โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘Mind on Film’ ปรากฏการณ์ทุกข์ แห่งยุคสมัย หย่อนเมล็ดพันธุ์ ‘ฮีลใจ’

MATICHON ONLINE

อัพเดต 11 พ.ย. 2567 เวลา 09.28 น. • เผยแพร่ 11 พ.ย. 2567 เวลา 05.33 น.

“พูง่ายๆ ว่าเด็กเปราะบางมากขึ้น

ทุกข์ใจหลายเรื่อง ทั้งการปรับตัวเข้ากับเพื่อน การเรียน แม้กระทั่งเซ็นซิทีฟในประเด็นครอบครัว”

ไศลทิพย์ จารุภูมิ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะนิเทศศาสตร์ จากรั้วจุฬาฯ รีวิวภาพยนตร์สั้นของนิสิต ที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งความรู้สึก

หยิบเสี้ยวส่วนลึกของคนเจนใหม่มาสร้าง ‘สาร’ สื่อให้เห็นมวลอารมณ์ของเยาวชนแทบทั้งโลกในยุคนี้ ที่มี ‘สีเทา’ เพิ่มขึ้นมาอีกเฉด

ในโอกาสครบรอบ 10 ปี โครงการร่วมระหว่าง Chula Student Wellness และคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่นานมานี้ (4 พ.ย.) ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง จัดงาน ‘Mind on Film’ CU Wellness X Nitade Chula เปิดบ้านฉายหนังมู้ดอบอุ่น สุดฮีลใจ พร้อมล้อมวงพูดคุยถึงเบื้องหลัง

8 เรื่องราวไม่ซ้ำ แต่สิ่งที่หนึ่งตอกย้ำ คือเราไม่ได้เจอสิ่งนั้นอยู่ลำพัง

ปรับทุกข์กับผีในห้อง

ระยะห่าง ทางรีเลชั่นชิพ

เริ่มจาก Invisible Things โดย จักรภัทร รุ่งแสง เปิดซีนด้วยภาพหญิงสาวผู้เหนื่อยล้าตื่นจากหลับใหล เสียงเพลง Born to be Blue ดังขึ้นเป็นฉากหลัง โปสเตอร์ ‘ฟอร์เรสท์ กัมพ์’ ฉากออกวิ่งแขวนอยู่บนผนัง ภาพวาดที่ทำค้างไว้วางอยู่บนโต๊ะ

เธอเจอผีที่ฆ่าตัวตายในห้อง ผีสาวเปิดอก ‘คิดถึงข้าวรสมือแม่’ ส่วนหญิงสาวก็ระบายว่า ‘เหนื่อยกับทุกอย่าง แต่ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง’ ทั้งสองโผเข้ากอดกัน ผีแนะนำวิธีปลดปล่อยด้วยการตะโกนและลุกขึ้นเต้น

“นี่คือสิ่งที่เคยรู้สึกในชีวิตช่วงหนึ่ง ตัวละคร 2 ตัวที่มีความทุกข์ ยึดติดกับอะไรบางอย่างในตัวเอง มานั่งคุยกัน มันคือการบำบัดอย่างหนึ่งเหมือนที่คนเจนนี้มีความทุกข์ในใจแต่ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง” ผู้กำกับเผย

ต่อเนื่องกับ WITH/OUT โดย กฤตภาส เลิศวนานนท์ ว่าด้วยระยะห่างทางความสัมพันธ์

แม่กับลูกสาวแยกออกมาอยู่หอ แม่เลิกงานกลับถึงบ้าน นั่งกินข้าวคนเดียวดูละคร-ข่าว อ่านไลน์ จะเข้านอนก็เกิดกังวลใจเพราะลูกไม่รับสาย บอกว่าไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนแถวคณะ แต่ความจริงกินเหล้าอยู่คอนโดเพื่อน

แม่เริ่มคิดฟุ้งในหัว แอบค้นโต๊ะลูกหาความลับ เข้าไปส่อง IG ย้อนดูรูปเก่าตอนเด็ก ส่วนลูกสาวหงุดหงิดที่แม่คอยโทรจี้ เหมือนถูกหายใจรดต้นคอ อยากมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง

ฉีดน้ำหอมกลบกลิ่นเหล้าก่อนเข้าบ้าน แม่ถามไถ่ ลูกบ่ายเบี่ยง เมื่อปิดไฟเข้านอน อยากจะเข้ามาสวมกอดแต่ลูกลุกหนีไปนอนโซฟา ปิดจบด้วยภาพแม่ที่พยายามปลดล็อกมือถือลูก แต่ไม่สำเร็จ

