โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘พิชัย’ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ อัดแพ็กเกจเยียวยา ‘ซอฟต์โลน-อุดหนุนเงิน-คืนภาษี’

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 16 ก.ค. เวลา 04.31 น. • เผยแพร่ 16 ก.ค. เวลา 00.35 น.
พิชัย ชุณหวชิร

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯเร่งดันแผนรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจรับมือภาษีทรัมป์ ปรับแผนพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ แก้โจทย์สหรัฐบีบเพิ่ม Local content เผยผลกระทบหนักอยู่ที่ “เอสเอ็มอี-ภาคเกษตร” คลังเตรียมแพ็กเกจใหญ่ทั้งซอฟต์โลน-เงินอุดหนุน 2 แสนล้าน หนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ เร่งถก กกร.ออกแบบโมเดลเยียวยาทั้งรูปแบบ “เงินอุดหนุน-คืนภาษี” ยอมรับปัญหาทรัมป์เป็น “ยาขม” ไม่มีอะไรได้ 100% หนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ เอกชนเร่งยื่นข้อเสนอแนวทางช่วยเหลือ-อุตฯเหล็กร้องขอมาตรการตอบโต้สกัดสินค้าทุ่มตลาด กลุ่มอาหารชง 7 มาตรการพร้อมนโยบายลดดอกเบี้ย-ดูแลค่าเงิน

100 วันยังไม่จบ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานงาน The Art of The (Re) Deal ว่าการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐใช้เวลาในการเจรจามากว่า 100 วันแล้ว ตั้งแต่ 2 เม.ย. 68 และจะครบเส้นตายอีกครั้งในวันที่ 1 ส.ค. 68 นี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร

ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 58-60% โดยการส่งออกไปสหรัฐคิดเป็น 18% ดังนั้น ในหลักการคือต้องเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี และต้องดูเงื่อนไขว่าอะไรจะกระทบกับประเทศที่ 3 และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitics ต้องดูว่ามีการเจรจาที่ไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน

ดังนั้น การต่อต้านไม่ใช่ทางออก ไทยจำเป็นต้องเจรจา ซึ่งรวมถึงการลงนามในข้อตกลง Nondisclosure Agreement เปิดเผยข้อมูลบางส่วนไม่ได้ แต่ในหลักการนั้นพิจารณาประกอบกับเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อคู่ค้าอื่น ๆ และความสัมพันธ์ในภูมิภาค โดยยืนยันในการเจรจา คือต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน รักษาสมดุล และผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็ต้องทำให้ได้โดยยึดประโยชน์ร่วมกัน

เปิดหลักเกณฑ์เจรจา

นายพิชัยกล่าวว่า แนวการเจรจาภาษีกับสหรัฐยึดอยู่บนหลักเกณฑ์ 1.ไทยต้องเปิดตลาดให้กว้างขึ้นในสินค้าที่สหรัฐอยากขาย และเราอยากซื้อ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐ ปัจจุบันได้รับสิทธิภาษี 0% อยู่แล้ว แต่ยังมีบางรายการที่ไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ หรือผลิตไม่เพียงพอ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติม

พร้อมกันนี้ไทยได้เสนอเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐ จากเดิมประมาณ 63-64% ของมูลค่าสินค้าสหรัฐที่เข้าไทย จะขยายเป็น 69% โดยเพิ่มสินค้าบางประเภทที่ไม่เคยเปิดตลาดมาก่อน เช่น ลำไย และปลานิล ตามที่สหรัฐร้องขอ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ในไทยราคาถูกมาก จึงไม่น่าจะกระทบกับภาคการผลิตในประเทศมากนัก

ขณะเดียวกัน ไทยยังคงรักษามาตรการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญ โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ยังจำเป็นต้องได้รับการดูแล เช่นเดียวกับภาคยานยนต์ที่แม้จะมีการพูดถึงการเปิดตลาด แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจในทันที โดยเฉพาะสินค้ารถยนต์พวงมาลัยซ้าย ซึ่งสหรัฐมีตลาดใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลก และอาจไม่ได้เข้ามาขายในไทยอย่างจริงจัง

