ถังหลี่มี่
ข้อมูลเบื้องต้น
ถังหลี่มี่ แม่นางน้อยในวัยสิบห้าหนาว นางเริ่มสร้างตัวทำการค้าเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง
โดยมีคุณชายปริศนาช่วยเหลือนางอย่างมิได้ตั้งใจ เขาทั้งหล่อเหลา มิหนำซ้ำยังร่ำรวยมหาศาล
โชคชะตาทำให้ทั้งสองได้เจอกันบ่อยครั้ง
นางรู้เพียงเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด
ลู่ฮ่าวอู๋ องค์ชายห้าแห่งชินอ๋อง บุรุษผู้โหดเหี้ยม เขาดุดันมิต่างจากฉลามขาว
ชายชาตรีผู้ออกทะเลตั้งแต่อายุเพียงสิบสองหนาวด้วยเหตุผลบางอย่าง
ความดุดันป่าเถื่อนทำให้มีค่าหัวถึงหนึ่งล้านตำลึง!
ใครจะคิด เมื่อเจอสตรีต้องตา เขากลับมิต่างจากสุนัขเชื่องตัวหนึ่ง!
บทที่ 1 ลู่ฮ่าวอู๋
เสียงเกลียวคลื่นสาดกระทบลำเรือดังเป็นจังหวะ ราวกับเสียงดนตรีอันไพเราะจากฝืนทะเลสีฟ้าคราม สายลมเย็นพัดโหมใส่ใบเรือ จนพาเรือแล่นไปตามเส้นทาง
บนเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ บรรจุผู้โดยสารเกือบร้อยชีวิต มีสินค้ามากมายจากดินแดนตะวันตกบรรทุกเต็มลำ นี่คือเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดของอาณาจักรต้าลู่
อาณาจักรต้าลู่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เพราะราชวงศ์รุ่นก่อนมีฝีมือการรบทัพจับศึก สามารถล่าอาณานิคมรวมสามดินแดนมาไว้เป็นอาณาจักรเดียวได้สำเร็จ สามดินแดนที่ว่าคือแคว้นต้าลู่ แคว้นวะ และหมู่เกาะในปกครองอีกสามแห่ง ทั้งแคว้นและเกาะต่าง ๆ มีสรรพยากรมากมายหลากหลาย ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาณาจักรอื่นคึกคักอย่างยิ่ง มีเรือโดยสาร และเรือขนส่งพาณิชย์ให้เห็นมากมายตามท่าเรือต่าง ๆ ทั่วอาณาจักร
ชายหนุ่มผิวสีแทนนั่งรับลมอยู่ ณ หัวเสือด้านหน้าเรือ ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกแดดเผาจนไหม้เกรียม แต่มิอาจบดบังความหล่อที่ฉายประกายสู้แสงนี้ได้ ผ้าฝ้ายสีดำปักลายกิเลนปลิวไหวตามแรงลม
ลู่ฮ่าวอู๋เงยหน้ามองท้องฟ้าที มองน้ำทะเลที ทั่วทุกทิศทางมีสิ่งให้มองเพียงเท่านี้ แม้จะดูน่าเบื่อ แต่ลู่ฮ่าวอู๋กลับชอบมันมาก เขารักการเดินเรือ มันคือชีวิตจิตใจของลูกผู้ชาย
เขาคือบุตรชายคนที่ห้าของชินอ๋อง หากอยู่แคว้นต้าลู่เขาจะถูกเรียกว่า ‘องค์ชายห้า’ บิดาของเขามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การเกิดในฐานะบุตรภรรยาเอกทำให้ลู่ฮ่าวอู๋ได้อภิสิทธิ์กว่าพี่น้องที่เกิดจากอนุทั้งหลาย ไม่ต้องแย่งชิงก็ได้มาครอบครอง ลู่ฮ่าวอู๋มีพี่ชายร่วมมารดาหนึ่งคน และมีพี่ชายที่เกิดจากพระชายาคนก่อนของบิดาอีกหนึ่งคน แต่เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ห่างไกลจากตำแหน่งผู้สืบทอดจวนอ๋อง เขากลับดีใจที่มิต้องแบกภาระอันใหญ่หลวงไว้บนบ่า แล้วมุ่งหน้าออกทะเล ตั้งแต่อายุได้เพียง 12 หนาว
“นายน้อย ลงมานั่งในร่มดีกว่านะขอรับ กลับไปครั้งนี้อาจถูกนายท่านบ่นเอาได้ว่าไม่ดูแลตัวเอง ตากแดดตากลมมิต่างจากพวกจับกัง[1] ” บ่าวคนหนึ่งนามว่าเสี่ยวหวังลังเลหลายครั้ง ไม่กล้าเข้ามาเตือน กลัวถูกดุจากทั้งท่านอ๋องทั้งนายน้อย แต่กลัวชินอ๋องมากกว่าจึงเลือกเสี่ยงชีวิตเตือนนายน้อย ไม่ให้ตากแดดตากลมตามใจชอบอีก ผิวที่คล้ำขึ้นเป็นหลักฐานอย่างดีว่านายน้อยคนเล็กของบ้าน แอบมาล่องเรือเล่นอีกแล้ว
“หนวกหู ไปให้พ้น” ลู่ฮ่าวอู๋ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนพูด สายตาคมเข้มจดจ่ออยู่กับเส้นขอบฟ้าและเส้นทะเลที่ตัดกันเป็นภาพงดงาม
เสี่ยวหวังรีบหุบปาก แล้วไสหัวไปไกล ๆ ตามคำสั่ง อาณาจักรนี้นายบ่าวมีความห่างชั้นกันไกลมาก นายสามารถทำทุกอย่างกับบ่าวที่ซื้อมาตามใจชอบ โชคดีที่นายน้อยลู่เป็นคนปากร้ายใจดี บ่อยครั้งเสี่ยวหวังตัวกลมมักเอาแต่ใจ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
ด้านหน้าเรือกลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครั้ง
ดวงตาคมละจากภาพทะเลตรงหน้า หันมามองจื่อหนานเจิน หรือเข็มทิศที่อยู่ในมือ ตอนนี้เขานั่งเรือพาณิชย์ของกลุ่มเรือหนึ่ง ไม่ใช่เรือส่วนตัวของตนเอง เพราะมีสินค้าจำนวนมากเกินไป เขาจึงต้องใช้เรือจากกลุ่มเรืออื่น เพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้า
เจ้าของสินค้าเช่นเขาไม่วางใจเรื่องความปลอดภัย การปล้นชิงทรัพย์กลางทะเลนั้น มีให้เห็นจนชินตา เขาจึงต้องนั่งมากับเรือ เผื่อเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้น น่านน้ำทุกแห่งล้วนแต่มีโจรสลัดเจ้าถิ่นดักซุ่มโจมตีเรือสินค้า
ลู่ฮ่าวอู๋เห็นเรือเดินทางถูกทิศทางแล้วก็เลิกมองเข็มทิศ ทันใดนั้นเสียงเอะอะจากด้านหลังดึงความสนใจจากเขาไป
“อ๊าย! นายท่าน ปล่อยบ่าวไปเถิดเจ้าค่ะ บ่าวดื่มไม่ไหวแล้วจริง ๆ” เสียงสตรีนางหนึ่งร้องขอ น้ำเสียงของนางดูยานยืด ราวกับสติอยู่ไม่ครบ
“ข้าบอกให้เจ้ากิน กินมันเข้าไป! นางบ่าวชั้นต่ำ!” เสียงกระโชกโฮกฮากนี้เป็นของคุณชายน้อยท่านหนึ่ง เครื่องแต่งกายของเขาหรูหรา ต้องเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางอย่างแน่นอน
คนบนเรือเริ่มวิ่งออกมามองดูความคึกคัก เมื่อเห็นหน้าตาตัวการของเรื่อง บรรดาผู้ชมต่างขนหัวลุก รีบแยกกันไปคนละทิศ “บุรุษผู้นั้นเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองแคว้นวะ พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งเลยจะดีกว่า ข้าได้ยินมาว่าเขาเผาบ่าวในจวนให้ตายทั้งเป็น เป็นว่าเล่น! โทษฐานที่ไม่ยอมกินน้ำดอกฝิ่น”
ผู้ชมที่เดินหนีออกมาซุบซิบนินทากันตามประสา “จริงรึ! น้ำดอกฝิ่นนั่น คนไม่เคยกินคงทั้งเมามายและทรมาน แต่ใครใช้พวกมันเกิดมาเป็นบ่าวเล่า บ่าวหนึ่งคนมีค่าน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงเสียอีก จะฆ่าหรือทรมานอย่างไรก็ได้!”
