ข้ามีระบบสุดแกร่งหลังอารยธรรมโลกล่มสลาย
ข้อมูลเบื้องต้น
เด็กหนุ่มไม่เอาไหนจากโลกยุคปัจจุบัน ทว่าเขาเป็นเพียงไม่กี่คนที่ได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตรอดต่อไปเพื่อเหล่ามวลมนุษยชาติโดยโครงการจำศีลมนุษย์สุดล้ำหน้าจากนวัตกรรมสุดล้ำยุค. . .
เขาเหมาะสมงั้นหรอ ? คนไม่เอาไหนแบบเขาไม่มีแม้ความสามารถที่จะก่อกองไฟเองด้วยซ้ำ
แต่กำลังใจสุดท้ายก็ทำให้ฮึดขึ้นสู้
เขาตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เป็นตัวตนใหม่ในโลกอารยธรรมย้อนยุคสุดแฟนตาซีราวกับหลุดออกมาจากเกม ความสามารถด้านการเล่นเกมของเขาจะช่วยเขาได้หรือไม่ ?
และด้วยเหตุผลกลใดไม่มีใครรู้ เขาตื่นขึ้นพร้อมระบบสุดโกงคอยช่วยเหลือ
สุ่มเลือกอาชีพงั้นหรอ เหอะ! ข้าได้เป็นมันทุกอาชีพนั่นแหละ!!!!
ต้องคอยดูดซัพพลังงั้นหรอ ไม่จำเป็น!!
มนตราหรือมหามนตรา เขาจะครอบครองมันทั้งหมด!!!
แม้แต่อาวุธในมือ เขาก็เปลี่ยนมันได้ตามใจต้องการ
นิยายเรื่องนี้สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ฉบับเพิ่มเติม พ.ศ.2558 และพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2565
***นิยายเรื่องจะดำเนินไปแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะขอรับ ตัวเอกจะค่อยๆ เติบโตขึ้น ฝึกฝนสะสมพลัง จากจุดต่ำสุดจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด***
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ไม่อ้างอิงหลักประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นเท่านั้น ผู้เขียนไม่มีเจตนาพาดพิงถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด
SETTINGของโลกในงานเขียนคือยุคสมัยของอารยธรรมที่ล่มสลายและย้อนกลับหลังผสมความแฟนตาซี ไม่มีการคำนึงถึงความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น
สามารถกดติดตามให้กำลังใจหรือติชมงานเขียนได้อย่างเต็มที่ตามพื้นฐานวิญญูชนพึงกระทำ
จุดเริ่มต้น
ในช่วงเวลาปัจจุบัน ณ ประเทศแห่งหนึ่งแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศที่มีหน้าตาบนแผนที่โลกคล้ายขวานโบราณ
ก๊อกๆๆ
“วิน ออกมากินข้าวได้แล้วลูก. . .ขึ้นมหาลัยแล้วยังมัวแต่เล่นเกมอยู่อีกหรอ”
“ครับแม่ เกมจะจบแล้วครับเดี๋ยวผมลงไป”
วิน เด็กหนุ่มนักศึกษาปี 1 หน้าตาบ้านๆ พอไปวัดไปวา การเรียนกลางๆ ค่อนไปทางแย่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น หลังกลับจากมหาลัยเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกมภายในห้องสี่เหลี่ยม ไม่ค่อยร่วมกิจกรรมหรือสังสรรค์ใดๆ ต่างจากลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยล้าทุกครั้งที่ต้องเข้าสังคมกับคนหมู่มาก
วินเรียกได้ว่าเป็นพวกอินโทรเวิร์ตของแท้ จึงไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก
วินเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน คุณพ่อเป็นข้าราชการระดับสูงมีภาระหน้าที่รับผิดชอบมากมาย ทำให้เขาแทบจะไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว วันเวลาของเขาเต็มไปด้วยงานและงาน ส่วนคุณแม่เป็นข้าราชการเช่นกันเพียงแต่อยู่คนละหน่วยงานและมีตำแหน่งที่ต่ำกว่าคุณพ่อ ทำให้ฐานะทางครอบครัวนั้นค่อนข้างมั่นคง แต่ก็มิได้ร่ำรวยจนเหลือกินเหลือใช้ฟุ่มเฟือยได้มากนัก
ช่วงเวลาตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาลัยชีวิตวินจึงมีคุณแม่อยู่ด้วยมากกว่า ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้านคุณพ่อจะเป็นคนจัดการ แต่คุณพ่อของวินก็มิใช่คนปล่อยปละละเลย เขาหาโอกาสพูดคุยและอบรมลูกชายทุกครั้งที่มีโอกาส แต่สิ่งที่วินแสดงออกกลับไปก็มีเพียงความรำคาญเท่านั้น คล้ายกับช่วงเวลาของเขาและพ่อมันขาดหายไปจนต่อกันไม่ติด