บีบเพิ่ม Local Content

2.ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐมากขึ้น เพราะสหรัฐต้องการส่งออกมากขึ้น และสร้างฐานผลิตในสหรัฐให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น นำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมาแปรรูปเป็นอาหาร รวมถึงสหรัฐมีแหล่งพลังงานสำรองจำนวนมาก ไทยสามารถพิจารณาการซื้อพลังงานจากสหรัฐ และกำลังพิจารณาว่าเราสามารถไปลงทุนภาคพลังงานที่สหรัฐได้ด้วยหรือไม่

3.การให้ความสำคัญกับการป้องกันสวมสิทธิสินค้า โดยข้อเสนอของสหรัฐต้องการให้เพิ่มการใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบผลิตในประเทศไทย (Local Content) ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสหรัฐจะกำหนดสัดส่วนเท่าไร แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง 60-80% จากที่ไทยกำหนดไว้ 40% ซึ่งหากมีการปรับเกณฑ์นี้อาจไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศเวียดนามมากนัก

“เพราะเวียดนามใช้ Local Content น้อยมาก ซึ่งหมายความว่าเป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิมาก จึงเจอภาษีของสินค้าที่ผ่านมาทางสูงถึง 40% ขณะที่ไทยมีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นในการผลิต และทำให้ซัพพลายเชนที่เป็น Local Content สูงขึ้น” นายพิชัยกล่าว

เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

นายพิชัยกล่าวว่า ข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้ไทยปรับตัวโดยเฉพาะ ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ต้องเร่งปรับสมดุลดีมานด์ซัพพลาย พัฒนาพันธุ์พืช วิธีการเพาะปลูก และรับมือกับภัยแล้ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเรื่องการเพิ่ม Local Content ลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง เปิดตลาดใหม่ให้หลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น

ขณะที่ภาคท่องเที่ยวจะต้องปฏิรูปให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ รองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในปีนี้ที่นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมาก และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ต้องเร่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วนของการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

นายพิชัยกล่าวว่า ครั้งนี้ประเทศไทยจะต้องปรับตัว จากการพึ่งพาผู้อื่นแล้วส่งออก จะต้องเป็นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น บริหารและพึ่งพาตัวเอง ใช้สิ่งที่มีอยู่ในประเทศไทย ทรัพยากรที่มีอยู่ ในการที่จะเป็นผู้ผลิตแล้วส่งออก จะต้องเปลี่ยนวิธีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง

“ข้อเสนอต่าง ๆ การเสนอไปแล้วจะผูกพันระยะยาว ซึ่งจะมีทั้งผลดีและผลไม่ดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเสนอต้องเป็น Win-Win Solution แม้ว่าทั้งทางสหรัฐอยากเห็น Win ด้านเดียว แต่นี่คือวิธีคิดของเราที่จะประคองให้ได้”

โมเดลเยียวยา 2 แสนล้าน

รองนายกฯกล่าวว่า รัฐบาลตั้งโจทย์ว่าการเจรจาไม่ว่าจะจบอย่างไร ถือว่าทั่วโลกมีปัญหาหมด เพียงแต่ปัญหามากหรือน้อยต่างกัน ดังนั้น นอกจากแนวทางเปลี่ยนผ่านและข้อเสนอแล้ว รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการเยียวยาชึ่งทําได้ 2-3 วิธี ที่ดีที่สุดคือให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบแจ้งมา คลังจึงมีการทํางานกับสภาอุตสาหกรรม ให้แต่ละเซ็กเตอร์มีปัญหาอะไร แก้อย่างไรเสนอมา

มาตรการเยียวยาต่าง ๆ รัฐบาลก็ได้เตรียมการมาระดับหนึ่ง จากข้อมูลและการศึกษากลุ่มที่เจอปัญหาและต้องได้รับการดูแลมากอยู่ที่เอสเอ็มอีขนาดเล็ก รวมทั้งภาคเกษตรที่ต้องระวัง ดังนั้น การเยียวยาจะต้องเจาะให้ถูกจุด ผู้ที่ดูแลมีทั้งธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ แต่ภาคเกษตรกรส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารภาครัฐ มาตรการที่เตรียมเงินไว้ซอฟต์โลนประมาณ 200,000 ล้านบาท คือดอกเบี้ย 0.01% เพื่อจะส่งผ่านไปให้ผู้ประกอบการ

