โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เปิดอันดับขุมกำลังมหาอำนาจทางทหารปี 2025 มหาอำนาจเกรด A ในฝั่งอาเซียน

Amarin TV

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ใครคือเบอร์หนึ่งในอาเซียน? เปิดอันดับมหาอำนาจทางทหารปี 2025 จากการประเมินดัชนี PwrIndx ที่วัดจากปัจจัยด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์, ทรัพยากรและภูมิศาสตร์

ใครคือเบอร์หนึ่งในอาเซียน? เปิดอันดับมหาอำนาจทางทหารปี 2025 จากการประเมินดัชนี PwrIndx ที่วัดจากปัจจัยด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์, ทรัพยากรและภูมิศาสตร์

จากรายงานการจัดอันดับมหาอำนาจทางทหารระดับโลกประจำปี 2025 ประเมินโดย Global Firepower (GFP) ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์, งบประมาณ และทรัพยากรธรรมชาติ จาก 145 ประเทศทั่วโลก โดยมี สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน ครองท็อป 3 อันดับโลก

หันมามองที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนของเรากันบ้าง อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่มีการสะสมอาวุธและแข่งขันด้านความมั่นคงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในปี 2025 โดยมี 11 ประเทศอยู่ในภูมิภาคนี้ แต่จากการจัดอันดับของ GFP มีเพียง 9 ประเทศที่ถูกนำมาประเมิน ยกเว้น บรูไน และติมอร์-เลสเต ที่ไม่ได้ติดใน 145 อันดับแรกของโลก เรียงลำดับจากประเทศที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคไปยังอันดับท้าย ดังนี้

1. อินโดนีเซีย

อินโดนีเซียได้รับคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) ที่ 0.2557 เป็น เบอร์ 1 ของอาเซียน ด้วยประชากรกว่า 280 ล้านคน ที่เยอะเป็นอันดับ 4 ของโลก ทำให้อินโดนีเซียมีฐานทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่งมาก มีกำลังพลประจำการประมาณ 400,000 นาย และกำลังพลสำรองอีกกว่า 400,000 นาย เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะ อินโดนีเซียจึงมีกองเรือที่ใหญ่และทรงพลังมาก โดยมีเรือรวมกว่า 333 ลำ มีเรือคอร์เวต (Corvettes) 25 ลำ และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกว่า 200 ลำ ซึ่งติดอันดับต้นๆ ของโลกในด้านการรักษาความมั่นคงทางทะเล

ในปัจจุบันอินโดนีเซียกำลังอยู่ในช่วงการปรับปรุงกองทัพอากาศครั้งใหญ่ โดยมีการสั่งซื้อเครื่องบินรบ Rafale จากฝรั่งเศส และให้ความสนใจเครื่องบิน F-15EX จากสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันน่านฟ้า และยังเป็นมหาอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งจำเป็นต่อการทำสงครามระยะยาว มีงบประมาณกลาโหมในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

2. เวียดนาม

เวียดนามได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 23 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) อยู่ที่ 0.4024 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่โดดเด่นในภูมิภาค โดยเวียดนามยังคงรักษาตำแหน่งเบอร์ 2 ของอาเซียนไว้อย่างเหนียวแน่น มีค่าคะแนนห่างจากอินโดนีเซียเพียง 0.1467 โดยมีจุดแข็งที่สำคัญอย่าง กำลังพลสำรองที่มหาศาล มีกำลังพลประจำการ ประมาณ 600,000 นาย เป็นอันดับ 9 ของโลก

มีกำลังพลสำรอง จำนวนสูงถึง 5,000,000 นาย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลกในการประเมินของ GFP ปี 2025 ทำให้เวียดนามมีความพร้อมสูงมากในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศระยะยาว มีกองทัพบกที่ทรงพลัง ด้วยรถถังจำนวนประมาณ 1,374 คัน และยานเกราะกว่า 11,900 คัน มีระบบปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง (Rocket Projectors) กว่า 474 เครื่อง ซึ่งเน้นการสกัดกั้นการรุกรานทางบกอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกองทัพเรือของเวียดนาม เน้นการป้องกันชายฝั่งและการป้องปรามด้วย เรือดำน้ำชั้น Kilo และเรือฟริเกตชั้น Gepard มีเรือตรวจการณ์ชายฝั่งจำนวนมากเพื่อรักษาผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้

กองทัพเวียดนามขึ้นชื่อเรื่องหลักนิยมการรบ (Combat Doctrine) ที่ผ่านประสบการณ์จริงมาอย่างยาวนาน และเน้นการพึ่งพาตนเองในพื้นที่ ในปี 2025 เวียดนามมีคะแนนนำหน้าไทยอยู่เล็กน้อย ประมาณ 0.05 โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เวียดนามได้เปรียบคือ จำนวนทหารราบและกำลังสำรอง ที่มหาศาลกว่ามาก