ทุกครั้งที่คุณพ่อเริ่มเอ่ยปากอบรมเขา เขาก็จะทำเพียงเดินหนีขึ้นห้องปิดประตูเสียงดังและล็อกกลอน
แต่การที่วินเกิดในครอบครัวข้าราชการระดับสูงแบบนี้ ก็ทำให้เขาได้รับความเกรงอกเกรงใจจากคนรอบข้างไม่น้อย แม้แต่มหาลัยที่เขาเรียนอยู่ก็เป็นถึงมหาลัยอันดับ1ในประเทศ เขาได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องลงแรงสอบด้วยซ้ำ สิ่งรอบตัวที่เต็มไปด้วยสิทธิพิเศษนี้คล้ายกับทำให้เขากลายเป็นคนเอื่อยเฉื่อยและขาดความพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆ
วินใช้ชีวิตไปวันๆ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เขาสนใจเพียงเรื่องราวภายในโลกส่วนตัวนั่นคือเกม
วันนี้เป็นวันที่มหาลัยหยุดการเรียนการสอน วินตื่นนอน. . .ไม่สิ ต้องบอกว่าเล่นเกมโต้รุ่งจนยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ กระทั่งเสียงเรียกของคุณแม่ดังขึ้นให้เขาลงไปกินอาหารเช้า เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงเขาถึงจะพาตัวเองลุกออกจากหน้าคอมพิวเตอร์ได้
คุณแม่ที่รอกินข้าวเช้าด้วยตอนนี้ออกจากบ้านไปทำงานได้สักพักแล้ว โจ๊กหมูใส่ไข่2ฟองอุ่นๆ ที่คุณแม่เตรียมเอาไว้ให้ตอนนี้เริ่มเย็นชืด เขาตักทานโดยไม่คิดอะไรและไม่ให้ความสำคัญนัก
กระดาษแผ่นหนึ่ง คุณพ่อของเขาเขียนข้อความวางไว้ข้างๆ จานก่อนที่จะออกไปทำงาน ในนั้นมีข้อความเขียนไว้ให้เขาตั้งใจทบทวนอ่านหนังสือและตั้งใจเรียน รวมถึงข้อความที่แสดงความเป็นห่วงและหวังดีต่างๆ ทั้งในตอนนี้ไปถึงในอนาคตของเขา คุณพ่อมักจะวางกระดาษแบบนี้ไว้ทุกเช้าก่อนออกไปทำงานเสมอ และจะกลับมาก็กลางดึก แต่บางครั้งก็นอนที่สำนักงานไม่กลับบ้าน
เขาอ่านมันผ่านๆ ไม่ถึงครึ่งของข้อความทั้งหมดก่อนจะขยำกระดาษแผ่นน้อยนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกง
ตักทานอาหารเพียงไม่กี่คำ เสียงรถฉุกเฉินและสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นระงม เสียงโหวกเหวกแตกตื่นของผู้คนดังลอดเข้ามาภายในบ้าน เขาแง้มหน้าต่างออกเล็กน้อยสำรวจสถานการณ์ภายนอก ในสายตาเห็นผู้คนกำลังก้มอ่านบางอย่างในโทรศัพท์ด้วยสีหน้ากระวนกระวายหนัก ก่อนที่พวกเขาจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่และออกวิ่งเตลิดคล้ายเร่งรีบ
รถที่ขับผ่านถนนหน้าบ้านต่างก็ขับด้วยความเร็วจนผิดปกติ ทุกคนในตอนนี้ดูเร่งรีบกันทั้งหมด
ด้วยความสงสัยเขาเดินอย่างเชื่องช้ากลับขึ้นไปบนห้องเพื่อหยิบโทรศัพท์
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นฟระเนี่ย”
วินสบถออกมาเมื่อเห็นจำนวนข้อความและจำนวนสายโทรเข้าที่ไม่ได้รับนับร้อยๆ สาย มีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นทั้งจากกลุ่มเพื่อน มหาลัย รวมถึงพ่อและแม่ อีกทั้งสื่อโซเชียลต่างๆ ที่มีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นจนเต็มหน้าจอโทรศัพท์ ไม่เว้นแม้แต่ข้อความด่วนจากบริษัทผู้พัฒนาเกมที่เขาเล่นอยู่
เอี๊ยดดดดด
ไม่ทันที่วินจะได้เปิดอ่านแจ้งเตือนในโทรศัพท์ เสียงล้อรถเบรคแรงเสียดกับพื้นถนนดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน เขารีบวิ่งลงจากห้องไปดูทันที เขามองรอดออกไปทางช่องหน้าต่างบานเดิม มีกลุ่มคนใส่ชุดสูทสีดำเปิดประตูลงมาจากรถตู้สีดำสนิทด้วยความเร่งรีบ หูข้างหนึ่งของพวกเขาสวมหูฟังสำหรับใช้สื่อสาร พวกเขาทุกคนมีอาวุธปืนในมือ
ปังๆๆ เสียงเคาะประตูแรงๆ ดังขึ้น
“มีใครอยู่ไหมครับ”
วินยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ไม่ยอมตอบกลับเพราะความกลัว เป็นใครบ้างจะไม่กลัวถ้าจู่ๆ ก็มีกลุ่มคนถืออาวุธมาเคาะประตูบ้านแบบนี้
เขาถอยออกจากหน้าต่างรีบหันหลังจะวิ่งขึ้นไปบนห้อง แต่ว่ากลุ่มคนในสูทดำนั้นไม่รีรอ เสียงพังประตูดังขึ้นพร้อมคนในสูทดำที่วิ่งกรูกันเข้ามา
“เจอตัวลูกชายท่านแล้ว”
“พาตัวเขามาได้เลยเวลาจะหมดแล้ว”
“รับทราบ”
“เดี๋ยวสิครับ มันเกิดอะไรขึ้. . .โอ้ยๆ”
“พวกผมถูกส่งมาตามคำสั่งคุณพ่อของคุณ ไม่มีเวลาอธิบายแล้วครับรีบไปกันเถอะ”
คนในสูทดำเข้าล็อกตัวและลากวินออกจากบ้านทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก
ตลอดทางที่รถตู้สีดำขับผ่าน สังคมเมืองที่เคยสงบสุขตอนนี้เต็มไปด้วยความอลหม่านของผู้คน มีกลุ่มชุมนุมประท้วงรัฐบาล และกลุ่มคนหัวรุนแรงก่ออาชญากรรมมากมาย แม้แต่คนที่สวมเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจตอนนี้กลับบุกปล้นห้างร้านค้า ผู้คนกำลังแย่งชิงอาหารและข้าวของจำเป็นกันอุตลุด
ปัง
ตำรวจคนนั้นยื้อแย่งข้าวสารกระสอบหนึ่งกับผู้ชายอีกคนแต่งกายคล้ายพนักงานออฟฟิศทั่วไป ตำรวจคนนั้นตัดสินใจยกปืนขึ้นยิงใส่เขาล้มลงแน่นิ่ง แต่คล้ายกับว่าความรุนแรงนี้ไม่มีใครสนใจ ทุกคนยังก้มหน้าหยิบโกยข้าวของไปให้มากที่สุด
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันครับ ตอบผมหน่อยสิครับ. . .แล้วเราจะไม่ช่วยผู้ชายคนนั้นหรอครับ เขาถูกยิงนะครับ”
วินตะโกนเสียงดังแต่ก็ไร้การตอบกลับจนกระทั่งรถตู้วิ่งผ่านพื้นที่ไป
วินพยายามตั้งสติและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะอ่านข้อความ แต่ทว่าตอนนี้สัญญาณและข้อมูลทั้งหมดเหลือเพียงแค่ไอคอนสีขาว ข้อความนับร้อยๆ ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเปิดดูได้อีก ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือโทรได้ คล้ายกับระบบการสื่อสารและเซิฟเวอร์ข้อมูลทั่วทั้งโลกล่ม
รถตู้ยังคงวิ่งผ่านความโกลาหลที่เกิดขึ้นตลอดทางไปเรื่อยๆ คนขับเหยียบคันเร่งขับฝ่าทุกอย่างที่ขวางถนนเอาไว้จนกระทั่งมาถึงพื้นที่พิเศษของรัฐบาล ทางเข้าถูกรักษาความปลอดภัยแน่นหนาด้วยกองกำลังทหารอาวุธครบมือ
เบื้องหน้าของทหารเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มาชุมนุมประท้วงนับพันนับหมื่น เสียงตะโกนของผู้ชุมนุมดังเข้ามาภายในรถ วินจับใจความได้คร่าวๆ ว่ากลุ่มผู้ประท้วงต้องการให้รัฐบาลเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไปภายใน
รถตู้สีดำขับอ้อมไปเข้าทางประตูด้านหลังที่มีการป้องกันเข้มงวดยิ่งกว่า เมื่อเข้ามาแล้ว เขาก็ถูกนำตัวลงจากรถและรถตู้คันเดิมก็ขับย้อนกลับออกไปอีกครั้งด้วยความเร็ว คล้ายว่าต้องไปรับใครอีกหลายคน
พื้นที่ตรงหน้ามีคนของรัฐบาลในชุดกาวน์สีขาวคล้ายหมอและนักวิทยาศาสตร์เต็มไปทั่วทั้งพื้นที่ หนึ่งในนั้นเดินมานำทางวินด้วยความรีบร้อน ระหว่างทางเดินนั้นเข็มเล่มน้อยก็ถูกจิ้มเข้าที่นิ้วชี้ข้างขวา เข็มนั้นหยดเลือดลงบนอุปกรณ์บางอย่างขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าโทรศัพท์มากนัก
เพียงไม่นานข้อมูลเลือดและดีเอ็นเอก็ปรากฏบนหน้าจอและยืนยันว่าวินเป็นลูกชายของคุณพ่อจริงๆ ไม่นานก็เดินมาถึงประตูห้องห้องหนึ่ง วินที่เล่นเกมมามากเพียงแค่เห็นประตูห้องนี้ก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ประตูสำนักงานธรรมดาๆ แต่คล้ายทางเข้าบังเกอร์หรือห้องหลบภัยระดับร้ายแรงมากกว่า ประตูบานนี้ทำมาจากโลหะพิเศษที่หนาและทนแรงระเบิดได้
“ยืนยัน VVIP พาตัวเขาไป”
“รับทราบ. . .เชิญครับ”
