โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

เรื่องใหม่ คุณแม่ต้องรู้ เพิ่มวันลาคลอด- ปรับเกณฑ์น้ำหนัก

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 18 ก.ค. เวลา 01.58 น. • เผยแพร่ 18 ก.ค. เวลา 09.23 น.

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ (ร่าง)พ.ร..บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภาต่อไป โดยให้ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ขยายจากเดิม 98 วัน เป็น 120 วัน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร 60 วัน และให้ลูกจ้างหญิงสามารถลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีก 15 วัน ในกรณีที่บุตรมีภาวะเจ็บป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการ โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลา 50 %

รวมทั้ง ให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร ได้เป็นระยะเวลา 15 วัน โดยใช้สิทธิก่อนหรือในวันที่ลาภายใน 90 วันนับแต่วันที่คลอดบุตร โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างที่ลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร 100 % ตลอดระยะเวลาที่ลา

นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามสิทธิประโยชน์ที่พี่น้องแรงงานได้รับนั้น สอดคล้องกับนโยบายที่ได้ประกาศไว้ว่า จะคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม โดยกระทรวงแรงงานจะดำเนินการดูแลพี่น้องแรงงานทุกกลุ่ม จะผลักดันกฎหมายแรงงานใหม่ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ กว่า 21 ล้านคน

เพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ นำไปสู่การบังคับใช้โดยเร็ว เนื่องด้วยปัจจุบันมีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะต้องดูแลแรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมศึกษารูปแบบการทำงานใหม่ เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบประกันสังคมให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

"สิทธิเรื่องการลาคลอด เป็นสิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายต่างเรียกร้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร ผมยืนยันที่จะเดินหน้าผลักดันให้ภาคแรงงานไทยมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้แรงงานมีผลิตภาพสูง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และให้ กระทรวงแรงงาน เป็นโอกาสของแรงงานไทย ” นายพงศ์กวิน กล่าว

สิทธิประกันสังคมคลอด-สงเคราะห์บุตร

สำหรับสิทธิประกันสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฝากครรภ์ คลอดบัตรและสงเคราะห์บุตร ประกอบด้วย

ค่าคลอดบุตร

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ

  • จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร
  • จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 15,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง สำหรับผู้ประกันตนหญิงมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วันสำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน
  • กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง

ค่าตรวจและรับฝากครรภ์

เท่าที่จ่ายจริง จำนวน 5 ครั้ง ไม่เกิน 1,500 บาท ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด (มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 64) ดังนี้

- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท

- อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง

ไม่เกิน 300 บาท

- อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง

ไม่เกิน 300 บาท

- อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง

ไม่เกิน 200 บาท

- อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 200 บาท

สงเคราะห์บุตร

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ

  • ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39
  • จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 1,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคน คราวละไม่เกิน 3 คน ( มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 )
  • ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
  • อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

การหมดสิทธิรับเงินกรณีสงเคราะห์บุตร

  • เมื่อบุตรมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
  • บุตรเสียชีวิต
  • ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น
  • ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ปรับมาตรฐานน้ำหนักขณะตั้งครรภ์

ขณะที่พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การที่หญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มมากหรือน้อยเกินไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และภาวะสุขภาพของเด็กในครรภ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด การเสียชีวิตของแม่และเด็ก ภาวะเด็กแรกเกิดน้ำหนักน้อย หรือ ตัวโตผิดปกติ รวมทั้งความเสี่ยงต่อโรค NCDs ในอนาคต

กรมอนามัยจึงพัฒนาและจัดทำมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และหญิงตั้งครรภ์ ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอดของหญิงตั้งครรภ์และทารก

มาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบ กราฟการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ไทย(Vallop curve2) โดยแบ่งเป็น 4 ภาวะโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งใช้เกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ ได้แก่ ผอม น้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน และอ้วน

“จะเป็นเครื่องมือของบุคลากรทางการแพทย์ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ได้ครอบคลุมทุกคน และช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ทราบถึงแนวทางการกินอาหารและการดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม เพื่อส่งผลให้ทารกมีการเจริญเติบโตสมบูรณ์ แข็งแรง และมีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 2,500 กรัม”พญ.อัมพรกล่าว

ทั้งนี้ กรมอนามัย จะนำมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ไปใช้ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ให้สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ และจะบรรจุมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ในรูปแบบกราฟการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ (Vallop curve2) ลงสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (สมุดสีชมพู) ปี พ.ศ. 2568 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้กับบุคลากรทางแพทย์ทุกระดับ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ไทยทุกคน สามารถติดตามการติดตามการเพิ่มน้ำหนักของตนเองได้อย่างเหมาะสมต่อไป

นพ.ปองพล วรปาณิ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมว่า การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งมารดาและทารก การควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมตลอดการตั้งครรภ์ มีความจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน อาทิ โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง และการคลอดก่อนกำหนด

“ข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2565 (MICs 7) พบว่า ประเทศไทยยังมีอัตราภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการควบคุมน้ำหนักที่ไม่เหมาะสม”นพ.ปองพลกล่าว

ในการแก้ไขปัญหานี้ กรมอนามัย ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการและคณะทำงานกำหนดมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย จึงได้พัฒนามาตรฐานการเพิ่มน้ำหนัก ขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย ที่เหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ไทยในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นแนวทางระดับประเทศ
โดยอ้างอิงดัชนีมวลกายของหญิงไทย ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์สามารถควบคุมน้ำหนักได้เหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และเป็นเครื่องมือให้บุคลากรสาธารณสุขติดตาม และให้คำแนะนำด้านสุขภาพแม่และเด็กได้อย่างใกล้ชิด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...