“ใช่! ถ้าบ่าวมีชีวิตสุขสบาย คงมีคนขายลูกหลานเข้าจวนคนมีเงินกันหมดแคว้นแล้ว!”
ไม่มีใครสนใจเสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือด้วยความทุกข์ทรมานของบ่าวสตรีนางนั้นอีก
นางเป็นบ่าวท้ายจวนเจ้าเมืองที่มีหน้าตางดงาม เตะตาบุตรชายของเจ้าเมืองหลายคน ต้องเป็นทาสบำเรอกามให้คุณชายหลายคนในเรือน จนสุดท้ายมาเป็นบ่าวในเรือนของคุณชายใหญ่ ผู้มีนามว่าไป๋เสวียน
ไป๋เสวียนชอบความรุนแรง การเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดคือความสุขของเขา บ่าวในเรือนถูกบังคับให้ดื่มน้ำดอกฝิ่นเป็นประจำ บ่อยครั้งมีรถลากซากศพไหม้เกรียมออกมาจากในจวน เรื่องพวกนี้คนทั้งเมืองต่างรู้ แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะคนตายเป็นเพียงบ่าวรับใช้ไร้สกุล
น้ำดอกฝิ่นนิยมดื่มกันในแคว้นวะ ฤทธิ์ของมันมอมเมาต่างจากสุรา
ลู่ฮ่าวอู๋หันกลับไปมอง ตอนนี้ร่างของบ่าวหญิงเต็มไปด้วยน้ำมันตะเกียง ไป๋เสวียนเดินเซไปเซมา กลิ่นเหล้าจากตัวเขาฟุ้งไปทั่ว
ลู่ฮ่าวอู๋ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่อยากเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่ชายหนุ่มทนเห็นคนถูกรังแกต่อหน้าไม่ได้จริง ๆ
“ไปเอาไฟมา! ข้าจะเผานางให้ไหม้เกรียม นางบ่าวต่ำทราม ต้องถูกเผาตายทั้งเป็น ผิวที่ขาวเนียนของมันต้องเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ เร็ว! ประเดี๋ยวจะได้เห็นคนถูกย่างสด ฮ่า ๆ” ไป๋เสวียนหัวเราะจนสำลักเหล้า บ่าวคนนี้ถูกใช้จนไม่เหลือความเป็นคน ได้เวลาเปลี่ยนเป็นสตรีสาวสวยสดใหม่แล้ว
“ได้โปรด! นายท่านปล่อยบ่าวไปเถิดนะเจ้าคะ บ่าวจะไม่กลับมาให้เห็นหน้าอีกต่อไป!” บ่าวหญิงโขกศีรษะกระแทกพื้นหลายสิบที แม้จะรู้ว่าคำขอของบ่าวเป็นเพียงเสียงนกเสียงแมลง ขอให้ตายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“ไม่มาให้เห็นหน้าอีกต่อไป? เดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าให้ข้าเห็นแน่นอน! เฮ้ย! ข้าสั่งให้ไปเอาไฟมา ข้าจะเผานางบ่าวเลวนี่!” ไป๋เสวียนตะโกนโหวกเหวกเรียกบ่าวชายของตนเองให้ไปหาไฟมา
ทันใดนั้น ไป๋เสวียนรู้สึกตัวชาวูบ ก่อนจะล้มหมดสติไป
“นะ นายท่าน!” บ่าวหญิงเงยหน้าขึ้น เห็นร่างใหญ่ของไป๋เสวียนล้มหน้าทิ่มพื้นอย่างจัง ใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำของนางไร้ซึ่งความยินดี การที่นายท่านได้รับบาดเจ็บเพราะนาง มันเป็นการเพิ่มโทษให้ร้ายแรงกว่าการเผาทั้งเป็น! “นายท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ!? นายท่าน!”
“เจ้านี่มันไม่เป็นอะไรหรอก แค่หมดสติ เจ้าควรห่วงตัวเอง รีบหนีไปซะ” เมื่อครู่ลู่ฮ่าวอู๋ใช้ฝ่ามือทุบที่ท้ายทอยของไป๋เสวียนจนอีกฝ่ายหมดสติไป
ลู่ฮ่าวอู๋เกิดในตระกูลมหาอำนาจ เรื่องการทรมานบ่าวในจวนอย่างทารุณเป็นสิ่งที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้ แม้ตัวเขาจะรับไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอันใดได้เช่นกัน
บ่าวหญิงหัวเราะทั้งน้ำตา นางมองผู้มีพระคุณตรงหน้า ความหล่อของเขาแทงตานางอย่างจัง นางมองที่ผ้าคาดเอวของเขา มีสิ่งที่เรียกว่าปืนเหน็บอยู่ “นายท่าน ข้าจะหนีไปที่ใดได้เจ้าคะ? นี่คือบนเรือ รอบด้านมีแต่น้ำสีฟ้าเต็มไปหมด ข้าว่ายน้ำไม่เป็น เพิ่งเคยออกเรือเป็นครั้งแรก ไม่มีหนทางหนีแล้วเจ้าค่ะ!”
“เมื่อครู่เจ้ายังร้องขอชีวิตจากเจ้านี่อยู่เลย หากเจ้าปรารถนาจะถูกเผาตาย ข้าก็ขออภัยที่สอดมือเข้ามายุ่ง” ลู่ฮ่าวอู๋เดินจากไปด้วยใบหน้าเย็นชา
“นายท่าน! ข้าน้อยขอบคุณมากเจ้าค่ะ! ข้าขอความกรุณาอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้าย! ฮึก! ได้โปรดมอบความตายที่ไร้ความทรมานให้ข้าด้วย!” นางโขกศีรษะกับพื้นอีกหลายที ชีวิตบ่าวราวกับตายทั้งเป็น ตั้งแต่เล็กจนโตนางหาความแตกต่างจากชีวิตของสัตว์ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ การตายแบบไม่ทุกข์ทรมานคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด!
“อยากตาย ก็อย่าได้เดือดร้อนผู้อื่น เลือกทางตายด้วยตัวเอง” ลู่ฮ่าวอู๋หันหลังเดินจากไป ยังไม่ทันพ้น เสียงร้อนรนจากด้านหลังดังตามมา
บ่าวชายกลับมาพร้อมคบเพลิงในมือ เมื่อเห็นนายท่านของตนเองนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น บ่าวชายรู้ทันทีว่าตนเองชะตาขาดเสียแล้ว “นายท่าน! ท่านเป็นอะไรขอรับ เจินจู! เจ้าทำอะไรนายท่าน! นี่เจ้าทำร้ายนายท่านรึ!? ตั้งใจจะลากข้าไปตายกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่!”
