เปิดอันดับขุมกำลังมหาอำนาจทางทหารปี 2025 มหาอำนาจเกรด A ในฝั่งอาเซียน
ใครคือเบอร์หนึ่งในอาเซียน? เปิดอันดับมหาอำนาจทางทหารปี 2025 จากการประเมินดัชนี PwrIndx ที่วัดจากปัจจัยด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์, ทรัพยากรและภูมิศาสตร์
จากรายงานการจัดอันดับมหาอำนาจทางทหารระดับโลกประจำปี 2025 ประเมินโดย Global Firepower (GFP) ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยด้านกำลังพล, ยุทโธปกรณ์, งบประมาณ และทรัพยากรธรรมชาติ จาก 145 ประเทศทั่วโลก โดยมี สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน ครองท็อป 3 อันดับโลก
หันมามองที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนของเรากันบ้าง อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่มีการสะสมอาวุธและแข่งขันด้านความมั่นคงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในปี 2025 โดยมี 11 ประเทศอยู่ในภูมิภาคนี้ แต่จากการจัดอันดับของ GFP มีเพียง 9 ประเทศที่ถูกนำมาประเมิน ยกเว้น บรูไน และติมอร์-เลสเต ที่ไม่ได้ติดใน 145 อันดับแรกของโลก เรียงลำดับจากประเทศที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคไปยังอันดับท้าย ดังนี้
1. อินโดนีเซีย
อินโดนีเซียได้รับคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) ที่ 0.2557 เป็น เบอร์ 1 ของอาเซียน ด้วยประชากรกว่า 280 ล้านคน ที่เยอะเป็นอันดับ 4 ของโลก ทำให้อินโดนีเซียมีฐานทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่งมาก มีกำลังพลประจำการประมาณ 400,000 นาย และกำลังพลสำรองอีกกว่า 400,000 นาย เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะ อินโดนีเซียจึงมีกองเรือที่ใหญ่และทรงพลังมาก โดยมีเรือรวมกว่า 333 ลำ มีเรือคอร์เวต (Corvettes) 25 ลำ และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกว่า 200 ลำ ซึ่งติดอันดับต้นๆ ของโลกในด้านการรักษาความมั่นคงทางทะเล
ในปัจจุบันอินโดนีเซียกำลังอยู่ในช่วงการปรับปรุงกองทัพอากาศครั้งใหญ่ โดยมีการสั่งซื้อเครื่องบินรบ Rafale จากฝรั่งเศส และให้ความสนใจเครื่องบิน F-15EX จากสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันน่านฟ้า และยังเป็นมหาอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งจำเป็นต่อการทำสงครามระยะยาว มีงบประมาณกลาโหมในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. เวียดนาม
เวียดนามได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 23 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) อยู่ที่ 0.4024 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่โดดเด่นในภูมิภาค โดยเวียดนามยังคงรักษาตำแหน่งเบอร์ 2 ของอาเซียนไว้อย่างเหนียวแน่น มีค่าคะแนนห่างจากอินโดนีเซียเพียง 0.1467 โดยมีจุดแข็งที่สำคัญอย่าง กำลังพลสำรองที่มหาศาล มีกำลังพลประจำการ ประมาณ 600,000 นาย เป็นอันดับ 9 ของโลก
มีกำลังพลสำรอง จำนวนสูงถึง 5,000,000 นาย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลกในการประเมินของ GFP ปี 2025 ทำให้เวียดนามมีความพร้อมสูงมากในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศระยะยาว มีกองทัพบกที่ทรงพลัง ด้วยรถถังจำนวนประมาณ 1,374 คัน และยานเกราะกว่า 11,900 คัน มีระบบปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง (Rocket Projectors) กว่า 474 เครื่อง ซึ่งเน้นการสกัดกั้นการรุกรานทางบกอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกองทัพเรือของเวียดนาม เน้นการป้องกันชายฝั่งและการป้องปรามด้วย เรือดำน้ำชั้น Kilo และเรือฟริเกตชั้น Gepard มีเรือตรวจการณ์ชายฝั่งจำนวนมากเพื่อรักษาผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้
กองทัพเวียดนามขึ้นชื่อเรื่องหลักนิยมการรบ (Combat Doctrine) ที่ผ่านประสบการณ์จริงมาอย่างยาวนาน และเน้นการพึ่งพาตนเองในพื้นที่ ในปี 2025 เวียดนามมีคะแนนนำหน้าไทยอยู่เล็กน้อย ประมาณ 0.05 โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เวียดนามได้เปรียบคือ จำนวนทหารราบและกำลังสำรอง ที่มหาศาลกว่ามาก
3. ไทย