ทหารเฝ้าประตูตอบรับกับคนในชุดกาวน์สีขาวและกดรหัสเปิดประตูทันที
ครืนนน
ประตูเปิดออกเผยให้เห็นภายใน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจพ่อๆ แม่ๆ รี้ดด้วยนะขอรับ
ช่วงอัพเดทแรก จะลงตอนทุกๆ ครึ่งชั่วโมงนะขอรับ
♥
หลับใหล
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ดวงตาของวินเปิดออกกว้างทันทีเมื่อมองเห็นพื้นที่ภายใน มันดูคล้ายกับห้องแล็บทดลองบางอย่าง มีเตียงนอนรูปทรงคล้ายแคปซูลมีฝาปิดเป็นกระจกใส มันคล้ายเตียงนอนที่หลุดมาจากภาพยนตร์ไซไฟวางเรียงไว้ราวๆ สิบเครื่อง แต่ละเครื่องมีสายไฟเส้นใหญ่หลายเส้นต่อพ่วงพะรุงพะรัง และยังมีแผงวงจรและหน้าจอขนาดเล็กใช้สำหรับตั้งค่าและแสดงผลต่างๆ ฝังไว้บนขอบด้านหนึ่ง
“ผมจะไม่อธิบายอะไรมากเพราะในสายตาผมพวกคุณทุกคนตรงนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย แค่บังเอิญโชคดีเกิดมาเป็นลูกของคนสำคัญเท่านั้น”
นายทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
วินมองไปด้านข้างของตนเองเห็นคนทั้งชายหญิงที่อายุคราวเดียวกัน พวกเขาคงจะเป็นลูกชายและลูกสาวของคนสำคัญแบบที่นายทหารคนนั้นกล่าว เช่นเดียวกับเขาที่เป็นลูกชายของคุณพ่อ
“แต่พวกคุณทั้งหมดตรงนี้อาจจะเป็นอนาคตสำหรับมนุษยชาติ ผมได้รับคำสั่งมาให้อธิบายวิธีการเอาตัวรอดหลังจากตื่นขึ้นจากระบบจำศีล ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณ”
“ระบบจำศีลงั้นหรอ”
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นไม่เบาไม่ดัง
นายทหารระดับสูงคนนั้นไม่พูดพร่ำ เขาเริ่มอธิบายและสาธิตทันทีถึงวิธีใช้งานแผงควบคุมที่อยู่ภายในแคปซูลเตียงนอน และอุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้นที่จะถูกเก็บไว้ในช่องเก็บของข้างๆ เตียงแคปซูล
แต่ทุกคนตกอยู่สภาวะวิตกหนักและไม่สนใจฟังมากนัก พวกเขาเริ่มเอ่ยปากถามถึงสถานการณ์ รวมถึงพ่อแม่ของพวกเขาว่าอยู่ที่ไหนแต่ก็ไร้คำตอบ แม้แต่วินเองก็พยายามกดโทรศัพท์โทรออกและส่งข้อความหาพ่อแม่ แม้เขาจะรู้เต็มอกว่าระบบสื่อสารทั้งหมดล่มไปนานแล้ว
“เอาล่ะ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจดีแล้ว เตรียมตัวได้”
นายทหารระดับสูงกล่าวพลางพยักหน้าให้กับทหารใต้สังกัด ทหารเหล่านั้นเดินเข้ามาตรวจค้นร่างกาย ยึดทุกสิ่งที่มีลักษณะเป็นโลหะและเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่วงเวลานั้นเองที่ความโกลาหลเริ่มขึ้น
“ไม่ ผมจะไม่ทำตามที่พวกคุณบอก อยากมาแตะต้องโทรศัพท์ผม ผมอยากเจอพ่อกับแม่ถ้าไม่ได้เจอ ผมไม่มีทางเข้าไปในเครื่องบ้าๆ นั่นเด็ดขาด”
“ใช่ ฉันเองก็จะไม่เข้าไปค่ะ พวกคุณพาตัวเรามาที่นี่แต่ไม่อธิบายอะไรให้เราเข้าใจเลย พวกคุณเอาแต่บังคับเราให้ทำนู่นทำนี่ แถมคุณยังพูดจาไม่น่าฟังอีก. . .ฉันไร้ค่างั้นหรอ คุณทหารคุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
หญิงสาวใบหน้างดงามคนหนึ่งกล่าวด้วยความโมโหพลางยกมือชี้ไปยังนายทหารตรงหน้า เธอไม่ชอบคำพูดของทหารระดับสูงคนนั้นแม้แต่น้อย วินเห็นใบหน้าเธอก็จดจำได้ เธอเป็นไอดอลสาวที่โด่งดังในโลกออนไลน์ เรียกได้ว่าเกิดมาพร้อมทุกด้านทั้งฐานะทางครอบครัว ความสามารถของตัวเธอเองและใบหน้าที่งดงามโดยไม่ต้องผ่านมือหมอ
เธอร่ำรวยและประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาสิทธิพิเศษของพ่อแม่ด้วยซ้ำ ซึ่งแตกต่างจากตัวของวินลิบลับ
“ห้านาทีกับอีกสี่สิบแปดวินาที”
นายทหารระดับสูงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไร้อารมณ์ พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง
“ขอโทษนะ นี่คุณไม่ได้ยินที่ฉันพู. . .”