“ไม่นะเจ้าคะ ข้าเห็นนายท่านเมามาก แล้วก็ล้มลงไปเอง ข้ามิได้เข้าใกล้นายท่านเลยนะเจ้าคะ!” บ่าวหญิงตกใจจนอาการเมาฝิ่นหายเป็นปลิดทิ้ง นางไม่อยากเสียเวลาคิดหรือร้องขอชีวิตจากใครอีกต่อไปแล้ว การที่นายท่านหมดสติตรงหน้านางเช่นนี้ มิรู้ถึงฝั่งแล้วจะโดนอะไรบ้าง นางตัดสินใจกระโดดลงทะเลฆ่าตัวตาย อย่างน้อยตายในน้ำก็ยังเย็นสบาย ไม่ร้อนเหมือนถูกไฟเผา!
ลู่ฮ่าวอู๋กำปืนที่เอวแน่น เขาช่วยนางเท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้ไม่อยู่ในสถานะที่เขาจะทำสิ่งใดได้ตามใจ ที่สำคัญ… เขาจะไม่ฆ่าคนที่ไม่อยากฆ่า!
หนึ่งชีวิตจบลงที่ก้นทะเลลึก ไม่มีใครสนใจจดจำ ไป๋เสวียนถูกพาไปรักษากับหมอในเรือที่วิชาเก่งกาจ เขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ยามดึกสงัด ม่านราตรีเข้าครอบคลุม ผู้คนในเรือต่างหลับพักผ่อน ไป๋เสวียนนอนกอดก่ายสตรีคนใหม่หลับไปอย่างมีความสุข ในขณะที่กำลังฝันถึงนางโลมหอคณิกาเลื่องชื่อ ร่างของเขารู้สึกหนาวเหน็บ อึดอัดหายใจไม่ออก
ไป๋เสวียนพยายามลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดมิด ร่างกายขยับไม่ได้แถมยังหนักอึ้งเพราะถูกบางอย่างถ่วงอยู่ที่เท้า
สติอันเลือนลางบอกให้รู้ว่าเขากำลังจะตาย มือสองข้างถูกมัดติดกันแน่นตั้งแต่เมื่อไรมิอาจรู้ได้ ขาทั้งสองมีบางอย่างหนักอึ้งถ่วงรั้งจนร่างค่อย ๆ จมลึกลงสู่ก้นทะเล
“อั้ก! อั้ก” ไป๋เสวียนพยายามพูด แต่เสียงของเขาจมหายไปพร้อมร่างที่ถูกพันธนาการ ไร้หนทางขัดขืน แม้แต่ใบหน้ามือสังหารก็ไม่มีโอกาสเห็นเป็นครั้งสุดท้าย…
ลู่ฮ่าวอู๋มองฟองอากาศที่ค่อย ๆ เลือนหายไป
ชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้อีก แต่ไป๋เสวียนผู้นี้ พอเหล้าเข้าปากได้ที่ เป็นต้องหาคนมาเผา บ่าวที่นำติดตัวมาถูกเผาไปแล้วถึงสามคน แต่ละครั้งส่งเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของเขายิ่งนัก
“คุณชาย ไม่เห็นฟองอากาศแบบนี้ มันน่าจะตายไปแล้วนะขอรับ เสียดายนัก! ถ้าเอาตัวไปที่เรือเราให้ฉลามกินคงสะใจกว่านี้แน่!” เสี่ยวหวังคิดแต่เรื่องปากท้อง แม้แต่ฉลามยังเป็นห่วงกลัวพวกมันจะหิว บ่าวตัวอ้วนมองผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบอย่างเสียดาย หากเอาไปให้ฉลามกินยังทำให้พวกมันอิ่ม ถือว่าสร้างประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย!
“ตัดใจเสียเถอะ มันเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองแคว้นวะ มีโอกาสฆ่าได้ต้องรีบฆ่า เด็กห้าว ก็ต้องกินข้าวผ่านควันธูปเช่นนี้ล่ะ!” ลู่ฮ่าวอู๋พูดอย่างเย็นชา คนที่ไม่เห็นค่าความเป็นคนของผู้อื่น ไม่ควรอยู่ต่อให้ต้องสูญเสียชีวิตอันบริสุทธิ์อีกแล้ว
“แล้วแบบนี้ จะไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือขอรับ?” เสี่ยวหวังมองฟองอากาศที่ค่อย ๆ แตกและเลือนหายไป เขาถามไปอย่างนั้น เพราะในใจรู้คำตอบดีว่านายน้อยหาได้เกรงกลัวสิ่งใด
“โจรสลัด เขาไม่ทำเรื่องเล็กกันหรอก!” ลู่ฮ่าวอู๋แสยะยิ้มร้ายกาจ
นอกจากตำแหน่งบุตรชายคนที่ห้าของชินอ๋อง
เขายังเป็น… หนึ่งในโจรสลัดผู้มีค่าหัวสูงที่สุดห้าอันดับแรกของอาณาจักร!
[1] กรรมกรแบกหาม ผู้ใช้แรงงาน
>>> เขียนจีนโบราณครั้งแรก ฝากติชม กดหัวใจด้วยนะคะ
>>> มี E-Book แล้วนะคะ
เล่ม 1
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAxO30
เล่ม 2
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAyO30
บทที่ 2 ถังหลี่มี่
แสงจันทร์สุดท้ายกำลังลาจาก แทนที่ด้วยแสงยามเช้าจากพระอาทิตย์ เสียงที่บดเต้าหู้ดังเสียดสีกันเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม[1] มือบอบบางแสนหยาบกระด้างหยุดพักหลังจากเสร็จงาน
ถังหลี่มี่บิดตัวไปมาขับไล่ความเมื่อยขบ นางเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าหนาว เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้ไม่ถึงสามวัน แต่ความขยันของนางเป็นที่เลื่องชื่อในหมู่บ้าน สามารถเลี้ยงดูน้องสาวสองคน ส่งส่วยให้แม่เลี้ยง และลอบให้เงินกับมารดาแท้ ๆ อยู่ได้
ใบหน้าหวานหยด ดวงตากลมโตประดับแพขนตาหนางอนงาม ริมฝีปากกระจับอวบอิ่ม
มือของนางหนาวเย็นจนชา นางเช็ดมือกับเสื้อป่านตัวเก่าสีซีดของตนเอง คนในหมู่บ้านชานเขาแทบทุกหลังล้วนยากจน แค่ทำให้คนในครอบครัวอิ่มท้องได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับ
ครอบครัวของนางตั้งรกรากอยู่ที่เกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของแคว้นต้าลู่ เกาะนี้มีชื่อว่ามู่ต่าว มู่ที่มาจากคำว่าไม้ ชื่อนี้ได้มาจากการที่บนเกาะมีต้นไม้ชนิดพิเศษ คือมีความทนทานต่อการกัดเซาะของน้ำทะเล ผู้คนใช้สร้างเรือให้มีความทนทานสูง สามารถต่อเรือใช้งานได้เป็นร้อยปี จากทรัพยากรแสนวิเศษที่มีเพียงแห่งเดียวในอาณาจักร คนในเกาะสมควรมั่งคั่งร่ำรวย แต่ทุกอีแปะกลับตกเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของขุนนางทั้งหมด
ทุกวันนี้ต้นไม้ร่อยหรอแทบไม่เหลือ ราคายิ่งพุ่งทะยานสูงขึ้นหลายสิบเท่า หากใครสนใจซื้อต้องประมูลแข่งกันเท่านั้น!