3. ไทย

จากการจัดอันดับของ Global Firepower ประจำปี 2025 ประเทศไทยได้รับคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) ที่ 0.4536 อยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน มีเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง และมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ซึ่งช่วยเพิ่มคะแนนในด้านการปฏิบัติการทางทะเล ในกำลังทางบก ไทยมีรถถังประมาณ 635 คัน และยานเกราะกว่า 16,935 คัน ซึ่งถือเป็นกองกำลังที่ทันสมัยและมีปริมาณมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค มีอากาศยานรวมประมาณ 493 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง F-16 และ JAS 39 Gripen รวมถึงฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ที่ครอบคลุมภารกิจหลากหลาย ขณะที่จำนวนกำลังพลประจำการประมาณ 360,850 นาย และกำลังพลสำรองอีกกว่า 200,000 นาย ซึ่งถือเป็นฐานกำลังที่สำคัญในการรักษาความมั่นคง

ในปี 2025 กองทัพไทยยังได้รับการประเมินในระดับ ดีเยี่ยมด้านความพร้อมรบ และบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการฝึกร่วมผสมนานาชาติอย่าง Cobra Gold ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอื่นๆ

4. สิงคโปร์

สิงคโปร์ได้รับการประเมินศักยภาพทางทหารอยู่ใน อันดับที่ 4 ของภูมิภาคอาเซียน ด้วยค่าคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.5271 แม้จะเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในภูมิภาค แต่สิงคโปร์กลับมีความโดดเด่นที่น่าสนใจทางทหารที่เน้นความทันสมัยและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อชดเชยกับข้อจำกัดด้านขนาดและประชากร สิงคโปร์มีกองทัพอากาศที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน โดยมีอากาศยานรวมประมาณ 249 ลำ มีเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง F-15SG และ F-16 รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินยุคที่ 5 อย่าง F-35B ซึ่งจะทำให้สิงคโปร์มีขีดความสามารถเหนือกว่าเพื่อนบ้านในอนาคต

แม้กองทัพเรือจะมีเรือเพียงประมาณ 34 - 40 ลำ แต่ทว่าทุกลำอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะเรือฟริเกตชั้น Formidable ที่มีระบบสเตลธ์ (Stealth) โดยออกแบบตัวเรือให้มีรูปทรงลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ (Radar Cross-Section) ด้วยมุมเอียงและพื้นผิวเรียบ ใช้เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ระดับสูง รวมถึงมีระบบอัตโนมัติที่ลดจำนวนลูกเรือ ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้นมาก เหมาะสำหรับการรบในทุกมิติ ทั้งน้ำ อากาศ ผิวน้ำ และใต้น้ำ โดยพัฒนาต่อยอดจากเรือชั้น La Fayette ของฝรั่งเศส รวมถึงมีเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้าทันสมัยของกองทัพเรือสิงคโปร์ (RSN) อย่างชั้น Archer และ Invincible ซึ่งเน้นความสามารถในการปฏิบัติการในน่านน้ำเขตร้อนและน้ำตื้น ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ ทำให้ดำน้ำได้นานขึ้น และติดตั้งระบบอาวุธ/โซนาร์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการตรวจจับและโจมตีเป้าหมาย เพื่อควบคุมความมั่นคงในช่องแคบสิงคโปร์

รวมถึงสิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่ทุ่มงบประมาณด้านการทหารสูงที่สุดในอาเซียน โดยในปี 2025 มีงบประมาณสูงถึงประมาณ 15,000 - 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าทั้งไทยและอินโดนีเซีย เพื่อใช้ในการจัดหาอาวุธและวิจัยเทคโนโลยี สามารถผลิตและส่งออกอาวุธได้เอง เช่น ยานเกราะตระกูล Terrex และปืนเล็กยาว ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาจากต่างประเทศในยามสงคราม

สิงคโปร์เป็นตัวอย่างชัดเจนของประเทศที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ในขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ได้คะแนนนำหน้าสิงคโปร์เพราะมีจำนวนกำลังพล รถถัง และปืนใหญ่ที่มากกว่ามหาศาล แต่ในแง่ของเทคโนโลยีรายชิ้นสิงคโปร์มักจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชียเสมอ

5. เมียนมา

เมียนมา หรือพม่า ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 5 ของภูมิภาคอาเซียน โดยมีคะแนน PwrIndx อยู่ที่ 0.6735 แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ในเชิงโครงสร้างและยุทโธปกรณ์แบบดั้งเดิม กองทัพพม่า (Tatmadaw) ยังคงมีความแข็งแกร่งในหลายด้านอย่างน่าสนใจ