จากการจัดอันดับของ Global Firepower ประจำปี 2025 ประเทศไทยได้รับคะแนนดัชนีพลัง (PwrIndx) ที่ 0.4536 อยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน มีเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง และมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ซึ่งช่วยเพิ่มคะแนนในด้านการปฏิบัติการทางทะเล ในกำลังทางบก ไทยมีรถถังประมาณ 635 คัน และยานเกราะกว่า 16,935 คัน ซึ่งถือเป็นกองกำลังที่ทันสมัยและมีปริมาณมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค มีอากาศยานรวมประมาณ 493 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง F-16 และ JAS 39 Gripen รวมถึงฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ที่ครอบคลุมภารกิจหลากหลาย ขณะที่จำนวนกำลังพลประจำการประมาณ 360,850 นาย และกำลังพลสำรองอีกกว่า 200,000 นาย ซึ่งถือเป็นฐานกำลังที่สำคัญในการรักษาความมั่นคง
ในปี 2025 กองทัพไทยยังได้รับการประเมินในระดับ ดีเยี่ยมด้านความพร้อมรบ และบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการฝึกร่วมผสมนานาชาติอย่าง Cobra Gold ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอื่นๆ
4. สิงคโปร์
สิงคโปร์ได้รับการประเมินศักยภาพทางทหารอยู่ใน อันดับที่ 4 ของภูมิภาคอาเซียน ด้วยค่าคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.5271 แม้จะเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในภูมิภาค แต่สิงคโปร์กลับมีความโดดเด่นที่น่าสนใจทางทหารที่เน้นความทันสมัยและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อชดเชยกับข้อจำกัดด้านขนาดและประชากร สิงคโปร์มีกองทัพอากาศที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน โดยมีอากาศยานรวมประมาณ 249 ลำ มีเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง F-15SG และ F-16 รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินยุคที่ 5 อย่าง F-35B ซึ่งจะทำให้สิงคโปร์มีขีดความสามารถเหนือกว่าเพื่อนบ้านในอนาคต
แม้กองทัพเรือจะมีเรือเพียงประมาณ 34 - 40 ลำ แต่ทว่าทุกลำอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะเรือฟริเกตชั้น Formidable ที่มีระบบสเตลธ์ (Stealth) โดยออกแบบตัวเรือให้มีรูปทรงลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ (Radar Cross-Section) ด้วยมุมเอียงและพื้นผิวเรียบ ใช้เทคโนโลยีลดเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ระดับสูง รวมถึงมีระบบอัตโนมัติที่ลดจำนวนลูกเรือ ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้นมาก เหมาะสำหรับการรบในทุกมิติ ทั้งน้ำ อากาศ ผิวน้ำ และใต้น้ำ โดยพัฒนาต่อยอดจากเรือชั้น La Fayette ของฝรั่งเศส รวมถึงมีเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้าทันสมัยของกองทัพเรือสิงคโปร์ (RSN) อย่างชั้น Archer และ Invincible ซึ่งเน้นความสามารถในการปฏิบัติการในน่านน้ำเขตร้อนและน้ำตื้น ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ ทำให้ดำน้ำได้นานขึ้น และติดตั้งระบบอาวุธ/โซนาร์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการตรวจจับและโจมตีเป้าหมาย เพื่อควบคุมความมั่นคงในช่องแคบสิงคโปร์
รวมถึงสิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่ทุ่มงบประมาณด้านการทหารสูงที่สุดในอาเซียน โดยในปี 2025 มีงบประมาณสูงถึงประมาณ 15,000 - 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าทั้งไทยและอินโดนีเซีย เพื่อใช้ในการจัดหาอาวุธและวิจัยเทคโนโลยี สามารถผลิตและส่งออกอาวุธได้เอง เช่น ยานเกราะตระกูล Terrex และปืนเล็กยาว ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาจากต่างประเทศในยามสงคราม
สิงคโปร์เป็นตัวอย่างชัดเจนของประเทศที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ในขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ได้คะแนนนำหน้าสิงคโปร์เพราะมีจำนวนกำลังพล รถถัง และปืนใหญ่ที่มากกว่ามหาศาล แต่ในแง่ของเทคโนโลยีรายชิ้นสิงคโปร์มักจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชียเสมอ
5. เมียนมา