กฤตภาสมองว่า ครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่ที่นิสิตหลายคนเจอ พ่อ-แม่ยังไม่เข้าใจเวอร์ชั่นที่เราเติบโตขึ้นแล้ว

“คอนเซ็ปต์หลักมันคือ ‘การสื่อสารกันไม่ได้’ ไม่ว่าจะด้วยประวัติในครอบครัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง การจะคุยกันตรงๆ มันยากมาก เกิดกำแพงขึ้นมาก่อนแล้ว พยายามให้ทุกตัวละครคุยกันไม่ได้ เพราะยังไม่ได้คุยกับตัวเอง อย่าง ‘แม่’ ก็ยังไม่ได้สำรวจตัวเองว่าแพนิก กดดัน ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ซึ่งเป็นกันทุกตัวละคร เมื่อมาชนกัน กลายเป็นการเอาสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ดี โยนกลับไป-มา

บางทีการอยู่อย่างมีระยะ ก็อาจจะโอเคกับทุกคนมากกว่า”

ส่วนเรื่องA day to Forget โดยปวีณ กิติวรนันท์นกุล เล่ามุมนักศึกษาสาวที่สมัยนี้ใช้ชีวิตคนเดียวสะดวกกว่า ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีเพื่อน-ครอบครัว แต่เมื่อเพื่อนรู้ว่า 20 กว่าปีที่เกิดมายังไม่เคยมีแฟน ก็ถูกมองว่าแปลก เมื่อเริ่มพูดถึงมากๆ เข้า ก็เริ่มเครียดนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาปัด
Tinder (แอพพ์หาคู่)

ใครว่า ‘ไม่เป็นไร’

ไม่เป็นอะไร

อีกเรื่องที่ฉีกมู้ด ดูแล้วขำยกให้ อ๊อด อิส โอเค โดย อธิวัฒน์ สุ่มมาตย์และณัชชา สรรพวิชุ

อ๊อดยืนสั่งหมูปิ้ง 4 ข้าวเหนียว 1 แม่ค้าเสนอขายอย่างอื่น อ๊อดบอก ‘ไม่เป็นไร’ แต่แม่ค้ายื่นหมูเพิ่มอีกไม้ยัดเข้าปาก

ภาพแฟลชแบ๊ก แม่ค้าเห็นอ๊อดมาตลอด เขาทุ่มเทอ่านหนังสือสอบไม่หลับไม่นอน เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ไป

“เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ พักสักหน่อยไม่เสียหาย คนเรามีสองมือจะฝืนทำอะไรมากมายขนาดนั้นไหวได้ไง อะไรที่คุมไม่ได้ก็ปล่อยไปบ้าง อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย ป้าก็ขายอยู่ตรงนี้ มีอะไรมาเล่าให้ฟังได้” แม่ค้าให้กำลังใจ

อธิวัฒน์ หนึ่งในผู้กำกับเล่าว่า ตอนที่ทำเรื่องนี้ค่อนข้างเครียดกับธีสิส เลยอยากให้ดูเบาสมอง ประเด็นที่หยิบยกเหมือนเท็กซ์ที่ขึ้นตอนจบ It’s ok not to be ok คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ เป็นคำพูดติดปากของอ๊อด แต่พอเราปล่อยเบลอ โอเคกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อมันถาโถมเรื่อยๆ ก็สะสมเรื้อรังจนเป็นปัญหาใหญ่ได้

‘ล่องหน’ ไร้ตัวตน ‘ความอบอุ่น’ ที่หยั่งไม่ถึงบางคน

The Curtain โดยเปรม ผลิตผลการพิมพ์ เรื่องราวของครอบครัวที่ดูอบอุ่น นั่งเล่นคลุมผ้าล่องหน แต่เมื่อคลุม ‘แนน’ ปรากฏว่าหายไปไม่มีตัวตน ในขณะที่ทุกคนล้อมวงกินข้าวเย็น นั่งคุยกันเรื่องน้ำหมักป้าเช็ง แนนก็ก้าวขาออกจากบ้านตอน 4 ทุ่ม แต่กลับไม่มีใครสนใจ

แม่มองว่าแนนเป็นวัยรุ่นแปลกๆ ชอบอยู่คนเดียว ปล่อยไปเดี๋ยวก็กลับ “เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปโรงพยาบาล”

กระทั่งตกดึก น้องชายคนเล็กปวดฉี่แต่ไม่กล้าเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงร้องไห้ เดินมาเรียกย่าให้พาไปเพราะกลัวผี ปิดจบด้วยภาพย่า ‘กอด’ บางสิ่งหลังม่านห้องน้ำ