ถังหลี่มี่เปิดประตูบ้านไม้เก่าผุพังของตนเอง ก่อนจะไปลากรถเข็นสองล้อเข้ามาขนของที่เตรียมไปขายที่ท่าเรือ สองมือยกของไปจัดเรียงบนรถเข็นด้วยความคล่องแคล่ว นางขายน้ำเต้าหู้กับแผ่นแป้งที่ท่าเรือทุกวัน ทำเช่นนี้มาห้าปีเห็นจะได้
ชีวิตแสนลำเค็ญนี้เริ่มจากเมื่อห้าปีก่อน ในฤดูหนาวที่เกาะแห่งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มีเรือโจรสลัดกลุ่มใหญ่เข้ามาจอดเทียบท่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเกาะซึ่งเป็นทางผ่านของเรือแห่งนี้ ผู้คนบนเกาะให้การต้อนรับตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นโจรหรือขุนนาง ต่างก็ต้องจ่ายเงินซื้อของเหมือนกัน
แต่กลุ่มโจรสลัดสุดโฉดนั่นเลวร้ายเกินกว่าจินตนาการ พวกมันทั้งจี้ปล้น และลักพาตัวผู้หญิงขึ้นไปบำเรอกามบนภูเขา มีสตรีเกือบร้อยคนตกเป็นเหยื่อให้กับความกลัดมันของพวกมันในครั้งนั้น
มารดาของนางเป็นหนึ่งในนั้น…
กว่ากองทัพเรือจะมาปราบปรามก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือน สตรีทุกคนที่ถูกลักพาตัวไปบางครอบครัวทนรับความอับอายไม่ไหวจึงยอมขายไปเป็นบ่าวรับใช้ บ้างขายให้หอนางโลม บางครอบครัวสามีทนเห็นหน้าภรรยาที่มีมลทินไม่ไหวจับใส่ชะลอมหมูแล้วกดน้ำให้ตายตกไป
มารดานางเป็นหนึ่งในนั้น…
แต่รอดตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ มิหนำซ้ำ ยังได้เด็กติดท้องมาอีกหนึ่งคน บิดานางให้หัวหน้าหมู่บ้านเขียนจดหมายแยกทาง ส่งตัวแม่ของนางกลับบ้านเดิม
แน่นอนว่าบ้านเดิมก็มิยินดีต้อนรับ มารดาถูกบ้านเดิมขับไล่ให้ไปอยู่เล้าหมู กินกับหมู นอนกับหมู ไม่ต่างจากสัตว์เลยสักนิด!
นี่คือแรงผลักดันที่ทำให้นางขยันทำงานทั้งวันไม่เคยหยุด
ถังหลี่มี่ขนของขึ้นรถเข็นเสร็จก็ล้างหน้าให้สดชื่น แม้ทำงานหนักตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ใบหน้าของนางกลับใสราวกับเปลือกไข่ ความงามของนางเป็นที่ทราบกันดีในหมู่บ้าน หลังพ้นวันปักปิ่น มีแม่สื่อหลายคนแวะเวียนมาทาบทาม แม่เลี้ยงของนางบอกปัดทั้งหมดด้วยเหตุผลว่านางยังอายุน้อยเกินไป
แต่ถังหลี่มี่รู้ดี… ที่ไม่ยอมให้แต่งด้วยเพราะบุรุษเหล่านั้นดูดีเกินไป สหายในหมู่บ้านมาเล่าให้ฟังว่า แม่เลี้ยงของนางเข้าเมืองไปสามครั้ง ทุกครั้งล้วนมุ่งหน้าเข้าหาบ้านที่มีชายแก่มากภรรยา หรือไม่ก็ชายแก่ที่เป็นหม้ายภรรยาตายปริศนา
นางเชื่อว่าแม่เลี้ยงจะยังไม่ขายนางและน้อง ๆ ในตอนนี้ เพราะพวกนางช่วยหาเงินเลี้ยงดูบ้านใหญ่ด้วย ขาดไก่ออกไข่ บ้านนั้นจะกินอะไรกันเล่า!
ถังหลี่มี่ล้างหน้าเสร็จก็เข็นรถไปที่ท่าเรือตามปกติ ท่าเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในตัวอำเภอ ห่างจากหมู่บ้านชานเขาของนางเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม
เมื่อเข็นรถออกมายังถนนหน้าหมู่บ้าน ก็เจอพ่อค้า แม่ค้าหาบเร่เหมือนนางหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นสหายวัยเดียวกันมีนามว่า มั่นมั่น
“หลี่มี่! เจ้ามาแล้วหรือ? ทำไมวันนี้ทำของน้อยล่ะ ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าวันนี้มีเรือสินค้ามาลงห้าลำ ห้าลำใหญ่เชียวนะ! น้ำเต้าหู้กับแผ่นแป้งของเจ้าต้องขายดีแน่ เหตุใดจึงไม่ทำออกมาเยอะ ๆ เล่า!” มั่นมั่นเข็นรถของตนเองเดินเข้ามาบ่นถังหลี่มี่ นางสองคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ชักชวนกันออกมาค้าขายตั้งแต่อายุเพียงสิบหนาว
บิดาของมั่นมั่นทำงานอยู่ที่ท่าเรือ ทำให้นางได้รับข่าวสารแม่นยำเรื่องจำนวนเรือที่จะเข้ามาเทียบท่าในแต่ละวัน ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าที่ท่าเรือคาดการณ์จำนวนของที่จะทำออกมาขายได้ ลดปริมาณของเหลือจากการขายไม่ออกไปได้มากมาย
“นี่ข้าก็ทำออกมาไม่น้อยเลย แผ่นแป้งหนึ่งร้อยแผ่น น้ำเต้าหู้ร้อยห้าสิบถ้วย มากกว่าปกติตั้งเท่าตัว หากขายไม่หมดข้าต้องแย่แน่!” นางไม่นำของเหลือมาขายซ้ำ หากขายที่ท่าเรือไม่หมด นางจะเข็นไปขายที่ตลาดในอำเภอ บางครั้งเร่ขายตามหมู่บ้าน
แผ่นแป้งนางขายแผ่นละสองอีแปะ น้ำเต้าหู้นางขายถ้วยละหนึ่งอีแปะ หากวันนี้ขายหมดจะได้เงินสามร้อยห้าสิบอีแปะ หักต้นทุนค่าถั่วเหลืองกับแป้งสาลีแล้ว นางจะเหลือกำไรประมาณสองร้อยอีแปะ! ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว เพราะค่าแรงรายวันของผู้ใช้แรงงานหนักอยู่ที่สามสิบถึงสี่สิบอีแปะเพียงเท่านั้น
“แผ่นแป้งหนึ่งร้อยแผ่น! น้ำเต้าหู้หนึ่งร้อยห้าสิบถ้วย! เจ้าบ้าไปแล้วแน่ ๆ เรือลำหนึ่งมีคนมาไม่ต่ำกว่าร้อยห้าสิบคน ห้าลำก็…” มั่นมั่นยกนิ้วขึ้นมาลองคำนวณ “เจ็ดร้อยห้าสิบคน! ยังไม่รวมคนงานที่ท่าเรืออีก! เป็นพันคนเชียวนะ! ของเพียงเท่านี้จะไปพอขายอะไร!”
