมโดยไม่ต้องรอผู้ร้องเรียน
2.ติดตามหาต้นตอผู้โพสต์ และดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือแพลตฟอร์มหลัก TikTok, Facebook และ LINE เพื่อร่วมกันจัดระบบจัดการข้อมูลผิดกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ
“ขอเตือนประชาชนและผู้สมัคร โพสต์ใส่ร้ายผิดกฎหมาย มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาท” นายแสวงกล่าว พร้อมอ้างอิง มาตรา 73(5) และโทษตาม มาตรา 159 แห่ง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 โทษจำคุก 1–10 ปี, ปรับ 20,000–200,000 บาท, หรือทั้งจำทั้งปรับ และ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสูงสุด 20 ปี
ไม่ไปใช้สิทธิ์ = เสียสิทธิ์ ทั้งเลือกตั้ง–ประชามติ
เมื่อถูกถามถึงกรณีผู้มีสิทธิไม่ไปออกเสียงประชามติ เลขาธิการ กกต.ชี้ว่า กฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายประชามติกำหนดให้ผู้ไม่ไปใช้สิทธิ์ ถือว่าเสียสิทธิ์ทั้งสองกฎหมาย โดย
- เลือกตั้ง ส.ส. แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิ์ได้ ก่อน 7 วัน และหลังเลือกตั้ง 7 วัน
- ประชามติ แจ้งเหตุได้หลังประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และ ภายใน 7 วันหลังวันออกเสียง หากไม่ไปใช้สิทธิ์
กกต.ระบุว่า ทุกขั้นตอนเตรียมพร้อมแล้ว เป้าหมายคือทำให้การเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส และมีความเป็นธรรมสูงสุด