ตัวบทเกิดจากการที่ เปรม เริ่มสังเกตวงคุยของกลุ่มเพื่อน แทบทุกวงจะมีอยู่คนหนึ่งที่เงียบๆ คอยฟังอย่างเดียว และค่อยๆ ปลีกตัว

“คอนเซ็ปต์คือ คนคนหนึ่งที่รู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง (Belong) กับสถานที่นี้ ไม่เข้าพวก ไม่เพอร์เฟ็กต์ พยายามสื่อว่าคนที่มองคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ค่อยมีใครหันมามองเขา เขาจะสามารถได้รับการมองเห็นอย่างไรได้บ้าง”

“มันมีความอบอุ่น เรารู้สึกได้ว่าทุกคนจอย แต่ความอบอุ่นนี้ มันหยั่งไปไม่ถึงใครบางคน”

เซฟโซน และความสิ้นหวัง

อารมณ์ร่วมที่ส่งผ่านหนัง

ส่วนอีก 3 ชิ้น เป็นผลงานของเด็กฟิลม์รุ่นก่อน

24 โดย วีรภัทร สากลวารี เล่าเรื่องชายหนุ่มตื่นขึ้นมาทำกิจวัตร ล้างหน้าแปรงฟัน กินข้าว เปิดคอมพ์ เล่นดนตรี อาบน้ำ สำเร็จความใคร่ นอนไถโซเชียลดูชีวิตคนอื่น แล้วหลับฝันไป เขาฝันว่าตัวเองเป็น ‘นักดนตรี’

Hypnomistic โดยวิชญภาส ธรรมถุติ เรื่องของหนุ่มนักพากย์ ที่อ่านบทความ ‘AI บุกวงการพากย์’ แล้วเริ่มเครียด

รู้สึกว่าตัวเองห่วย อยากอยู่รอดต้องเก่งจริง เขาจึงเตรียมใจเจอเรื่องแย่ๆ ทั้งตกงาน แมวก็ใกล้ตาย แม้แฟนสาวจะให้กำลังใจ คอยบอกให้มองโลกแง่บวก ลองเติมประโยคลงท้าย ‘ถึงจะเหี้ย แต่อย่างน้อยก็…’

ทว่า สุดท้ายแฟนสาวที่คอยบอกให้ลองประคับประคองด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เลือกกระโดดตึก จบชีวิตตัวเอง

“ถ้าฝืนยิ้ม พูดขอบคุณมากกว่าขอโทษ เรื่องมันคงดีกว่านี้ อย่างน้อยตัวเองที่ห่วยแตก คงจะมองหาเรื่องดีๆ เพียงเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” เขาตอกย้ำกับตัวเอง และตั้งใจที่จะมีลมหายใจต่อไป

ส่วน To kill the Lonely Dragon โดย จิตตินนท์ สัจจกุลวนิชย์ เล่าเรื่องราวของ ‘โจ’ นักศึกษาหนุ่ม เก็บตัวในคอนโดเพื่อเขียนบทหนังเขาเขียนเรื่องเจ้าชายผู้ออกตามล่ามังกร เพื่อให้บ้านเมืองกลับมามีชีวิตชีวา หลังเจอลมใต้ปีกที่ทำให้หม่นหมอง เขาได้คำชี้แนะจาก ‘ภูต’ (แม่) ว่า ‘ถึงไม่ฆ่า มังกรก็ตายได้’ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ

โจรู้สึกสิ้นหวัง อะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาหมกอยู่ในเซฟโซน ไม่กลับบ้าน 3 เดือน แต่เมื่อตัดสินใจจะกระโดดตึก ก็มีสายเรียกเข้าจากแม่

“อยู่คนเดียว คือการหนี” กล้าเผชิญหน้า มาเจอแม่ คือการออกจากเซฟโซนที่แท้

“ลูกไม่ต้องการแม่อีกแล้วใช่ไหม?” สิ้นสายสนทนา ความสัมพันธ์เกือบตัดขาด ‘โจ’ แขวนคอแต่รอดมาได้ เมื่อมาย้อนคิดเขาตัดสินใจกลับบ้านไป ‘ขอโทษ’ สุดท้ายมังกรตัวนั้นได้ตายไปแล้ว

ภาพยนตร์บำบัด

ซัพพอร์ตใจนักศึกษา

Mind on Film ได้ทำหน้าที่ภาพยนตร์ ในฐานะศิลปะบำบัด (Art Therapy) แบ่งเบาความหนักอึ้งในใจ