“มันคือเวลาที่พวกคุณมีเหลืออยู่”
คลิก
เขาใช้มือคลิกหนึ่งครั้งบนเครื่องมือบางอย่าง ทันใดนั้นที่กำแพงฝั่งหนึ่งก็ปรากฏภาพขึ้นจากเครื่องฉายภาพ เป็นภาพจากดาวเทียมและวิธีพุ่งชนของบางสิ่ง
เมื่อภาพฉายไปเรื่อยๆ ทุกคนก็รับรู้ว่าขณะนี้มีอุกกาบาตขนาดยักษ์กำลังลอยอยู่ในอวกาศและกำลังพุ่งเข้าหาโลกในอีกห้านาที ขนาดของมันนั้นขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของขนาดโลก ไม่ต้องนึกภาพเลยว่าหากเกิดการชนกันขึ้นแล้ว ความพินาศระดับไหนจะเกิดขึ้น
ทุกคนในห้องนิ่งอึ้งทั้งหมด ขณะที่ทหารค่อยๆ เก็บเครื่องใช้ข้าวของและโทรศัพท์ออกจากมือของทุกคนอย่างไม่มีใครขัดขืนอีก
“แล้วพ่อแม่ของเรา. . .ละ และทุกคนข้างนอกนั่นละครับ”
ทุกคนรวมถึงวินต่างมองไปยังเด็กชายสวมชุดนักเรียนชั้น ม.ต้น คนนั้นด้วยใบหน้าหดหู่ เพราะคำตอบของคำถามนั้นก็คือ ทุกคนกำลังจะตายกันหมด. . .
“พ่อแม่และครอบครัวของพวกคุณจะถูกจำศีลอยู่ในห้องแล็บแคปซูลในบังเกอร์ถัดไป ไม่ต้องกังวล”
นายทหารระดับสูงเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แต่ถึงแม้จะตอบ ทว่าในแววตาของเขาก็แสดงความโกหกออกมาแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเบี่ยงหน้าหลบไป
ชุดรัดรูปคล้ายชุดบอดี้สูทแขน-ขายาวสีขาวสะอาด มีผิวมันเรียบลื่น เป็นชุดที่คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องจำศีลถูกแจกจ่ายสำหรับทุกคนใช้สวมทับ ในใจของแต่ละคนเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย พวกเขาตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด บรรยากาศรอบด้านเป็นไปด้วยความเงียบงันไม่มีใครกล่าวพูดคุยกันแม้เพียงคำเดียว
เมื่อทุกคนลงไปนอนในเตียงแคปซูลแล้ว กระจกครอบแคปซูลก็ได้ปิดสนิทลง หน้ากากสำหรับหายใจเคลื่อนออกมาจากขอบเตียงฝั่งหนึ่งและสวมครอบปากและจมูก การตั้งค่าขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับจำศีลถูกตั้งไว้ด้วยระบบอัตโนมัติ สารระเหยที่ทำให้หลับพลันถูกปล่อยเข้ามาผ่านสายยางที่เชื่อมต่ออยู่กับหน้ากาก
ทุกคนเริ่มเขาสู่สภาวะแรกคือสภาวะล่องลอย สติความคิดเริ่มเชื่องช้าและเฉื่อยชา ดวงตาพร่ามัวขึ้นช้าๆ ขณะที่สายตาของทุกคนยังคงมองภาพที่ฉายบนกำแพงนั้น คราวนี้มันเป็นภาพที่ส่งตรงมาจากกล้องภายนอกอาคารแบบเรียลไทม์
วินกวาดสายตามองภาพภายนอก จนไปหยุดสายตายังนายทหารระดับสูงคนนั้น เขาดูเข้มแข็งและองอาจแต่ทว่าภาพที่วินเห็น คือเขานั่งหลังพิงกำแพงด้วยท่าทางปลงตก หมวกทหารประดับเครื่องหมายดาวสีทองถูกถอดออกวางไว้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูรูปลูกสาวและภรรยาพร้อมแววตาที่หวาดกลัว
ขณะนั้นภาพที่ฉายแบบเรียลไทม์ก็ทำให้ทุกคนในแคปซูลเบิกตากว้าง อุกกาบาตขนาดมหึมาและเปลวไฟสีส้มแดงกำลังตัดผ่านชั้นบรรยากาศ เงาทมิฬปิดบังแสงจากดวงอาทิตย์จนโลกทั้งใบมืดมิด แสงสว่างเดียวที่มอบให้แก่โลกขณะนี้ คือแสงของสะเก็ดอุกกาบาตที่ลุกติดไฟโชติช่วงราวกับฝนเพลิง