“เป็นพันคน!” ถังหลี่มี่ทราบเพียงจำนวนเรือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรือขนาดใหญ่ ของเพียงเท่านี้คงไม่พอขายจริง ๆ “งั้นเดี๋ยวข้าไปซื้อแป้งที่ตลาดท่าเรือมาทำแผ่นแป้งเพิ่ม ส่วนน้ำเต้าหู้คงทำไม่ทันแล้ว”
“ขายแค่แผ่นแป้งก็ยังดี แผ่นแป้งของเจ้าขายดี คนงานชอบกินกัน ต้องทำกำไรได้มากขึ้นแน่” แผ่นแป้งของถังหลี่มี่ทั้งนุ่มอร่อย แถมได้แผ่นใหญ่ คนงานที่ท่าเรือชอบกินมาก
“อืม! เจ้าเองก็เตรียมโจ๊กข้าวโพดมาเสียหลายหม้อ วันนี้คงมีเศรษฐีหน้าใหม่ของหมู่บ้านต้าไห่เป็นแน่” ถังหลี่มี่เย้าแหย่สหายคนสนิท หมู่บ้านต้าไห่คือชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ นางและมั่นมั่นมีชีวิตแสนแร้นแค้นเหมือนกัน ตอนเด็กพอหัดเดินเตาะแตะได้ก็จูงมือกันเดินขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาเลี้ยงหมูและไก่ ความสัมพันธ์ของสองคนไม่ต่างจากพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
“อย่าหยอกข้าเลย เพียงทำให้ครอบครัวอิ่มท้อง แค่นี้ข้าก็พอใจมากแล้ว เรื่องจำนวนเรือที่มาเทียบท่าวันนี้ หวังว่าแม่เลี้ยงเจ้าจะไม่รู้นะ!” มั่นมั่นเดินเข็นรถมาข้างถังหลี่มี่ หางตาแอบชำเลืองมองไปด้านหลัง ทิศทางบ้านของสหายรัก
“ข้าว่าไม่น่าพลาด ป้าจวงเป็นพวกปากสว่าง บางวันถึงขั้นคาดเดากำไรในแต่ละวันของข้าได้ ถึงขนาดนั่งจ้องของทุกชิ้นที่ข้าขายได้ จากนั้นเอามาคำนวณกำไร แล้วคาบไปบอกแม่เลี้ยงข้า ไม่รู้ไปขุดความขยันนี้มาจากที่ใดกัน ข้าเองยังไม่ทันได้คำนวณต้นทุนกำไรของตัวเองเลยด้วยซ้ำ” ป้าจวงคือเพื่อนบ้านที่ขายของในตลาดท่าเรือด้วยกัน นางเป็นมนุษย์ปากสว่างยิ่งกว่าตะเกียง มักจะนำเรื่องค้าขายของถังหลี่มี่มาบอกแม่เลี้ยง
พอมารดาเลี้ยงทราบจำนวนเงินที่ได้ นางจะถูกขูดรีดเงินอย่างเลือดเย็น!
“ฮึ! ยายแก่นั่น ของร้านตัวเองไม่ถูกปากคนที่ท่าเรือเลยมีใจริษยา นางเคยเอาโจ๊กข้าวโพดร้านข้าไปป่าวประกาศว่าทำมาจากข้าวโพดอาหารไก่! ไก่ราชาที่ไหนกันถึงกินข้าวโพด!” ข้าวโพดเป็นธัญพืชทรงคุณค่า ราคาไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาให้สัตว์กินได้
“อย่าสนใจนางเลย เรารีบไปตั้งร้าน รอเรือมาเทียบท่า แล้วร้องเรียกขายของกันให้เสียงแหบแห้งกันไปเลย!” ถังหลี่มี่เพิ่มความเร็วในการเข็น แม้จะมีที่ประจำเป็นของตัวเองแล้ว แต่บางครั้งหากไปช้า ที่จุดนั้นจะถูกแย่งไป ทั้งที่นางเหมาจ่ายเงินรายเดือน
“จริงด้วย! คราวนี้หากมีผู้ใดมาแย่ง ข้าจะตบพวกมันให้หน้าหงาย เผื่อจะจำได้ว่าที่ของตัวเองอยู่จุดไหน!” มั่นมั่นยกมือที่กำหมัดแน่นของตัวเองขึ้นมาทำท่าต่อยอากาศ
“วันนี้เรามาแต่เช้า พวกนั้นอยู่หมู่บ้านห่างจากท่าเรือออกไปไกลมาก ต้องมาไม่ทันเป็นแน่” ถังหลี่มี่กล่าว ความยากจนแผ่ขยายไปทั่วเกาะ ที่เดียวที่พอจะหาเงินได้คือในตัวอำเภอและท่าเรือ ผู้คนมากมายแย่งชิงค้าขายกันอย่างเอาเป็นเอาตาย บางครั้งถึงขั้นเข่นฆ่าเอาชีวิตกันอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะขายของเลียนแบบ!
ทั้งสองใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงตลาดท่าเรือ ตอนนี้ท้องฟ้าเพิ่งทอแสงสว่าง คนงานที่ท่าเรือเริ่มทำงานกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลายคนเป็นคนงานอู่ต่อเรือที่มาหาซื้ออาหารเช้า
ถังหลี่มี่และมั่นมั่นรีบตั้งร้านเตรียมขายของ ยังไม่ทันเสร็จมีลูกค้าหลายคนมารอต่อแถวซื้อ เป็นดังที่มั่นมั่นบอก ของที่หลี่มี่เตรียมมาไม่พอขาย ใช้เวลาเพียงสองเค่อ[2]ทั้งน้ำเต้าหู้และแผ่นแป้งก็หมดเกลี้ยง โจ๊กข้าวโพดของมั่นมั่นเองก็หมดไปเกินครึ่ง
แม่ค้าตัวน้อยหลี่มี่รีบไปซื้อแป้งมาทำแผ่นแป้งเพิ่ม ทำไปขายไปไม่ทันใจคนซื้อ บางคนทนรอ บางคนเลือกไปซื้ออย่างอื่นแทน คลื่นมนุษย์มากมายแห่ลงมาจากเรือเพื่อซื้อเสบียงอาหาร และของใช้จำเป็น ใบหน้าบรรดาเจ้าของร้านต่างประดับไปด้วยรอยยิ้ม เรือลำใหญ่มาเทียบท่าพร้อมกันทีเดียวถึงห้าลำ เงินจำนวนมหาศาลกำลังเทมาที่เกาะแห่งนี้!
ถังหลี่มี่ทำแผ่นแป้งขึ้นมาอีกร้อยแผ่น มันขายหมดภายในพริบตา ปกติร้านของนางขายดีก็จริง แต่ไม่ถึงขนาดทำไม่ทันเช่นวันนี้ หลี่มี่เก็บแผ่นแป้งไว้สี่ห้าแผ่น
“วันนี้ขายดีกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก!” มั่นมั่นใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แม้จะเหนื่อยจนแทบยืนไม่อยู่ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จริงด้วย คนเยอะมาก แถมซื้อของกันมือเติบ หากมีแบบนี้บ่อย ๆ ข้าต้องซื้อบ้านหลังเล็กในตัวอำเภอได้แน่” หลี่มี่ลองคำนวณกำไรของวันนี้ ได้มาเกือบสี่ร้อยอีแปะ!
“เจ้ายังไม่เลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีก! การจะแยกบ้านโดยที่ยังไม่ออกเรือน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะถูกตราหน้าว่าไร้คุณธรรม มิหนำซ้ำยังอกตัญญู! ข้าว่าเจ้าเลิกหวังแล้วหาครอบครัวดี ๆ ออกเรือนไปเสียยังจะมีหวังกว่า” มั่นมั่นพูดตามหลักความเป็นจริงของอาณาจักรนี้ แม้จะไม่เคร่งครัดเท่าแคว้นใหญ่ แต่เรื่องที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งจะแยกครอบครัว เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น!