เมียนมามีจุดแข็งทั้งกำลังทางบกและจรวดหลายลำกล้อง มีจำนวนแท่นยิงจรวดสูงถึง 180 แท่น มาเป็นอันดับ 26 ของโลก ซึ่งถือเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญในการโจมตีระยะไกล มีรถหุ้มเกราะมากกว่า 5 พันคัน และรถถังกว่า 400 คัน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเก่าที่ได้รับการปรับปรุง แต่ก็มีจำนวนมากพอสำหรับการปฏิบัติการในหลายแนวรบ

มีอากาศยานรวมประมาณ 317 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Su-30 และ JF-17 ที่จัดหาจากรัสเซียและจีน รวมถึงฝูงบินเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ใช้ในภารกิจปราบปรามกลุ่มต่อต้าน มีเรือรวมประมาณ 232 ลำ โดยจุดเด่นอยู่ที่เรือฟริเกตและเรือดำน้ำ ซึ่งถือว่ามีขีดความสามารถในการป้องปรามทางทะเลระดับหนึ่งในภูมิภาค

ข้อมูลด้านตัวเลขกำลังพล แม้ตัวเลขทหารประจำการจะมีการประเมินลดลงเหลือประมาณ 150,000 นาย เนื่องจากสถานการณ์ภายใน แต่พม่ายังคงมีโครงสร้างกองกำลังกึ่งทหารอีกประมาณ 55,000 นาย ยังคงรักษาระดับอยู่ใน ท็อป 5 ของอาเซียนได้เหนือกว่าฟิลิปปินส์และมาเลเซียเล็กน้อย ซึ่งจุดอ่อนสำคัญที่ GFP ระบุคือความยั่งยืนด้านโลจิสติกส์และความมั่นคงทางการเงิน ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองและการคว่ำบาตรจากนานาชาติ นั่นเอง

6. ฟิลิปปินส์

ได้รับการประเมินคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.6987 โดยรั้งตำแหน่งมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 6 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 41 ของโลก ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่อันดับ 33

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะที่กำลังเร่งรัดโครงการพัฒนากองทัพ เพื่อรับมือกับความท้าทายในทะเลจีนใต้ โดยมีจุดแข็ง คือ ฟิลิปปินส์มีฐานประชากรขนาดใหญ่กว่า 118 ล้านคน ทำให้มีกำลังพลสำรองมหาศาลถึง 1.2 ล้านนาย และกำลังพลประจำการอีกประมาณ 150,000 นาย

มีความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการฝึกรบและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง มีกองทัพเรือและชายฝั่ง (Naval & Coast Guard) ที่เน้นการป้องกันตนเองด้วยเรือตรวจการณ์ชายฝั่งที่มีจำนวนมากถึง 58 ลำ ปัจจุบันกำลังเร่งเพิ่มเรือฟริเกตอีก2 ลำ และเรือคอร์เวตเพื่อยกระดับจากการป้องกันชายฝั่งไปสู่การปฏิบัติการในทะเลลึก แม้จะไม่มีเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ แต่ฟิลิปปินส์ได้ลงทุนในเครื่องบินโจมตีเบา FA-50PH และเฮลิคอปเตอร์โจมตี T129 รวมถึงการขยายฝูงบินโดรนตรวจการณ์

ข้อจำกัดสำคัญของฟิลิปปินส์คือ ยังขาดแคลนรถถังหลัก , เรือดำน้ำ และเครื่องบินรบยุคที่ 4.5 หรือ 5 ซึ่งทำให้คะแนนภาพรวมยังตามหลังเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์หรือไทย และแม้ว่าคะแนน PwrIndx ของฟิลิปปินส์จะลดลงในเชิงอันดับโลก จาก 33 มาอยู่อันดับที่ 41 แต่ในแง่ของการพัฒนาศักยภาพจริง ฟิลิปปินส์มีการพัฒนาด้านเครือข่ายป้องกันที่ดีขึ้นมากจากการร่วมซ้อมรบระดับนานาชาติ แต่ไม่ได้ถูกนำมาคำนวณเป็นตัวเลขใน GFP โดยตรง

7. มาเลเซีย

ได้รับการประเมินคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.7429 โดยถูกจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 7 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 42 ของโลก จากทั้งหมด 145 ประเทศ