อุกกาบาตนั้นเข้าใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ขนาดก็ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นตาม ผู้คนที่ปรากฏอยู่ในภาพฉายเริ่มวิ่งหนีตายอลหม่าน เสียงกรีดร้องร่ำไห้คร่ำครวญส่งผ่านตัวรับเสียงภายนอกเข้ามายังห้องบังเกอร์
จู่ๆ นายทหารระดับสูงคนนั้นก็เดินมาบังหน้าภาพความโกลาหลที่กำลังฉาย เขาเงยหน้าขึ้นเผยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาและความหวาดกลัว เขาจ้องมองใบหน้าของคนภายในแคปซูลแต่ละใบก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วยกมือขึ้นทำความเคารพก่อนกล่าวเสียงดัง
พรึบ
“ขอให้มีชีวิตรอดด้วยนะครับ”
ครืนนนนนนนน ตูมมมมมมมมมม
โครม ๆ ๆ ๆ
แสงวูบวาบสีแดงเจิดจ้าขึ้นผ่านภาพฉายและสัญญาณภาพก็ขาดหายไป แรงสั่นสะเทือนไหวโยกรุนแรงราวกับโลกทั้งใบที่กำลังแตก ไฟฟ้าและแสงสว่างทั้งหมดพลันดับลง เสียงของผู้คนที่กำลังกรีดร้อง ภาพฉายหรือแม้แต่เสียงของนายทหารระดับสูงก็เงียบหายไปเช่นกัน
เพียงครู่หนึ่งเสียงเดียวที่ก้องดังอยู่ในโสตประสาทการได้ยินของคนในแคปซูล คือเสียงลมหายใจและหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ในอกของตนเอง ทั้งสองเสียงดังถี่และค่อยๆ แผ่วเบาลง เชื่องช้าลง และทุกอย่างก็ค่อยๆเงียบลงพร้อมเปลือกตาที่ปิดสนิท
ตุบๆ ตุบๆ ตุบ. . . .ตุบ. . . .ตุบ
นั่นคือภาพและเสียงสุดท้าย ที่คนภายในแคปซูลทั้งหมดรับรู้ได้ก่อนที่จะเข้าสู่สภาวะขั้นต่อไป. . .รักษาชีพคงที่และหลับใหล
ตื่นขึ้น
เวลาผ่านไปนานแสนนานจนเกินกว่าจะนับ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
[ตรวจสอบสภาพแวดล้อม. . .เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์]
[ตรวจสอบสัญญาณชีพ. . .ปกติ]
[เริ่มกระบวนการปลุกจากสภาวะหลับใหล]
เสียงติ๊ดๆ ของอุปกรณ์ตรวจจับชีพจรดังขึ้น เสียงคำพูดคล้ายเสียงอัตโนมัติของโปรแกรมเอไอ ทำให้วินเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ทำไมวันนี้แม่ไม่มาตามไปกินข้าวเนี่ยแปลกใจจัง. . .ฮึบบบบบ หรือว่าเราหลับลึกเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงแม่นะ”
คล้ายกับวินหลงลืมสิ่งที่เคยรับรู้ไปชั่วครู่ เสียงสะลึมสะลือกล่าวขึ้นด้วยความขี้เกียจ เขายกแขนขึ้นเหนือศีรษะพลางบิดขี้เกียจอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อเขายกแขนขึ้นปลายนิ้วก็ต้องชนเข้ากับขอบของเตียงนอนทรงแคปซูล ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างที่เขาหลงลืมไปจริงๆ
[สิ้นสุดระบบอัตโนมัติตามที่ถูกตั้งค่าไว้ โปรดออกจากแคปซูลด้วยตนเองผ่านแผงควบคุมที่อยู่ด้านข้าง]
[ขอให้ผู้จำศีลโชคดี. . .ตืดดดดดดด]
เสียงโปรแกรมเอไอดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะหายไปและไม่พูดขึ้นมาอีก ทำให้วินลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรวดเร็ว
โป๊ก
โอ้ยยยยยยย
ด้วยความตกใจทำให้วินลุกขึ้นจากเตียงโดยลืมไปว่าเขาอยู่ภายในแคปซูล ใบหน้าของเขากระแทกกับแผ่นครอบกระจกใสเต็มแรงจนจมูกชนเข้ากับแผ่นกระจก มีเลือดไหลเล็กน้อยบริเวณสันจมูก เขาใช้มือกุมเอาไว้ขณะที่ความทรงจำก่อนที่จะหลับไปเริ่มย้อนกลับเข้ามาในความคิด