“ไม่ได้หรอก ข้าเป็นห่วงท่านแม่ จริงซิ! เมื่อครู่ข้าได้ยินยายอู๋พูดว่า วันนี้มีคนมาที่เกาะนี้เยอะ เป็นเพราะมาตามหาซากศพบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองแคว้นวะที่หายไปจากเรือโดยสารกลางดึก พวกกองสอบสวนสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเมาหมดสติจนตกเรือไป คาดว่าศพจะมาเกยตื้นที่เกาะของเราด้วยนะ” ถังหลี่มี่ได้ยินข่าวนี้ตอนไปซื้อแป้งที่ร้านยายอู๋ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีคนมาเยอะ
“ฮะ! บุตรชายคนโตเชียวหรือ? เหตุใดคนรวยพวกนี้ตายง่ายแท้ แค่นั่งเรือเที่ยวยังรนหาที่ตายได้ พวกเราเข้าป่าออกทะเลกันไม่รู้กี่ครั้งยังรอดมาได้!” มั่นมั่นได้ยินแล้วรู้สึกเสียดายชีวิตสุขสบายที่บุตรชายคนนั้นของเจ้าเมืองไม่มีโอกาสได้เสพสุขกับมันอีก
“แต่ข้าได้ยินบางคนพูดว่าเป็นฝีมือโจรสลัด เพราะของมีค่าก็หายไปด้วย” ถังหลี่มี่เล่าเรื่องราวที่ตนเองไปได้ยินมาต่อ ตอนขายของไม่มีเวลา ตอนนี้เป็นเวลาพูดคุยข่าวสารเรื่องชาวบ้านแล้ว
“โจรสลัดมันก็มีกลุ่มที่เลวร้ายอยู่หลายกลุ่ม แต่มันไม่น่าขึ้นเรือพาณิชย์ได้นี่นา ถ้ามีเรือโจรเข้าปล้น ยังไงคนบนเรือก็ต้องรู้ตัว” มั่นมั่นแสดงความคิดเห็น
“แม้จะเกลียดพวกโจรสลัด แต่ข้าก็คิดเช่นนั้น หากจับตัวไปเรียกค่าไถ่ คงไม่รอจนป่านนี้ แถมไม่มีกลุ่มโจรสลัดกลุ่มไหนออกมาเรียกเงินเลย คงจมอยู่ที่ก้นทะเลเป็นแน่”
มั่นมั่นกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นมีเสียงเล็กของเด็กชายคนหนึ่งที่วิ่งกระโจนเข้าใส่ถังหลี่มี่
“ท่านพี่!” เด็กชายเนื้อตัวสกปรกมอมแมมกอดเอวคนที่ตนเองเรียกท่านพี่ ตัวของเขามีแต่กลิ่นมูลหมู ใครเดินผ่านต่างก็มองด้วยสายตาขยะแขยง มือเล็กแห้งของเด็กขาดสารอาหารยังคงกอดผู้เป็นพี่ด้วยความคิดถึง
“เสี่ยวสือ! เจ้าหายไปไหนมาหลายวัน พี่เก็บแผ่นแป้งไว้ให้เจ้ากับท่านแม่ทุกวันเลย รู้หรือไม่!” ถังหลี่มี่กอดน้องชายด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง
เสี่ยวสือเป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน ตอนนี้บิดาหย่าขาดกับมารดาได้เกือบหกปีแล้ว ทำให้มารดาของนางไร้ที่ไปต้องกลับบ้านเดิม ซึ่งไม่ต้อนรับสองคนแม่ลูก บ้านเดิมขับไล่มารดานางให้ไปอยู่เล้าหมู นอนกับหมู กินกับหมูอย่างโหดร้าย
“ข้าคิดถึงท่านจะแย่ ท่านแม่น่ะซิขอรับไม่ยอมให้ข้ามาหาท่าน เอาแต่บ่นกลัวข้าจะรบกวนท่าน” เสี่ยวสือรีบฟ้องพี่สาว เขาอยากมาหาพี่สาวทุกวัน แต่ท่านแม่ห้ามเสมอ บอกว่าทั้งตัวเขาและท่านแม่จะเป็นตัวถ่วงพี่หลี่มี่ไม่ได้
[1]1 ชั่วยาม = 3 ชั่วโมง
[2] 1 เค่อ = 15 นาที
>>> มี E-Book แล้วนะคะ
เล่ม 1
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAxO30
เล่ม 2
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAyO30
บทที่ 3 แรกพบ
“ท่านแม่คิดมากไปเอง เจ้าจงดื้อกับท่านแม่ในเรื่องนี้ แล้วมาหาพี่ทุกวัน นี่แผ่นแป้งสำหรับวันนี้ กินซะ! ส่วนนี่เอากลับไปกินกับท่านแม่” ถังหลี่มี่นำแผ่นแป้งใส่กระดาษเนื้อหยาบ แล้วยัดใส่อกเสื้อน้องชาย
“ขอบคุณขอรับท่านพี่” เสี่ยวสือยิ้มโชว์ฟันหลอ ที่เบ้าตามีรอยเขียวช้ำ
ถังหลี่มี่รีบจับหน้าน้องชายให้เงยขึ้น รอยเขียวช้ำชัดเจน มิหนำซ้ำที่มุมปากยังมีรอยแตก “ใบหน้าของเจ้า! ถูกผู้ใดทำร้ายมา! บอกพี่มาเดี๋ยวนี้!”
“แค่เรื่องเด็ก ๆ น่ะท่านพี่ ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ข้ากับเพื่อนในหมู่บ้านเล่นกันเช่นนี้เป็นประจำ ท่านก็รู้นี่นา” เสี่ยวสือพูดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากัดแผ่นแป้งแสนอร่อยของพี่สาว
เด็กที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายเลือดโจรสลัด กลุ่มที่เคยบุกยึดเกาะมู่ต่าว จะถูกชาวเมืองชิงชังเป็นอย่างมาก เสี่ยวสือถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ แม้จะอายุเพียงห้าหนาว บาดแผลทั้งบนหน้าและตามร่างกายไม่เคยหายไปจากเด็กคนนี้
เสี่ยวสือไม่ใช่เด็กช่างฟ้อง เหตุเพราะรู้ดีแก่ใจ ฟ้องไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะนำมาความยุ่งยากมาให้มารดา ที่ผ่านมาเด็กน้อยยอมถูกทำร้ายให้มันจบ ๆ ไป ครั้งไหนหลบเลี่ยงจอมเกเรในหมู่บ้านได้เขาก็หลบ ขอเพียงชีวิตที่สงบสุขเพียงเท่านั้น เสี่ยวสือยอมได้ทุกอย่าง
“เจ้าแน่ใจนะ!? อย่ามาหลอกพี่ ใครทำร้ายเจ้า เจ้าก็สวนกลับไป เอาให้เด็กพวกนั้นเข็ดหลาบไม่กล้าทำอีก” ถังหลี่มี่สั่งสอนน้องชาย เขาเพิ่งมีอายุห้าหนาว แต่กลับมีบาดแผลเต็มตัว ไม่รู้จะมีชีวิตรอดไปจนถึงวัยหนุ่มหรือเปล่า!
“ใช่! ตั้งแต่พี่มั่นมั่นเจอเสี่ยวสือ ไม่มีเลยสักครั้งที่ใบหน้าเจ้าจะขาดบาดแผล” มั่นมั่นเริ่มเก็บร้านหันมาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำสอนของ หลี่มี่
“ไม่เป็นไรขอรับ พวกเราแค่เล่นกันจริง ๆ วันนี้ข้ามาช่วยท่านพี่กับท่านพี่มั่นมั่นเก็บร้าน” เสี่ยวสือกินแผ่นแป้งได้ครึ่งแผ่น ส่วนที่เหลือเด็กน้อยเก็บไว้ในอกเสื้อ ร่างเล็กผอมกะหร่องแต่กลับว่องไวช่วยท่านพี่และท่านพี่มั่นมั่นเก็บร้านด้วยความช่ำชอง
“จริงซิเสี่ยวสือ” ถังหลี่มี่นึกบางอย่างขึ้นได้ นางล้วงหยิบถุงเงินออกมา จากนั้นนับเงินหนึ่งร้อยอีแปะใส่อกเสื้อน้องชาย “เงินนี่เจ้าเอากลับไปให้ท่านแม่ จำไว้ต้องหลบสายตาป้าสะใภ้ให้ดี อย่าให้นางเห็นเด็ดขาด”
ป้าสะใภ้เป็นคนเช่นไรเสี่ยวสือทราบดี “ขอรับ! ท่านพี่ดีที่สุดเลย ท่านแม่น่ะ กินเพียงผักป่ามาหลายวันแล้ว หมูที่เลี้ยงไว้สามตัวก็โตเกือบจะเต็มที่ พวกมันกินจุมาก แทบไม่เหลือผักป่าให้ข้ากับท่านแม่กินเลยขอรับ”
ร่างเล็กถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากมาย เด็กน้อยเกิดมาเห็นเพียงมารดาและพี่สาวคนโตที่มอบความรักให้ตนเอง เขาอยากจะตอบแทนทั้งมารดาและท่านพี่ แต่จนใจทุกวันทำประโยชน์ได้เพียงเก็บผักป่ามาเลี้ยงหมู
“เจ้าต้องมาหาพี่ทุกวัน มาเอาแผ่นแป้งและน้ำเต้าหู้ไปให้ท่านแม่กิน ตัวเจ้าเองก็จะได้กินของที่มีประโยชน์ โตไปเป็นบุรุษที่ร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่ ต่อไปต้องปกป้องท่านแม่และพี่สาวอย่างข้าไงเล่า”
“ขอรับ! ข้าจะแอบมาหาท่านพี่ทุกวัน!” มาหาพี่สาวได้ทั้งของกินทั้งเงิน เด็กเห็นแก่กินยิ้มจนตาหยี แค่แผ่นแป้งแสนธรรมดาก็ทำให้เสี่ยวสือมีความสุขที่สุดแล้ว
“ดีมาก! เก็บของเสร็จแล้วไปฟังนิทานกันต่อนะ! มั่นมั่นไปด้วยกันมั้ย?” ถังหลี่มี่ชอบฟังนิทานเป็นชีวิตจิตใจ นางชอบเรื่องที่ตัวเอกสู้ชีวิต และประสบความสำเร็จในตอนจบ นิทานคือกำลังใจในการใช้ชีวิตของนาง ต่อให้เหนื่อยหรือลำบากเพียงใด พอคิดว่าสุดท้ายแล้วชีวิตจะสุขสบายเหมือนตัวละครเอก นางก็มีกำลังฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง!