“สถาบันการเงินที่ไปช่วยเหลือต้องเข้าใจลูกค้าด้วย ว่าช่วยในเรื่องอะไร ช่วยสภาพคล่อง ช่วยกันลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนผ่าน หรือช่วยในการที่จะแบกรับสินค้าคงเหลือในช่วงที่เป็นสุญญากาศ เป็นต้น”

ส่วนกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ขึ้นมา แบงก์พาณิชย์ก็มีการคุยกันแล้ว ก็ขอให้เก็บข้อมูลทั้งหมดว่าต้องการมาตรการอะไร หากเกินความสามารถก็เสนอมาได้ เพื่อจะแก้ไขให้ได้ครบในสิ่งที่ต้องการ

พิชัยดีใจที่เริ่มเจรจาช้า

นายพิชัยกล่าวว่า กรณีเห็นดีลของเวียดนาม 20-40% แล้วก็ตกใจทําไมสูงขนาดนั้น ก็คิดว่าน่าจะเป็นเบนช์มาร์กของหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่อยู่ในภูมิภาคนี้ แต่ประเทศที่จบไปก็ยังงง ๆ ว่าภาษี 40% ใช้กับเงื่อนไขอะไร อะไรเรียกว่าโลคอลคอนเทนต์ แบบไหนเรียกว่าสินค้าผ่านทาง กำหนดสัดส่วนโลคอลคอนเทนต์เท่าไหร่

อย่างไรก็ดี ไทยเพิ่งเปิดตลาดการลงทุนสําหรับเทคโนโลยีใหม่ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเก่า ซึ่งโลคอลคอนเทนต์ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นก็มีความโชคดีอยู่ในเรื่องเหล่านี้

“เมื่อเกิดเหตุใหม่ ใคร ๆ ก็อยากจะเร่งเจรจา ผมก็อยากเร่งเจรจา แต่พอมาวันนี้ก็ดีใจที่ช้าไปหน่อยนึง เพราะได้เห็นคนอื่น ได้เห็นวิธีคิด เห็นการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลาดเงิน ตลาดทุน และมาตรการภาษีที่ออกมา ขณะที่ได้เริ่มเห็นข้อมูลคนอื่นก็กลายเป็นผลดี ทำให้สามารถมานั่งคิดได้ว่าน่าจะออกทางไหน” รมว.คลังกล่าว

“ยาขม” ไม่มีอะไรได้ 100%

นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ เงื่อนไขหลาย ๆ อย่างที่เจรจาทำข้อตกลงก็คงต้องเข้าสภา และการที่ทําให้สาธารณชนได้รับรู้และเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ

“เรื่องนี้เป็นยาขม เพราะฉะนั้นจะต้องทําความเข้าใจแล้วก็เดินไปในทิศทางเดียวกัน เข้าใจแล้วตัดสินใจโดยยึดถือประเทศเป็นหลัก แต่ไม่มีอะไรได้ 100% การจะได้อะไรมาบางอย่างอาจจะต้องสูญเสียไปบ้าง คงไม่มีอะไรได้หมด”

แก้โจทย์ดึงลงทุนกระตุก GDP

นอกจากนี้ โจทย์ที่สําคัญคือต้องดึงการลงทุนให้ได้ถึงแม้จะมีปัญหาภาษี เพราะการลงทุนเป็นส่วนสําคัญในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถ้าการลงทุนต่ำจีดีพีดึงไม่ขึ้น เพราะภาคการเกษตรวันนี้ยังไม่สามารถจะ Perform ได้ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าหลาย ๆ เรื่องที่ต้องทําเพื่อดึงดูดการลงทุน และสิ่งแรกที่ต้องทําให้ดีขึ้น คือเรื่องความพร้อมของอินฟราสตรักเจอร์ น้ำ ไฟฟ้า นักลงทุนต่างชาติถามเรื่องน้ำพร้อมมั้ย หรือไฟฟ้าที่มีพร้อม แต่ราคาต้องใช่ด้วย

รัฐบาลให้ความสําคัญเรื่องนี้ ดังนั้น ปีนี้จึงมีการปรับการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 100,000 กว่าล้าน มาลงทุนในเรื่องระบบน้ำ เป็นโครงการระยะสั้น เพื่อไปเชื่อมต่อโครงการระยะกลาง ระยะยาว เพื่อจะทําให้โครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนมากขึ้น