ผศ.ดร.โสภาวรรณ บุญนิมิตร หัวหน้าภาควิชาภาพยนตร์และภาพนิ่ง มองศิลปะแขนงที่ 7 สำหรับใครหลายคน เป็นดั่งที่พึ่ง ที่เยียวยา เป็นอีกเครื่องมือในชีวิต ที่จะได้หยิบยกเรื่องในใจออกมาพูด

“โปรเซสของงานศิลปะ ย่อมต้องมีการสะท้อนตัวเอง ใคร่ครวญคำนึงว่ามีซับเจ็กต์อะไรที่เรารู้จักมันดี มีเรื่องราวอะไรในชีวิตบ้าง ที่จะหยิบยกมาเล่าในแง่มุมที่เรารู้จักมันดีที่สุดได้”

ในมุมคนสอน จากที่คอยเฝ้ามองหนัง ช่วง 5-10 ปีให้หลัง แล้วเริ่มเป็นห่วง เพราะมีลูกศิษย์ไปใช้บริการที่ศูนย์เวลเนสบ่อยขึ้น

“มันมีปัญหาที่คนรุ่นใหม่อยากจะพูด เราได้คุยกันหลายเดือน จนออกมาเป็นโปรเจ็กต์นี้ แต่ละเรื่องหลากหลายมิติ เป็นสิ่งที่เราต้องคอยรีมายด์กันเรื่อยๆ ช่วยกันเยียวยา”

ด้าน ไศลทิพย์ จารุภูมิ ขอบคุณจุฬาฯ ที่เริ่มมองเห็นเทรนด์ทั้งโลกตั้งแต่ 10 ปีก่อน จึงลงทุนตั้ง Chula Student Wellness ขึ้น ให้นิสิตที่รับมือกับภาวะทางอารมณ์ไม่ไหว ได้เข้าไปคุยกับนักจิตวิทยา เคสที่หนัก ก็จะนัดจิตแพทย์ให้

รวมถึงได้มาคุยกับภาควิชา ขอให้เด็กฟิล์มช่วยผลิตหนัง เพื่อสื่อสารประเด็นเซ็นซิทีฟ

“ลึกๆ รู้แหละว่าทุกข์ แต่เชื่อเถอะ เรายกตัวเองขึ้นได้ แต่บางทีเรากดตัวเองไว้มากๆ แล้วไปต่อไม่ไหว ทั้งที่จริงๆ แล้วภาพที่มันจะเกิดขึ้นข้างหน้า ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ในหัวคิด ที่มันทำร้ายพวกเราอยู่ ขอให้ฮึดเข้าไว้” รองคณบดีส่งแรงใจ

‘ทุกข์ของยุคสมัย’ ต้นทุนทางใจ คลายความโดดเดี่ยว

“อย่างเรื่อง The Curtain เรารู้สึกว่าเขาไม่ใช่ ‘ผี’ แต่มันคือความโดดเดี่ยว ในเลเวลที่เราหายไปแต่ไม่มีใครเห็น สิ่งที่พอจะแตะให้เรามีตัวตนได้อยู่บ้าง มันคือสายใยความรัก ที่อาจจะไม่ต้องตัดสินอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ธารีวรรณ เธียมเมฆ หรือปูน ผู้อำนวยการหน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต (Chula Student Wellness) และนักจิตวิทยาการปรึกษา มองว่าทุกอาร์ต ‘Art as a Therapy’

“อาร์ต นอกจากสะท้อนตัวเอง มันยังตั้งใจอยู่ลึกๆ ที่อยากให้มีใครมาเป็นประจักษ์พยาน รับรู้ว่าตอนนี้เรารู้สึกอะไร นอกจากสื่อสาร มันยังช่วยเยียวยา” ธารีวรรณเชื่อว่ามนุษย์มีความอยากเข้าใจตัวเอง เพื่อคลายจากทุกข์ที่เผชิญอยู่

ที่ผ่านมา โจทย์ในการดูแลนิสิตแต่ละรุ่น แต่ละคณะไม่เหมือนกัน แต่มีจุดร่วมคือ ‘ทุกข์ของยุคสมัย’ หลังเปิดศูนย์อย่างเป็นทางการในปี 2558 จึงตั้งใจชวนเด็กมาทำหนังที่สื่อถึงต้นทุนทางจิตใจ