“ข้าไม่ชอบฟัง ข้าขอกลับบ้านไปบดข้าวโพดต่อละกัน เมื่อคืนข้าบดข้าวโพดจนดึกดื่น แทบไม่ได้นอน” มั่นมั่นไม่อยากเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระ นางต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวใหญ่หลายสิบคน หาเงินมาได้เท่าไรก็ไม่เพียงพอ
“งั้นแยกกันตรงนี้ ข้าพาน้องชายไปฟังนิทานก่อนนะ” ถังหลี่มี่แยกย้ายกับเพื่อนรักที่ตลาดท่าเรือ นางเข็นรถไปฝากไว้ที่จุดจอดรถเข็น ก่อนจะจูงมือเสี่ยวสือน้อยเข้าไปในตัวเมืองด้วยกัน
ตลอดทางเดินเป็นร้านรวงขายของแปลกตา เมืองท่ามักมีเรือสินค้าจากหลากหลายแคว้นผ่านมา และจะนำมาขายให้กับเกาะและเมืองแทบนี้ เกาะมู่ต่าวมีสินค้าหลากหลายมากที่สุดเกาะหนึ่ง โกดังสินค้ามากมายสร้างเรียงรายอยู่ทิศตะวันออกของเกาะ แม้แต่เมืองหลวงของแคว้นต้าลู่ยังต้องมารับสินค้าจากเกาะนี้
“ข้าจะได้ฟังนิทานอีกแล้ว! ดีใจจังเลยขอรับ” เสี่ยวสือยิ้มอวดฟันหลอไปตลอดทาง การฟังนิทานจิบชาเป็นเรื่องสิ้นเปลืองของเหล่าบัณฑิต วันนี้ดูท่าพี่สาวจะขายดีจึงพาเขามาฟังนิทานก่อนกลับ
ถังหลี่มี่เดินผ่านร้านผ้าแห่งหนึ่ง นางจำได้ว่าเคยซื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีให้มารดากับน้องชายสองพับ แต่ไม่เคยเห็นน้องชายนางใส่เสื้อผ้าจากผ้าผืนนั้นเลยสักครั้ง
“เสี่ยวสือ ผ้าที่พี่เคยซื้อให้เจ้าทำไมไม่ตัดชุดใหม่ใส่ ชุดนี้พี่เห็นเจ้าใส่มาตั้งแต่อายุสามขวบแล้วไม่ใช่หรือ มันบางจนแทบจะมองเห็นเนื้อเจ้าแล้ว ไม่ว่าร้อนหรือหนาวคงกันอะไรมิได้ทั้งนั้น”
“เอ่อ… คือ” เสี่ยวสือหุบยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงผ้าสองผืนนั้น “ป้าสะใภ้แย่งไปจากมือของท่านแม่เลยขอรับ นางเอาไปตัดชุดให้พี่สาวใหญ่แล้ว”
พี่สาวใหญ่คือลูกสาวคนโตของลุงใหญ่ ตอนนี้ที่บ้านถูกปกครองด้วยครอบครัวของลุงใหญ่ ส่วนท่านตากับท่านยายก็เข้าข้างลูกชายคนโต สั่งให้ลุงใหญ่หาชายแก่พิการให้มารดาแต่งงานออกไปด้วยซ้ำ
“อะไรกัน! ผ้าสองผืนนั้นข้าใช้เงินซื้อไปตั้งสองตำลึง!” ถังหลี่มี่แทบเข่าทรุดเมื่อได้รู้ความจริง นางตั้งใจซื้อให้มารดาและน้องชายในวันชุนเจี๋ย[1] และตั้งใจเก็บเงินซื้อผ้าใหม่ให้น้องสาวอีกสองคนในวันหยวนเซียว[2] แผนนี้คงต้องล้มเลิกไปก่อนอีกแล้ว!
“ท่านพี่! ข้าขอโทษขอรับ ข้าปกป้องมันไว้ไม่ได้! ป้าสะใภ้ใหญ่ขู่จะไล่ข้ากับท่านแม่ นางบอกว่าถ้าไม่ให้ผ้าก็ไสหัวออกไปจากเล้าหมูบ้านนางซะ” เสี่ยวสือเจ็บใจอย่างยิ่ง เล้าหมูเหม็น ๆ นั่นใครจะอยากอยู่กัน! เสียดายยิ่งนักที่ตอนนี้ตนเองยังเด็กเกินไป ไม่สามารถปกป้องมารดากับพี่สาวได้
“นางเป็นหญิงแล้งน้ำใจที่แสนร้ายกาจ ต่อไปเจ้าต้องระวังตัวให้ดี พี่คิดน้อยไปเอง ต่อให้เจ้ากับท่านแม่ตัดชุดใหม่ใส่อยู่บนตัว สุดท้ายแล้วพวกนางก็จะแย่งไปอยู่ดี!” ถังหลี่มี่เดินอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก นางคิดถึงแต่เรื่องบ้านที่อยากจะซื้อ
“ท่านพี่ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวนี้ข้าจะเข้าบ้านตอนที่นางไม่อยู่ แผ่นแป้งนี้ต้องตกถึงท้องท่านแม่แน่นอนขอรับ!” เรื่องนี้เสี่ยวสือจะไม่ยอมทำพลาดเด็ดขาด
“เก่งมาก” นางกับน้องชายเดินมาถึงร้านน้ำชาริมชายหาด เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังลั่นออกมาจากด้านในร้าน กลิ่นชาหอม ๆ โชยออกมา ร้านนี้มีขนาดใหญ่มาก เพราะมีแค่ชั้นเดียว ด้านที่ติดกับทะเลเป็นกระจกราคาแพงจากดินแดนตะวันตก
“มากันสองท่านนะขอครับ” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มต้อนรับแขกมาแต่ไกล ไม่สนเสื้อผ้าสภาพเก่าซอมซ่อของสองพี่น้อง
“ใช่ ข้ากับน้องชายมาฟังนิทานเจ้าค่ะ ขอที่นั่งแถว ๆ คนเล่านิทานหน่อยนะเจ้าคะ” ถังหลี่มี่เข้ามาฟังนิทานร้านนี้เพราะบริการดี ไม่ว่าจะแต่งชุดขุนนางหรือผ้าป่านแสนธรรมดา ก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกัน
“เชิญทางนี้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เดินนำไปที่โต๊ะสองที่นั่งตัวหนึ่ง ตอนนี้คนเล่านิทานกำลังเล่าถึงตอนสำคัญ แขกในร้านต่างเงียบฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ถังหลี่มี่สั่งน้ำชาและขนมอีกนิดหน่อย จากนั้นตั้งใจฟังนิทานการผจญภัยในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เสี่ยวสือฟังนิทานอย่างเพลิดเพลิน พี่สาวซื้อขนมให้เขากินสองอย่างก่อนกลับ ทั้งสองแยกกันตรงจุดจอดรถเข็น
ถังหลี่มี่เข็นรถกลับบ้านเพียงลำพัง เส้นทางแม้จะขรุขระแต่มีผู้คนเดินผ่านไปมาตลอด จึงไม่เคยมีโจรป่ามาออกอาละวาด สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไผ่
ลมพัดแรงจนกิ่งไม้ปลิวไหว ใบไม้เสียดสีกัน เกิดเป็นเสียงแปลกประหลาด หลี่มี่เข็นรถกลับบ้านคนเดียวรู้สึกขนลุกขึ้นมา “คงไม่มีวิญญาณร้ายหรอกนะ ที่รู้สึกเย็นต้องมาจากลมพัดแน่!”
