การโต้วาที ศิลปะแห่งวาทกรรม
คอลัมน์ นอกรอบ รณดล นุ่มนนท์
ในวงสนทนาที่บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างสนุกสนาน เราจะเพลิดเพลิน เวลาลื่นไหลไปแบบไม่รู้ตัว แต่เมื่อไหร่การสนทนาเริ่มมีความเห็นต่าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เราจะรู้สึกอึดอัด ยิ่งถ้ามีการใช้อารมณ์ พูดจาเหน็บแนม เสียดสี กระแทกแดกดัน ไม่มีใครฟังใคร เวทีการสนทนาก็อาจแปรสภาพเป็นเวทีมวยได้ง่าย ๆ
สังคมไทยจึงมักหลีกเลี่ยงการปะทะคารม และหากต้องมีการเลือกข้าง คนส่วนใหญ่มักจะวางเฉย ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว นั่งเงียบ ๆ ไม่ออกความเห็น ทั้ง ๆ ที่ในโลกความเป็นจริงทุกคนย่อมจะต้องคิดเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
วิธีหนึ่งที่ช่วยให้คนเห็นต่างได้มีเวทีแสดงออกคือ “การโต้วาที” เพราะการโต้วาทีหมายถึงการที่มีคนสองฝ่ายตอบโต้กันโดยใช้วาทกรรมที่วางอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องนั้น ๆ ในกรอบความคิดอย่างเป็นระบบ ผสมผสานกับการแสดงออกทางบุคลิก เหตุผล หลักฐาน และอารมณ์
อย่างไรก็ตาม สังคมที่จะตอบรับค่านิยมของการโต้วาทีรูปแบบนี้ได้จะต้องเป็นสังคม ที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมของการตรวจสอบ การอ่าน และการวิเคราะห์วิจารณ์
ในสังคมตะวันตกการโต้วาทีเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เมื่อนักปรัชญามักใช้เวลาถกเถียงกันในเรื่องของความเชื่อ แม้ในสมัยโรมันก็มีการโต้วาทีในวุฒิสภาแล้ว ดาวเด่นในยุคนั้นคือ ซิเซโร (Cicero)
แต่การโต้วาทีที่เป็นกิจจะลักษณะเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในกรุงลอนดอน อังกฤษ เมื่อปัญญาชนต่างมารวมตัวกันในที่สาธารณะและร้านกาแฟเพื่อถกเถียงเรื่องการเมือง ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศาสนา จนขยายตัวเป็น “สมาคมดีเบต” (Debating Societies)
สมาคมที่มีชื่อเสียงมากคือ “สมาคมโรบินฮูด” (Robin Hood Society) มักนิยมถกเถียงกันในเรื่องการเมือง เช่น ในเดือนมกราคมปี 1776 จัดให้มีญัตติโต้วาทีเปรียบเทียบข้อดีของรัฐบาลแบบราชาธิปไตยกับแบบสาธารณรัฐ โต้กันถึง 3 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาณานิคมอเมริกากำลังจะประกาศอิสรภาพ ผลของการโต้วาทีครั้งนี้ฝ่ายนิยมสถาบันกษัตริย์ได้รับชัยชนะ
ในยุคที่ระบอบประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 การโต้วาทียิ่งได้รับความนิยม เพราะทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เปิดเปลือยให้เห็นเนื้อในทางความคิดของผู้อาสาเข้ามาเป็น “ตัวแทน”
เพราะการได้ “เห็น” และได้ “ฟัง” การโต้วาทีทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตัวแทนเกิดการตื่นตัวทางความคิด ได้สำรวจตัวเอง และได้ตัดสินใจในการ “เลือก” ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ข้างไหน
การโต้วาทีได้กลายมาเป็นการประชันวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตว่าที่ผู้นำประเทศ เพื่อให้ผู้ฟังได้ใช้ตัดสินใจว่าอยากเห็นคนที่ตัวเองจะเลือกเข้าไปมีกึ๋นมากน้อยเพียงไร
การดีเบตที่ทั่วโลกต่างเฝ้ารอคงหนีไม่พ้นการดีเบตของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 26 กันยายน 1960 ระหว่าง จอห์น เอฟ. เคนเนดี พรรคเดโมแครต กับ ริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน พรรครีพับลิกัน มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วสหรัฐ นับเป็นจุดเริ่มต้นของเวทีดีเบตทางการเมืองและเป็นจุดหักเหที่ทำให้เคนเนดีได้รับชัยชนะ
ด้วยคำคมที่ว่า “หากพวกเราทำได้ดีในตอนนี้ ทำหน้าที่ของพวกเราอย่างเต็มที่ และก้าวไปข้างหน้า เมื่อนั้นผมคิดว่าเสรีภาพจะคงอยู่อย่างมั่นคงกับโลกใบนี้ หากพวกเราพ่ายแพ้ เสรีภาพก็พ่ายแพ้ไปกับพวกเราด้วย”
แม้ว่าการดีเบตจะมีระเบียบกติกา แต่บางครั้งกรรมการก็ไม่อาจหยุดความโกลาหลได้ จนในบางครั้งการ “โต้วาที” เกิดเปลี่ยนทิศทางไปเป็นการ “โจมตี” กันด้วยวาทกรรมเร่าร้อน
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นการดีเบตครั้งแรกระหว่างสองผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน กับ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2020 เมื่อทรัมป์ไม่ยอมให้โจ ไบเดน ได้มีโอกาสพูด เพราะจะพูดแทรกตลอดเวลา
