แค่อาหารเสริมไม่พอ “PANANCHITA” บุก 3 น่านน้ำใหม่
ปนันท์ชิตา ไม่เสี่ยงพึ่งธุรกิจเดียวแม้ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโตไม่หยุด เตรียมแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เปิดโรงเรียนอนุบาล หอพัก โรงพยาบาลสัตว์ กระจายความเสี่ยง
โลดแล่นในแวดวงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมูลค่า 7.42 หมื่นล้านบาท มานานกว่า 9 ปี สร้างแบรนด์จนติดตลาดจากการทำตลาดออนไลน์สำหรับ “ปนันท์ชิตา อัครทรัพย์ธาดา” นักธุรกิจเจ้าของแบรนด์ PANANCHITA โดยมี Fiber เป็นโพรดักซ์เรือธง พร้อมกับคว้าซุปเปอร์สตาร์เบอร์ใหญ่อย่าง ‘อั้ม-พัชราภา’ ควงคู่มาพร้อมกับ‘เอ-ศุภชัย’ มานั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์สร้างยอดขยายถล่มทยานในระยะเวลาสั้นๆ
ซึ่ง “ปนันท์ชิตา” เปิดเผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จนี้ว่า ปัจจุบัน “ปนันท์ชิตา” มีสินค้าในพอร์ตประมาณ 20 sku โดยมี Per Fiber เป็นโพรดักซ์ฮีโร่ การเติบโตที่ก้าวกระโดดเกิดจากการเปลี่ยนบิสิเนสโมเดลจากเดิมที่เน้นการทำตัวแทนจำหน่าย หันมาทำ e-commerce ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ทำให้ยอดขายปลีกเติบโตอย่างชัดเจนและในปีนี้จะเริ่มขยายช่องทางออฟไลน์มากขึ้นทั้งใน Modern Trade ร้านค้าสุขภาพความงามและร้านสะดวกซื้อ
หนึ่งในปัจจัยหนุนความสำเร็จ ก็คือ การมีดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่ว่าจะเป็น เอกกี้, เป้ย ปานวาด, ธัญญ่า โดยเฉพาะการได้อั้ม-พัชราภา’ และ ‘เอ-ศุภชัย’ เข้ามาร่วมโปรเจกต์ซึ่งผลตอบรับดีมากในทุกโปรเจกต์ บวกกับการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้นจากเดิมที่เน้นไปยังสื่อหลัก ทำให้สินค้า Mass ขึ้นและขายดีกว่าเดิม
ล่าสุด บริษัทยังร่วมกับ BUGABOO SHOP ในการทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก ความท้าทายของการทำตลาดออนไลน์ คือ เทรนด์มาเร็วไปเร็ว นั่นหมายว่าแบรนด์ต้องดู Trend และอัพเดทแบบ Real Time เพื่อจัดโปรส่งเสริมการขายให้ทัน เนื่องจากตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลังโควิดเติบโตกว่าเดิมอย่างมากจากพฤติกรรมคนที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิตที่จำเป็น เพราะร่างกายต้องการสารสำคัญที่ถูกใช้ไปทุกวัน หากไม่มีการเสริมเข้าไปก็จะมีแต่สึกหรอ
“รถยนต์ยังมีอะไหล่เปลี่ยนแต่คนไม่มีอะไรเปลี่ยน ดังนั้น เราจะต้องดูแลตัวเองก่อนที่จะป่วย เดี๋ยวนี้คนเข้าถึงข้อมูลและรักตัวเองมากขึ้น เราจึงขายง่ายขึ้น ซึ่งเทรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตอนนี้เติบโตทั้งเพื่อสุขภาพและเพื่อความงามควบคู่กัน
*“ปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตแตะเกือบ ๆ พันล้านจากการส่งเสริมการขาย “สิ่งไหนที่ทำให้ขายดีและขายง่ายเราทำแน่นอน” นอกจากนี้ยังมีการทำตลาดต่างประเทศโดยจะเริ่มส่งออกไปประเทศจีน กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และลาว ทั้งในตลาดอีคอมเมิร์ซผ่านตัวแทนจำหน่ายด้วย”*
อย่างไรก็ตามแม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ปนันท์ชิตากลับมองว่าการมีธุรกิจเดียวในมือแม้จะมีโพรดักซ์ในพอร์ตหลายตัวแต่ก็เสี่ยงเกินไป นำมาซึ่งการตัดสินใจครั้งใหญ่ในการก้าวเท้าออกจาก Comfort zone ไปยังน่านน้ำใหม่ ทั้งโรงเรียนอนุบาล อพาร์ทเม้นท์ ขยายโรงงานผลิต ร้านสปา และโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง
“การแตกไลน์ไปยังธุรกิจใหม่ ๆ ก็คือการกระจายความเสี่ยง “การมีบ่อหลายบ่อมาช่วยกันเติมน้ำให้เต็ม” บ่อไหนแห้งเราก็จะยังมีน้ำเข้าไปเติมก็ดีกว่ามีบ่อเดียวอยู่แล้ว ปีนี้เรามีการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอีกหลายธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง
ตามแผนคือ เปิดโรงเรียนอนุบาล เพราะโรงเรียนที่เราถูกใจในย่านคลอง 3 หรือคลองหลวงไม่มี ทำให้ลูกของเราต้องไปเรียนไกลมาก เรามีแพชชั่นแรกเริ่มคืออยากทำโรงเรียนให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่เราสร้าง บวกกับแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่เยอะ พ่อแม่ยุคใหม่ต้องการความสะดวกสบาย และหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเพราะฉะนั้นมีโอกาสเติบโตอยู่แล้ว
ส่วน อพาร์ทเมนต์ เรามองว่ายังมีโอกาสจากดีมานด์ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และสามารถส่งต่อเป็นสินทรัพย์ให้ลูกหลานในอนาคตได้ ส่วน โรงพยาบาลสัตว์ ยังมีโอกาสเติบโตอย่างมากจากการเพิ่มขึ้นของคนรักสัตว์เยอะ คนที่ไม่แต่งงานและไม่มีลูกหันมาเลี้ยงสัตว์เยอะขึ้น
ตามแผนคาดว่าโรงเรียนอนุบาลจะสามารถเปิดบริการได้ในปีนี้ อพาร์ทเมนต์น่าจะสร้างเสร็จในปี 2568 ส่วนโรงพยาบาลสัตว์ไม่เกิน 2 ปีเพราะตอนนี้เรากำลังรอสัตวแพทย์ที่จะเข้ามาร่วมงานกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจสปาและการลงทุนขยายโรงงานอยู่ในแผนอีกด้วย”