แสนยานุภาพทางทหารของมาเลเซีย ในปี 2025 โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ทางทหารของมาเลเซีย เน้นการป้องกันอธิปไตยทางทะเลเป็นหลัก เนื่องจากภูมิประเทศที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วน นั่นคือมาเลเซียตะวันตกและตะวันออก โดยมีจุดเด่น ที่กำลังทางเรือที่เน้นการลาดตระเวน มีกองเรือรวมประมาณ 71 ลำ มีเรือตรวจการณ์จำนวนมากถึง 45 ลำ และเรือคอร์เวต 6 ลำ รวมถึงเรือดำน้ำ 2 ลำ เพื่อควบคุมความมั่นคงในทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา

มีกำลังทางอากาศที่หลากหลาย อากาศยานรวมประมาณ 135 ลำ หนึ่งในสิ่งน่าสนใจคือ มาเลเซียใช้เครื่องบินขับไล่จากทั้งค่ายตะวันตกและรัสเซีย เช่น Su-30MKM และ F/A-18D Hornet และเพิ่งมีการจัดหาเครื่องบินโจมตีเบา FA-50 จากเกาหลีใต้เพื่อยกระดับฝูงบินรบ ส่วนกำลังทางบกและยานเกราะ แม้จะมีรถถังหลักเพียง 48 คัน แต่มาเลเซียให้ความสำคัญกับยานยนต์หุ้มเกราะ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 13,506 คัน เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนกำลังพล

ขณะที่งบประมาณกลาโหมในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับ 50 ของโลก เน้นไปที่การซ่อมบำรุงและจัดหาอาวุธสมัยใหม่แบบเฉพาะจุด

8. กัมพูชา

ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 8 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 95 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 2.0752 แม้จะอยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายของอาเซียน แต่กัมพูชามีจุดเด่นเฉพาะตัวในด้านยุทโธปกรณ์ทางบกที่น่าจับตามอง เช่น มีแท่นยิงจรวด (Rocket Projectors) สูงถึง 463 แท่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมากเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ มีรถถังประมาณ 644 คัน และยานเกราะกว่า 3,627 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์จากจีนและโซเวียตเดิม

ส่วนกำลังพลประจำการประมาณ 221,000 นาย มากเป็นอันดับ 22 ของโลกในด้านจำนวนทหารประจำการ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่ากัมพูชาไม่มีกำลังพลสำรองที่เป็นระบบชัดเจนเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงยังไม่มีเครื่องบินขับไล่ (Fighters) ประจำการ โดยมีเพียงเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขนส่งขนาดเล็กเท่านั้น เน้นการลาดตระเวนชายฝั่งและพื้นที่ลำน้ำ ไม่มีเรือรบขนาดใหญ่ เช่น เรือฟริเกต เรือคอร์เวต หรือเรือดำน้ำ

ในปี 2025 กัมพูชาถูกมองว่ามีความพยายามในการยกระดับกองทัพผ่านความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการพัฒนา ฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งอาจส่งผลต่อการประเมินศักยภาพทางทะเลในระยะยาว

9. ลาว

ลาว ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 9 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 106 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 2.2663 ศักยภาพทางทหารของลาว ปี 2025 กองทัพประชาชนลาว (LPAF) มีโครงสร้างเน้นการรักษาความมั่นคงภายในและการป้องกันประเทศตามแนวชายแดน โดยมีจุดแข็งทางกำลังทางบกและจรวดหลายลำกล้อง มีอาวุธประเภทนี้ประมาณ 64 แท่น ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพในการป้องปรามทางบกเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ มีรถถังประมาณ 160 คัน รวมถึงรุ่นใหม่อย่าง T-72B1 MS ที่ได้รับจากรัสเซีย และยานยนต์หุ้มเกราะกว่า 4,380 คัน

ลาวมีกำลังพลประจำการประมาณ 100,000 นาย และมีกำลังพลกึ่งทหาร (Paramilitary) อีกกว่า 120,000 นาย ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ไม่มีเครื่องบินขับไล่ โดยเน้นไปที่เครื่องบินฝึกและเฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล กองทัพเรือลาวจึงมีหน้าที่ลาดตระเวนตามลำน้ำแม่น้ำโขง โดยมีเรือตรวจการณ์และเรือเล็กประมาณ 36 ลำเท่านั้น

ลาวมีความสัมพันธ์ทางทหารที่ใกล้ชิดกับ รัสเซีย และ เวียดนาม อย่างมาก ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่จึงมาจากสายรัสเซีย/โซเวียต แม้งบประมาณกลาโหมจะค่อนข้างจำกัด แต่ลาวก็มีการปรับปรุงยุทโธปกรณ์พื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ

โดยในการจัดอันดับปี 2025 ลาวรั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ถูกนำมาประเมิน ยกเว้น บรูไนและติมอร์-เลสเต ที่ไม่ได้ติดใน 145 อันดับแรกของโลก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...