จน โจ ไบเดน ฉุนขาดตอบกลับว่า “นาย ช่วยหุบปากได้รึยัง ? “(Will you shut up, man ?) จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างสาดถ้อยคำโจมตีซึ่งกันและกันไม่ยั้ง แต่การดีเบตสาธารณะก็ยังเป็น “ภารกิจทางปัญญา” ของสังคมตะวันตกอยู่ทั่วทุกแห่งหน
สำหรับเมืองไทย การโต้วาทีครั้งแรกเกิดขึ้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2478 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 3 ปี เมื่อหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร ได้จัดขึ้นในหัวข้อเรื่อง “ร้อนดีกว่าเย็น” โดยมีพระยาโอวาทวรกิจ (เหม ผลพันธิน) ครูรุ่นแรกจากโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เป็นฝ่ายเสนอ มี รองอำมาตย์โทวิเชียร ฉายจรรยา เป็นฝ่ายค้านปรากฏว่าฝ่ายเสนอชนะ ได้รับรางวัลเป็นเงินถึง 1,500 บาท ซึ่งในสมัยนั้นมากพอที่จะซี้อรถยนต์ใหม่ได้ 1 คัน
และพระยาโอวาทวรกิจได้มอบเงินรางวัลทั้งหมดให้แก่กรมอากาศยานหรือกองทัพอากาศในปัจจุบัน จุดตัดที่ทำให้พระยาโอวาทฯชนะใจคนฟังได้คือ การอัญเชิญพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 มายืนยันความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องมีความ “ร้อนอกร้อนใจ” ที่ว่า “เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ควรคำนึงถึงชาติศาสนา ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา ในหมู่ประชาชาวไทย แม้ใครตั้งจิตต์คิดรักตัว จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน ควรจะร้อนอกร้อนใจเพื่อให้พรั่งพร้อมเพื่อตน”
การโต้วาทีครั้งนี้ทำให้พระยาโอวาทฯได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐานะนักโต้วาทีไร้เทียมทาน และนับจากนั้นมาการโต้วาทีก็แพร่หลายไปในสถาบันการศึกษา แม่ของผมเล่าว่า เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 โรงเรียนสตรีพัทลุง เมืองที่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา ขาดการสื่อสารกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ยังได้เคยโต้วาทีกับนักเรียนประจำจังหวัดชายในญัตติ “เกิดเป็นหญิง ดีกว่าชาย”
ต่อมาเมื่อมีสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม สถานีแรกในปี 2498 คุณจำนง รังสิกุล ข้าราชการกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในเวลาต่อมา) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ได้จัดรายการโต้วาทีทางโทรทัศน์ขึ้น ทำให้การโต้วาทีแพร่หลายไปทั่ว
แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ด้วยข้อจำกัดทางวัฒนธรรม ประเพณี และค่านิยม ทำให้การโต้วาทีในสังคมไทยเป็นการ “โต้คารม” ที่เอาชนะในวาทศิลป์เพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นการโต้วาทีที่เอาชนะในเรื่องวาทกรรม
ทิมานดรา ฮาร์กเนส (Timandra Harkness) ผู้ดำเนินรายการของสถานีวิทยุ ช่อง 4 ของบีบีซี กล่าวว่า การโต้วาทีไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังต้องเห็นคล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นโอกาสให้ผู้ฟังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลแต่ละฝ่ายมาวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล สร้างให้เป็นคนมีวัฒนธรรมในการรับฟัง เข้าใจความเห็นที่แตกต่าง มีความฉลาดพอที่จะรู้จักเลือก และเรียนรู้ว่าอะไรที่พูดแล้วผิด
ไม่ทราบว่าพวกเราพร้อมหรือยังที่จะเปิดเวทีการโต้วาที เริ่มต้นด้วยญัตติเบา ๆ ก่อนก็ได้ครับ
*แหล่งที่มา : 1/ The MATTER. 2021. ทำไมการดีเบตถึงสำคัญต่อประชาธิปไตย. [online] Available at: [Accessed 17 October 2021].2/The Momentum”.ย้อนอดีตไปดู ความหมายที่แท้ทรูของการ “ดีเบต”. Available at: [Accessed 17 October 2021].3/Thai PBS. 2021. เปิดตำนาน 59 ปี “ดีเบต” ประชันวิสัยทัศน์ว่าที่ผู้นำ. Available at: [Accessed 17 October 2021].4/ ป้อมเพชร, ด., 2021. พระยาโอวาทวรกิจ ครูรุ่นแรกของสยาม จากโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์และนักโต้วาทีไร้เทียมทาน. ศิลปวัฒนธรรม. Available at: เถียงกันอย่างไรให้สร้างสรรค์ -BBC News ไทย. Availableat: [Accessed 17 October 2021].*