รองนายกฯกล่าวว่า อีกเรื่องที่สําคัญก็คือ เมื่อรู้แล้วว่าตลาดสหรัฐอเมริกามีเงื่อนไขเรื่อง Supply Chain-Local Content โดยเมื่อก่อนบริษัทอเมริกามาลงทุนผลิตแล้วส่งออกกลับไป แต่วันนี้เราต้องพยายามที่จะบอกว่าให้มาสร้าง Supply Chain ในเมืองไทย เพื่อเป็นการเพิ่ม Local Content จากที่ผ่านมา มาจากประเทศจีนเป็นหลัก เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องทํา จึงต้องมีการผลักดันและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ

คลังเตรียมแพ็กเกจใหญ่

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้มีการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ไว้ โดยวางกรอบไว้เป็นแพ็กเกจใหญ่ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ 1.ซอฟต์โลน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยในการปรับตัว และ 2.การอุดหนุนจากรัฐ (Subsidy) เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งส่วนนี้เป็นไปได้ทั้งมาตรการคืนภาษี หรือการให้เงินช่วยเหลือ หรืออื่น ๆ ทั้งนี้ จะทำเป็นเฟส เช่นเฟสละ 20,000 ล้านบาท เป็นต้น โดยประเมินตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

“จังหวะนี้อาจไม่ใช่จังหวะที่จะปรับตัว เพราะคงไม่ทันแล้ว เนื่องจากผู้ประกอบการก็มีการผลิต ส่งออกแล้ว ดังนั้น ก็ต้องเป็นในส่วนของการเยียวยาผลกระทบ ซึ่งกรณีเป็นเงินเยียวยาก็ต้องดูผลศึกษาจากทางเอกชน (กกร.) ว่าสัดส่วนการช่วยเหลือจะเป็นเท่าไหร่ โดยกระทรวงการคลังอยู่ในช่วงออกแบบนโยบายร่วมกับเอกชน เพื่อให้ตรงกับความต้องการ หรือตรงจุดที่สุด โดยต้องดูด้วยว่าผลกระทบจริง ๆ จะออกมาเท่าไหร่”

สำหรับวงเงินซอฟต์โลน 2 แสนล้านบาทที่ตั้งไว้ เป็นการตั้งไว้รองรับกรณีเลวร้ายสุด คือไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% แต่หากสุดท้ายเจรจาแล้วภาษีลดลงมา ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินทั้งหมด

ภาษีทรัมป์ฉุดส่งออกหาย 50%

นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และฐานะรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลงทุนในประเทศไทย มีทั้งผู้ประกอบการไทยและสหรัฐ โดยสินค้ากลุ่มนี้ส่งออกไปตลาดสหรัฐต่อปีเฉลี่ยกว่าแสนล้านบาท

หากผู้ส่งออกเจออัตราภาษีที่ 36% มองว่าการทำธุรกิจจะลำบากขึ้น โดยในขณะที่ภาครัฐยังคงอยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง ก็ประเมินว่าหากไทยต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า 36% เชื่อว่าการส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐจะหายไปประมาณ 50%

โดยสิ่งที่ทางกลุ่มได้เสนอกับทีมไทยแลนด์ เช่น การหาช่องทางตลาดใหม่ ๆ ในการบุกตลาดส่งออก การออกมาตรการ และบังคับใช้กฎหมายในสินค้าที่ด้อยคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น

สำหรับกรณีรัฐบาลเตรียมซอฟต์โลน 2 แสนล้านบาท เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสภาพคล่องและมีเงินทุนหมุนเวียนในการยกระดับและพัฒนาการผลิตสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ ก็อยากให้มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น อาจจะชำระคืนเฉพาะดอกเบี้ยในปีแรก และเริ่มคืนเงินต้นในปีที่สองและสาม และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยค้ำประกัน พร้อมกับลดค่าธรรมเนียม