เมียนมา หรือพม่า ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 5 ของภูมิภาคอาเซียน โดยมีคะแนน PwrIndx อยู่ที่ 0.6735 แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ในเชิงโครงสร้างและยุทโธปกรณ์แบบดั้งเดิม กองทัพพม่า (Tatmadaw) ยังคงมีความแข็งแกร่งในหลายด้านอย่างน่าสนใจ
เมียนมามีจุดแข็งทั้งกำลังทางบกและจรวดหลายลำกล้อง มีจำนวนแท่นยิงจรวดสูงถึง 180 แท่น มาเป็นอันดับ 26 ของโลก ซึ่งถือเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญในการโจมตีระยะไกล มีรถหุ้มเกราะมากกว่า 5 พันคัน และรถถังกว่า 400 คัน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเก่าที่ได้รับการปรับปรุง แต่ก็มีจำนวนมากพอสำหรับการปฏิบัติการในหลายแนวรบ
มีอากาศยานรวมประมาณ 317 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Su-30 และ JF-17 ที่จัดหาจากรัสเซียและจีน รวมถึงฝูงบินเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ใช้ในภารกิจปราบปรามกลุ่มต่อต้าน มีเรือรวมประมาณ 232 ลำ โดยจุดเด่นอยู่ที่เรือฟริเกตและเรือดำน้ำ ซึ่งถือว่ามีขีดความสามารถในการป้องปรามทางทะเลระดับหนึ่งในภูมิภาค
ข้อมูลด้านตัวเลขกำลังพล แม้ตัวเลขทหารประจำการจะมีการประเมินลดลงเหลือประมาณ 150,000 นาย เนื่องจากสถานการณ์ภายใน แต่พม่ายังคงมีโครงสร้างกองกำลังกึ่งทหารอีกประมาณ 55,000 นาย ยังคงรักษาระดับอยู่ใน ท็อป 5 ของอาเซียนได้เหนือกว่าฟิลิปปินส์และมาเลเซียเล็กน้อย ซึ่งจุดอ่อนสำคัญที่ GFP ระบุคือความยั่งยืนด้านโลจิสติกส์และความมั่นคงทางการเงิน ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองและการคว่ำบาตรจากนานาชาติ นั่นเอง
6. ฟิลิปปินส์
ได้รับการประเมินคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.6987 โดยรั้งตำแหน่งมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 6 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 41 ของโลก ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่อันดับ 33
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะที่กำลังเร่งรัดโครงการพัฒนากองทัพ เพื่อรับมือกับความท้าทายในทะเลจีนใต้ โดยมีจุดแข็ง คือ ฟิลิปปินส์มีฐานประชากรขนาดใหญ่กว่า 118 ล้านคน ทำให้มีกำลังพลสำรองมหาศาลถึง 1.2 ล้านนาย และกำลังพลประจำการอีกประมาณ 150,000 นาย
มีความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการฝึกรบและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง มีกองทัพเรือและชายฝั่ง (Naval & Coast Guard) ที่เน้นการป้องกันตนเองด้วยเรือตรวจการณ์ชายฝั่งที่มีจำนวนมากถึง 58 ลำ ปัจจุบันกำลังเร่งเพิ่มเรือฟริเกตอีก2 ลำ และเรือคอร์เวตเพื่อยกระดับจากการป้องกันชายฝั่งไปสู่การปฏิบัติการในทะเลลึก แม้จะไม่มีเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ แต่ฟิลิปปินส์ได้ลงทุนในเครื่องบินโจมตีเบา FA-50PH และเฮลิคอปเตอร์โจมตี T129 รวมถึงการขยายฝูงบินโดรนตรวจการณ์
ข้อจำกัดสำคัญของฟิลิปปินส์คือ ยังขาดแคลนรถถังหลัก , เรือดำน้ำ และเครื่องบินรบยุคที่ 4.5 หรือ 5 ซึ่งทำให้คะแนนภาพรวมยังตามหลังเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์หรือไทย และแม้ว่าคะแนน PwrIndx ของฟิลิปปินส์จะลดลงในเชิงอันดับโลก จาก 33 มาอยู่อันดับที่ 41 แต่ในแง่ของการพัฒนาศักยภาพจริง ฟิลิปปินส์มีการพัฒนาด้านเครือข่ายป้องกันที่ดีขึ้นมากจากการร่วมซ้อมรบระดับนานาชาติ แต่ไม่ได้ถูกนำมาคำนวณเป็นตัวเลขใน GFP โดยตรง
7. มาเลเซีย
ได้รับการประเมินคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 0.7429 โดยถูกจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 7 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 42 ของโลก จากทั้งหมด 145 ประเทศ
แสนยานุภาพทางทหารของมาเลเซีย ในปี 2025 โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ทางทหารของมาเลเซีย เน้นการป้องกันอธิปไตยทางทะเลเป็นหลัก เนื่องจากภูมิประเทศที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วน นั่นคือมาเลเซียตะวันตกและตะวันออก โดยมีจุดเด่น ที่กำลังทางเรือที่เน้นการลาดตระเวน มีกองเรือรวมประมาณ 71 ลำ มีเรือตรวจการณ์จำนวนมากถึง 45 ลำ และเรือคอร์เวต 6 ลำ รวมถึงเรือดำน้ำ 2 ลำ เพื่อควบคุมความมั่นคงในทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา
มีกำลังทางอากาศที่หลากหลาย อากาศยานรวมประมาณ 135 ลำ หนึ่งในสิ่งน่าสนใจคือ มาเลเซียใช้เครื่องบินขับไล่จากทั้งค่ายตะวันตกและรัสเซีย เช่น Su-30MKM และ F/A-18D Hornet และเพิ่งมีการจัดหาเครื่องบินโจมตีเบา FA-50 จากเกาหลีใต้เพื่อยกระดับฝูงบินรบ ส่วนกำลังทางบกและยานเกราะ แม้จะมีรถถังหลักเพียง 48 คัน แต่มาเลเซียให้ความสำคัญกับยานยนต์หุ้มเกราะ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 13,506 คัน เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนกำลังพล
ขณะที่งบประมาณกลาโหมในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับ 50 ของโลก เน้นไปที่การซ่อมบำรุงและจัดหาอาวุธสมัยใหม่แบบเฉพาะจุด
8. กัมพูชา
ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 8 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 95 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 2.0752 แม้จะอยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายของอาเซียน แต่กัมพูชามีจุดเด่นเฉพาะตัวในด้านยุทโธปกรณ์ทางบกที่น่าจับตามอง เช่น มีแท่นยิงจรวด (Rocket Projectors) สูงถึง 463 แท่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมากเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ มีรถถังประมาณ 644 คัน และยานเกราะกว่า 3,627 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์จากจีนและโซเวียตเดิม
ส่วนกำลังพลประจำการประมาณ 221,000 นาย มากเป็นอันดับ 22 ของโลกในด้านจำนวนทหารประจำการ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่ากัมพูชาไม่มีกำลังพลสำรองที่เป็นระบบชัดเจนเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงยังไม่มีเครื่องบินขับไล่ (Fighters) ประจำการ โดยมีเพียงเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขนส่งขนาดเล็กเท่านั้น เน้นการลาดตระเวนชายฝั่งและพื้นที่ลำน้ำ ไม่มีเรือรบขนาดใหญ่ เช่น เรือฟริเกต เรือคอร์เวต หรือเรือดำน้ำ
ในปี 2025 กัมพูชาถูกมองว่ามีความพยายามในการยกระดับกองทัพผ่านความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการพัฒนา ฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งอาจส่งผลต่อการประเมินศักยภาพทางทะเลในระยะยาว
9. ลาว
ลาว ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาอำนาจทางทหาร อันดับที่ 9 ของภูมิภาคอาเซียน และรั้งอันดับที่ 106 ของโลก โดยมีคะแนนดัชนี PwrIndx อยู่ที่ 2.2663 ศักยภาพทางทหารของลาว ปี 2025 กองทัพประชาชนลาว (LPAF) มีโครงสร้างเน้นการรักษาความมั่นคงภายในและการป้องกันประเทศตามแนวชายแดน โดยมีจุดแข็งทางกำลังทางบกและจรวดหลายลำกล้อง มีอาวุธประเภทนี้ประมาณ 64 แท่น ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพในการป้องปรามทางบกเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ มีรถถังประมาณ 160 คัน รวมถึงรุ่นใหม่อย่าง T-72B1 MS ที่ได้รับจากรัสเซีย และยานยนต์หุ้มเกราะกว่า 4,380 คัน
ลาวมีกำลังพลประจำการประมาณ 100,000 นาย และมีกำลังพลกึ่งทหาร (Paramilitary) อีกกว่า 120,000 นาย ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ไม่มีเครื่องบินขับไล่ โดยเน้นไปที่เครื่องบินฝึกและเฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล กองทัพเรือลาวจึงมีหน้าที่ลาดตระเวนตามลำน้ำแม่น้ำโขง โดยมีเรือตรวจการณ์และเรือเล็กประมาณ 36 ลำเท่านั้น
ลาวมีความสัมพันธ์ทางทหารที่ใกล้ชิดกับ รัสเซีย และ เวียดนาม อย่างมาก ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่จึงมาจากสายรัสเซีย/โซเวียต แม้งบประมาณกลาโหมจะค่อนข้างจำกัด แต่ลาวก็มีการปรับปรุงยุทโธปกรณ์พื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ
โดยในการจัดอันดับปี 2025 ลาวรั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ถูกนำมาประเมิน ยกเว้น บรูไนและติมอร์-เลสเต ที่ไม่ได้ติดใน 145 อันดับแรกของโลก