นางให้กำลังใจตัวเอง เสียงแค่นี้นางไม่กลัวเลยสักนิด สองเท้าน้อยซอยถี่ยิบราวกับวิ่งบนอากาศ
“อ๊าก!” เสียงปริศนาดังมาจากในป่าไผ่
ถังหลี่มี่ชะงักเท้าทันที นางไม่กล้าหันไปมองทางอื่น มือสองข้างกำที่จับรถเข็นแน่น แล้วรีบวิ่งออกไปให้ไกลจากเสียงนั้นมากที่สุด
‘ตึก ตึก ตึก’ เสียงฝีเท้าดังออกมาจากป่าไผ่อีกครั้ง
ครานี้หลี่มี่หลับหูหลับตาวิ่งไม่คิดชีวิต ทันใดนั้นเอง มีร่างหนึ่งโผล่มาจากป่าไผ่ ตัดหน้ารถของนาง
“หลบไปนะ!” หลี่มี่วิ่งมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี นางหยุดไม่ทันจึงชนเข้ากับร่างนั้นอย่างแรง
‘ปัง!’ ร่างนั้นล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ถังหลี่มี่กลัวจนใจเต้นแรง คงไม่มีใครวิ่งมาให้นางชนจนตายหรอกนะ!
ถังหลี่มี่รีบวิ่งไปดูด้านหน้ารถเข็น นางเห็นโลหิตสีแดงกองโตอยู่ที่พื้น “นี่ข้าชนแรงขนาดนี้เลยหรือ!”
นางรีบเข้าไปช่วยคนเจ็บ จากเสื้อผ้าน่าจะเป็นพ่อค้าวาณิชจากต่างแคว้น นางจับเขาพลิกหงายเพื่อดูหน้า แต่บุรุษผู้นี่สวมหน้ากากอสูรสีดำปิดบังไว้ คนไม่อยากให้ดู นางจึงไม่ฝืนใจถอดมันออก
“นายท่าน! ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” คำถามนี้ตลกสิ้นดี เลือดออกเยอะขนาดนี้ไม่ตายก็ถือว่าใช้บุญเก่าไปจนหมด!
นางสำรวจร่างกายเขาอย่างผ่าน ๆ เห็นเลือดมากมายไหลออกมาจากท้อง ดูแล้วน่าจะเป็นรอยถูกแทงมาแน่
“แข็งใจไว้นะเจ้าคะ ข้าจะพาท่านไปหาท่านปู่เซียว!” ถังหลี่มี่ลากตัวชายปริศนาขึ้นมาไว้บนรถเข็น ปู่เซียวคือหมอของหมู่บ้าน นางรีบเข็นรถเปลี่ยนทางจากบ้าน เป็นทางไปบ้านท่านปู่เซียวแทน
เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากใบหน้าภายใต้หน้ากาก “ปล่อยข้า!”
“ท่านบาดเจ็บ ข้าจะพาไปรักษา” นางเร่งความเร็วในการผลักรถไปข้างหน้า
“ไม่ต้อง! จอดรถเดี๋ยวนี้” บุรุษปริศนาปฏิเสธการช่วยเหลือเสียงแข็ง
“แต่ท่านจะตายนะเจ้าคะ!”
“ปล่อยให้ข้าตาย ให้ข้าตายอยู่ตรงนี้แหละ”
“แต่ว่า…” แต่ว่านางเพิ่งชนเขาไปนะ นี่คงไม่ใช่พวกคนร้ายที่ชอบเรียกร้องเงินค่าบาดเจ็บหรอกนะ!
“หากเจ้าไม่อยากให้คนในหมู่บ้านตายกันหมด ก็ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” เสียงหายใจของเขาแผ่วเบาแต่ทรงพลัง
“ตายหมดหมู่บ้าน!? งั้นเชิญท่านลงตรงนี้!” ล้อรถเข็นหยุดหมุนทันทีที่ได้ยิน ถ้าการช่วยคนคนหนึ่งทำให้คนในหมู่บ้านเป็นอันตราย งั้นก็เชิญเขาตายอยู่ตรงนี้แหละ!
ถังหลี่มี่ลากชายปริศนาลงจากรถเข็นของตัวเอง ร่างหนาถูกดึงหล่นจากรถเข็นกระแทกพื้นอย่างแรง จากนั้นลากเขามาไว้ใต้ร่มไผ่
“โอ๊ะ!” เสียงร้องด้วยความเจ็บของบุรุษปริศนา
ถังหลี่มี่ไม่มีเวลาเห็นใจ นางรีบเข็นรถกลับบ้านทันที ชายคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา! ชาวบ้านจน ๆ อย่างนางอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า ไม่งั้นแม้แต่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชานเขานี้ก็อาจจะไม่มีอีกต่อไป!
ลู่ฮ่าวอู๋เงยหน้าขึ้นมาอีกที เด็กสาวคนนั้นวิ่งหายลับไปแล้ว ไม่คิดว่าคำขู่เพียงไม่กี่คำจะเห็นผลขนาดนี้
เขาใช้มือกดบาดแผลที่ถูกยิง เลือดจำนวนมหาศาลไหลหยดลงพื้นมาตลอดทาง ศัตรูตามมาถูกทางแน่ หากตามเด็กคนนั้นไปให้หมอรักษา พวกนางต้องถูกฆ่าตายหมดทั้งหมู่บ้าน
ลู่ฮ่าวอู๋ฉีกแขนเสื้อมารัดบาดแผลห้ามเลือด หากไม่รีบรักษา คราวนี้ได้ตายจริงแน่ ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้า ยังไม่มีสัญญาณไฟจากลูกน้อง เขาต้องกัดฟันทนรอต่อไป
มือที่มีแต่คราบเลือดบรรจุกระสุนดินปืน ตอนนี้ร่างกายไม่พร้อมใช้ดาบ ต้องเอาชีวิตรอดด้วยปืนฝรั่งกระบอกนี้เท่านั้น!
[1] วันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันตรุษจีน หรือ วันปีใหม่จีน
[2] เทศกาลโคมไฟ ผู้คนจะถือโคมไฟกระดาษออกไปวัดตอนกลางคืน และพากันทายปริศนาที่อยู่บนโคมไฟ
>>> มี E-Book แล้วนะคะ
เล่ม 1
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAxO30
เล่ม 2
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiOTkyNzgwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO2k6MjUyOTAyO30