“เรื่องแรกที่ดู ของ ‘กัปตัน’ ทำเรื่อง ‘โรคกาวใจ’ ได้เห็นแง่มุมที่ค่อนข้างคลี่คลายไปมากในตัวเขาเอง พอเขาทำเรื่อง ‘Psychological Capital’ มันเข้าใจรสชาติของการเอาต้นทุนทางจิตใจมาปะติดปะต่อ เพื่อให้เข้าใจว่าความเจ็บปวดเจออยู่ มันคลี่คลายได้นะ เราไม่ได้เปลี่ยวเหงาอยู่คนเดียว มันเจอคนที่เข้าอกเข้าใจ เกิดภาวะคลายความโดดเดี่ยวตั้งแต่เริ่มพูดออกมาแล้ว”

ปรากฏการณ์สุขภาพจิต

หย่อนเมล็ดพันธุ์ ‘ฮีลใจ’

ยุคแรกของ Mind on Film ทำให้เห็นชัดว่าเยาวชนกำลังทุกข์ กดดัน ว่างเปล่า เหงา รู้สึกแปลกแยกท่ามกลางหมู่คน

“มันมากเหลือเกิน และเราคงจะดูแลเขาไม่พอแล้ว จึงทำซีรีส์ชุดที่ 3 เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เราอยากชวนว่า นอกจากเป็นครูแล้ว คุณเซฟทั้งชีวิตและใจเขาได้ไหม หนังชุดนั้นทำออกมาในช่วงที่มีนิสิตฆ่าตัวตายสำเร็จมากเป็นปรากฏการณ์ (น้ำตาไหล) มันก็ยังมีอิมแพ็คมาถึงทุกวันนี้ ขอใช้คำว่า ‘โคตรเทรนด์’ มันยังดูเป็นเรื่องของเราอยู่เสมอ เปลี่ยนแค่คนแสดง”

วันที่ถ่ายทำ คือวันที่มีนิสิตกระโดดลงมาจากอาคารพินิตประชานาถ ในวันที่เขาเซตซีนตรงโรงอาหารเพื่อเป็นฉาก มันเกิดนาทีนั้นเลย ใจมันก็ตกวูบลงไป อุ๋มอิ๋มที่เป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งเขาก็เป็นดีเพรส เรียกทีมของน้องๆ มาบอกว่า ‘เราคงจะไปทำอะไรตรงนั้นไม่ได้ แต่เราจะทำตรงนี้ ถ่ายมันให้เสร็จ (สะอื้น) แล้วก็หวังว่ามันจะเป็นสื่อที่ ‘ช่วย’ แม้เพียงไม่กี่คนที่ได้ดูสื่อนี้ ให้ไม่ต้องเป็นแบบนั้น” ธารีวรรณเล่าทั้งน้ำตา

เพราะเชื่อว่าหนัง คือสื่อที่มีพลังมากกว่านักจิตวิทยาฯ 6 : 42,000 คน ในจุฬาฯ แอบหวังใจว่าเมื่อเรียนจบ ต้นทุน Mental Health Awareness ในตัวน้องๆ จะถูกหยิบไปหย่อนเอาไว้ในงาน

“ถ้ามันมีเจตจำนง มีกระบวนการเล่าเรื่อง เป็นสักเสี้ยวเศษของโปรเซสการดูแลใจ มันมีพลังมากกว่านักจิตวิทยา 1 คนแน่นอน เราเจอปรากฏการณ์สุขภาพจิตมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ในชีวิตการทำงานจุฬาฯมา 11 ปี”

ผู้อำนวยการ Chula Student Wellness ตั้งใจว่าหลังจากนี้ นอกจากปล่อยทางโซเชียล ยังอยากนำไปเปิดทุกโรงอาหาร หรือจุดที่คนนั่งรอเยอะๆ

“มันมีจุดร่วมทั้งมหา’ลัย ถ้าสื่อออกไปจะไม่เหงา เพื่อนคนอื่นมาดูเรื่องที่เรากำลังทุกข์ จะเก็ตเซนส์ได้ทันที”

ธารีวรรณ อยากเห็นคนทำงานสร้างสรรค์ มีเซลฟ์แคร์ ห่วงว่า ‘ความเจ็บปวด’ ที่เก็บไว้เป็นวัตถุดิบ บางทีมันก็ขี่หัวเราจนสร้างสรรค์อะไรต่อไม่ไหว ได้เหมือนกัน

“อยากเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเอาของที่มีอยู่ในตัว มาผลิตงานที่จะกลับมาเยียวยาตัวเอง วันที่คุณไปเจอทางคลี่คลาย คุณจะพาคนอื่นไปสู่ทางคลี่คลายได้ด้วย”

อธิษฐาน จันทร์กลม

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘Mind on Film’ ปรากฏการณ์ทุกข์ แห่งยุคสมัย หย่อนเมล็ดพันธุ์ ‘ฮีลใจ’

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...