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ
ความกลัวและความระทึกในช่วงเวลาก่อนหน้าทำให้หัวใจของวินเต้นเร็วรัวขึ้นราวกับหัวใจของเขากำลังจะทะลุออกจากอก เขารวบรวมสติ ดวงตาสอดส่ายซ้ายขวาสำรวจรอบตัว
เขามองไม่เห็นสิ่งใดเพราะรอบด้านภายนอกแคปซูลมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวๆ กะพริบไม่เป็นจังหวะคล้ายกำลังจะดับ แสงนั้นมาจากหน้าจอและแผงควบคุมภายในเครื่องแคปซูลของเขา
[คำเตือน พลังงานกำลังจะหมด โปรดรีบออกจากแคปซูลเพื่อความปลอดภัย]
ตัวหนังสือสีแดงกะพริบขึ้นบนหน้าจอควบคุม พร้อมกับอากาศสำหรับหายใจผ่านสายยางของหน้ากากครอบปากค่อยๆ เบาบางลง
วินเริ่มหายใจติดขัดและสำลักก๊าซที่ผสมออกมากับออกซิเจน เขายกมือขึ้นกดแผงควบคุมทันที ในความทรงจำของเขาจดจำสิ่งที่นายทหารระดับสูงคนนั้นสาธิตให้ดูได้อย่างแม่นยำ มือขวากดจิ้มหน้าจอความคุมจนกระทั่งหน้ากากครอบปากและจมูกของเขาถูกถอดออก
ฟึบ
ฝาครอบกระจกใสเปิดออกพร้อมๆ กับพลังงานที่หมดลงพอดิบพอดี เมื่อแสงสลัวจากหน้าจอดับลงก็ทำให้รอบด้านมืดสนิท สองมือของวินคลำผ่านความมืดดึงสายไฟและสายวัดค่าต่างๆ ที่ติดอยู่ตามร่างกายระโยงระยางออกทีละจุด
ความทรงจำของพื้นที่ห้องยังคงชัดเจน วินเริ่มพาตัวเองออกจากแคปซูล สองมือคลำไปทั่วอย่างสุ่มๆ เขาคล้ายกับคนตาบอดที่กำลังก้าวเดินสุ่มๆ ผ่านภาพจำในหัว
“หืม ทำไมแคปซูลอีกเครื่องถึงมาอยู่ตรงนี้”
วินกล่าวด้วยความประหลาดใจ มือของเขาสัมผัสเข้ากับวัตถุเรียบลื่นมีความโค้งมนเล็กน้อยคล้ายกระจก เขารับรู้ได้ว่าน่าจะเป็นฝาครอบแคปซูลจำศีล
วินแม้จะเป็นคนขี้เกียจไม่เอาไหน ทว่าจุดเด่นของเขาคือเป็นคนช่างสังเกตและจดจำทุกสิ่งที่เขามองได้อย่างชัดเจน พื้นที่ทั้งหมดปรากฏเด่นชัดอยู่ในหัว ภาพของแคปซูลแต่ละเครื่องตั้งห่างกันเรียงกันเป็นแถวแนวนอน ทำให้เขาคาดเดาได้ทันทีว่าห้องบังเกอร์แห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบจากแรงสะเทือนเช่นกัน
แคปซูลที่เขาสัมผัสอยู่ น่าจะเคลื่อนหลุดออกจากแท่นด้วยแรงกระแทกมหาศาลจนมาอยู่ตรงนี้
เขาใช้มือลูบคลำตรวจสอบและรู้ว่าแคปซูลเครื่องนี้ยังคงปิดสนิท ภายในจะต้องมีคนอยู่อย่างแน่นอน วินออกแรงเคาะหลายครั้งและส่งเสียงเรียกคล้ายกับพยายามปลุกคนที่นอนหลับอยู่ภายในให้ตื่นขึ้น ทว่าไร้การตอบรับ แม้แต่แสงสลัวๆ ของแผงควบคุมที่อยู่ภายในก็มืดสนิท วินก้มหน้าลงไปจนหน้าผากสัมผัสกับผิวกระจกเย็นๆ พยายามเพ่งมองเข้าไปในความมืดแต่เขาก็ต้องยอมแพ้ เพราะมองไม่เห็นอะไรจริงๆ เขามองไม่เห็นคนที่นอนอยู่ภายใน
วินละความสนใจพลางยกมือคลำหาต่อ เขาก้าวเดินไปด้านหน้าจนเจอกับกำแพงโลหะและปุ่มกดสำหรับเปิดประตู วินกดย้ำๆ ทว่าไร้การตอบสนอง เสียงถอนหายใจดังขึ้น หากไม่มีพลังงานประตูก็คงไม่ได้ วินยังคงยกมือคลำตามกำแพงต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพื้นผิวกำแพงนั้นหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า
ประตูถูกเปิดเอาไว้แล้ว. . .