สิ่งทอเสนอใช้ฝ้ายจากอเมริกา

นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยกล่าวว่า สมาคมได้จัดทำข้อเสนอในการพิจารณาเจรจาต่อรองด้านภาษีกับสหรัฐ โดยทางสมาคมเห็นด้วยกับการที่ไทยเร่งเจรจาให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าของไทยลดลง และเปิดโอกาสให้นำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ แทนการนำเข้าวัตถุดิบจากเพื่อนบ้านให้มากขึ้นถึง 80% ส่งเสริมให้ใช้ฝ้ายจากสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์สหรัฐอเมริกา

อีกทั้งให้มีการลดอัตราภาษีที่ถูกปรับขึ้นให้น้อยลง หรือยกเว้นไม่ขึ้นภาษีในหมวดบางหมวดสินค้า เช่น สินค้าที่มีนวัตกรรมเพื่อกระตุ้นการส่งออกสินค้า ผลิตภายใต้มาตรฐานความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ผลิตภายใต้การรับรองมาตรฐานการจ้างงาน

ส่วนมาตรการที่ไม่ใช่ทางภาษี อำนวยความสะดวกในทางการค้า ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้าที่ท่าเรือ เพื่อลดต้นทุนและความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้า

อุตฯอาหารชง 7 มาตรการ

นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (TFPA) เปิดเผยว่า สมาคมได้หารือกับสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย (TFA) เพื่อสรุปมาตรการเสนอภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือและเยียวยา โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น สับปะรดกระป๋อง ข้าวโพดหวานกระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง ปลาทูน่าและอาหารทะเลกระป๋อง เครื่องปรุงรสและอาหารพร้อมรับประทาน

มาตรการเร่งด่วนที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมี 7 เรื่อง ได้แก่ 1.รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 2.หนุนเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน 3.พิจารณาภาษีนำเข้าสหรัฐอย่างมีเงื่อนไข 4.ขยายตลาดใหม่ ลดพึ่งพาอเมริกา 5.เร่งเจรจา FTA ใหม่ 6.สร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยในระดับโลก 7.จัดทำข้อมูล Local Content เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ

“มาตรการด้านการเงินเป็นสิ่งที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้ผลิตภายในประเทศ ค่าเงินบาทก็เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดโลก ไม่ต้องการให้ผันผวนและให้มีเสถียรภาพ”

ส่วนการเจรจาต่อรองเพื่อลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าของไทยที่ไปตลาดสหรัฐ ยังคาดหวังให้ทีมไทยแลนด์เจรจาให้อัตราภาษีของสินค้าไทย เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือน้อยกว่า และแม้ว่าจะอยู่ในอัตราเดียวกัน หากเทียบเรื่องของต้นทุน บางประเทศยังได้เปรียบกว่าประเทศไทย

เหล็กขอมาตรการโต้ทุ่มตลาด

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีความกังวลว่าการขึ้นภาษีของทรัมป์จะยิ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะสินค้าเหล็กที่เคยทะลักเข้ามาสู่อาเซียนและไทย หลังจากสหรัฐและยุโรปตั้งกำแพงภาษี ดังนั้น จึงขอให้รัฐเร่งใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) มาตรการปกป้องการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure : SG) มาใช้สกัดสินค้าทุกประเภทที่จะทะลักเข้าไทยโดยเร็วที่สุด

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมกล่าวว่า ไทยยังคงมีสถานะเป็นผู้รับจ้างการผลิต (OEM) และไม่มีสินค้านวัตกรรมที่เป็นของตนเอง สิ่งที่เสนอต่อภาครัฐเพื่อนำไปเจรจากับสหรัฐ คือชิ้นส่วนพวกชิปที่ผลิตในไทย แต่เป็นสัญชาติอเมริกัน หรือสินค้าเกษตรที่เป็นของไทยแท้ ๆ มี Local Content เกิน 50% รัฐต้องต่อรองภาษีให้เหลือ 20-25% เป็นอัตราที่ยังพอรับได้ และสินค้าที่เป็นทางผ่านให้เจรจาเป็น 40% เหมือนเวียดนาม เพราะเป้าหมายของทรัมป์บีบไทยตรงนี้ ดังนั้น ควรแสดงให้เห็นว่ายอมให้เก็บภาษีสูงในส่วนสินค้าสวมสิทธิสินค้าทางผ่านได้

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘พิชัย’ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ อัดแพ็กเกจเยียวยา ‘ซอฟต์โลน-อุดหนุนเงิน-คืนภาษี’

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...