วินคิดภายในใจว่าคงจะมีคนตื่นจากจำศีลก่อนหน้าเขาและเปิดประตูเอาไว้ เมื่อออกมาวินยังคงเดินโดยใช้มือสัมผัสกับผนังกำแพงนำทางไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะคล้ายว่ากำลังอยู่ในถ้ำไม่ใช่อาคาร
เขาอยากตามหาห้องแล็บถัดไปตามที่นายทหารระดับสูงคนนั้นเคยบอก พ่อและแม่คงจะจำศีลอยู่ภายในนั้น แต่ทว่ารอบด้านมันมืดเกินไป อีกทั้งนอกจากทางเข้าออกที่เขาเคยผ่านมาก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่รู้โครงสร้างและทางเดินอื่น เขาต้องกลับมาอีกครั้งพร้อมแสงสว่างเพื่อให้มองเห็นพื้นที่
ตลอดทางเดินวินส่งเสียงเรียกผู้คนไปตลอดทางหวังจะมีการตอบรับ แต่ทว่ามีเพียงความเงียบสงัดเท่านั้นที่ตอบรับกลับมา
ไม่นานนักเขาก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างรำไร ร่างกายที่อ่อนกำลังจากการจำศีลนิ่งๆ มานาน เริ่มฝืนออกแรงวิ่ง แสงนั้นลอดผ่านเข้ามาจากช่องดินไม่เล็กไม่ใหญ่ สองมือของวินออกแรงผลักและขุดคุ้ยเพื่อเปิดทางพอที่ร่างกายผอมๆ ของเขาจะลอดผ่านได้
เมื่อเขาออกมาอาการเวียนศีรษะและอยากอาเจียนก็เกิดขึ้นเฉียบพลัน ดวงตาพร่ามัวเพราะเปลี่ยนจากที่มืดมายังที่สว่างรวดเร็วเกินไปจนเขาต้องกะพริบตาถี่ๆ อยู่หลายครั้ง อาจเป็นเพราะเขาจำศีลมานานเกินไปและนี่คงเป็นผลข้างเคียง
อุแหวะะะะะ
วินก้มหน้าอาเจียน แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดออกมาคล้ายกับในท้องของเขาไม่มีอาหารอยู่ โชคดีที่ด้านข้างมีธารน้ำตกสายเล็กๆ ส่งเสียงซ่าๆ เขาก้มตัวลงตักน้ำในลำธารด้วยสองมือเปล่าล้างหน้าบ้วนปาก
หลังจากอาการอยากอาเจียนหายไป เขาก็ต้องเบิกตากว้างเพราะเมื่อเขามองสำรวจรอบตัวดีๆ อีกครั้ง ตอนนี้ปรากฏเป็นป่ารกทึบราวกับเขาอยู่ใจกลางป่าใหญ่
วินสับสนหนักและพยายามรวบรวมสติ เขาจำได้ว่าเขาอยู่ในอาคารของรัฐบาลใจกลางเมืองหลวงที่เป็นที่ราบและเต็มไปด้วยตึกอาคาร มันไม่น่าจะตั้งอยู่ในป่าลึกแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกวาดสายตาออกไปไกลๆ เขาก็เห็นทั้งภูเขาและผืนป่ากว้างใหญ่สุดสายตาเท่าที่เขาจะมองไปถึง ตึกรามบ้านช่องหายไปหมดสิ้น
เมื่อเหลียวมองกลับไปยังอาคารที่เขาออกมา พบว่าทางที่เขาลอดออกมานั้นเป็นเพียงรอยแตกเล็กๆ ของกำแพงปูนที่เสื่อมสภาพและมีดินฝังกลบ
อาคารทั้งหลังผุพังเสียหายเหลือเพียงเศษซากที่พังทลายและคราบสนิม ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ ต้นไม้ เนินดินและกรวดทรายจนแทบมองไม่ออกว่าตรงหน้านี้คืออาคาร มันกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับธรรมชาติของป่าคล้ายกับผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแล้ว
“โว้ย รู้งี้ตั้งใจเรียนลูกเสือบ้างก็ดีนะเรา”
วินพยายามหาทางจุดไฟด้วยกิ่งไม้แห้งที่เขาหาได้ ไม้สองท่อนถูกนำมาปั่นๆ เข้าด้วยกัน แต่ทว่าเขาออกแรงจนเหงื่อท่วมตัวก็ไม่สามารถจุดไฟติดขึ้นมาได้เลย
วินนั่งก้มหน้าจ้องมองพื้นดิน ภายในใจเริ่มมีภาพอันเฉื่อยชาของตนเองลอยเข้ามา ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเกาะกุมหัวใจเขา เขาน่าจะตั้งใจเรียนน่าจะตั้งใจเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ ให้พวกเขาภูมิใจเหมือนครอบครัวคนอื่นเขาบ้าง
รสชาติโจ๊กเย็นชืดมื้อสุดท้ายจากฝีมือแม่เริ่มปรากฏชัดขึ้นมา เขาไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาทานมันในขณะที่ยังอุ่นๆ ร้อนๆ มันจะเอร็ดอร่อยขนาดไหน
จากนี้เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อไร้ที่พึ่งพา เขามันห่วยแตกเกินไปจริงๆ
เป็นกำลังใจให้วินกันด้วยนะขอรับ
เขาจะค่อยๆ เติบโต
♥