โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

"China+1" ยุทธศาสตร์หนุนเวียดนามรุ่งโรจน์ แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

PostToday

อัพเดต 10 ก.ค. เวลา 23.01 น. • เผยแพร่ 11 ก.ค. เวลา 05.55 น.

สถานการณ์โลกสับสนอลหม่านอีกครั้ง เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาพร้อมนโยบายสงครามการค้าที่ไร้ทิศทาง

และดูเหมือนว่า"เวียดนาม" ผู้ผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ของโลก จะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในสมรภูมิการค้าครั้งนี้ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับบริษัทส่งออกทั่วโลกที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ

"China+1" กลยุทธ์ช่วยเวียดนามผงาด แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

ตามรายงานจากสำนักข่าว Bloomberg เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่บรรดาประเทศผู้ส่งออกทั่วโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน นับตั้งแต่ทรัมป์หวนคืนสู่สนามการเมืองพร้อมนโยบายการค้าที่คาดเดาได้ยาก

แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้ "เวียดนาม" กลับเป็นหนึ่งในชาติที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากเดิมที่เคยเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากยุทธศาสตร์"China+1" ของบริษัทข้ามชาติ

เวียดนาม เป็นชาติอาเซียนที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP พึ่งพาการค้าอย่างมาก

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้ช่วยให้ประชากรกว่า 100 ล้านคนจำนวนมากหลุดพ้นจากความยากจน

แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากความต้องการสินค้า "Made in Vietnam" จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากตลาดสหรัฐฯ

แรงงานฝีมือ ค่าแรงถูก จุดแข็งที่อาจกลายเป็นจุดอ่อน

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ทางการค้าที่เคยสดใสกำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว ดังที่สารคดีสั้นของ Bloomberg Originals ชี้ให้เห็นว่า

แรงงานทักษะสูงและค่าแรงถูกของเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นจุดแข็ง อาจกลายเป็นจุดอ่อนจากความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตจำนวนมากเริ่มกังวลกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน

จึงเริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอื่นในภูมิภาค ภายใต้แนวคิด "China+1"

ปัจจุบัน สินค้ากว่าครึ่งหนึ่งของ Nike ผลิตในเวียดนาม ขณะที่แบรนด์ดังอย่าง Lululemon, Gap รวมถึงซัพพลายเออร์รายใหญ่อย่าง Foxconn ต่างก็มีฐานการผลิตสำคัญในประเทศนี้

แต่สถานะอันหอมหวานของเวียดนามก็ต้องสะดุดลงอย่างกะทันหันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อทรัมป์ประกาศใช้มาตรการ "กำแพงภาษีต่างตอบแทน" (Reciprocal Tariffs)

โดยพุ่งเป้ามาที่เวียดนามด้วยอัตราภาษีสูงถึง 46% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่เรียกเก็บจากญี่ปุ่นและอินเดียเกือบเท่าตัว

แม้ว่าข้อตกลงล่าสุดระหว่างสองชาติที่เพิ่งบรรลุผลไปเมื่อเร็วๆ นี้ จะช่วยลดอัตราภาษีดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 20% แต่ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญ

นั่นคือ การเรียกเก็บภาษีในอัตรา 40% สำหรับสินค้าที่ถูกตัดสินว่าเป็นการ "สวมสิทธิ์" (Transshipment) ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเป้าสกัดกั้นกลยุทธ์ของบริษัทจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ภาคธุรกิจเวียดนามท่ามกลางความไม่แน่นอน

ท่ามกลางความผันผวนนี้ ภาคธุรกิจในเวียดนามกำลังตกอยู่ท่ามกลางสมรภูมิที่คาดเดายาก บรรยากาศที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าต่างชาติหวาดหวั่น

แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนธุรกิจในระยะยาว ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามคือ เวียดนามจะรับมือกับคลื่นลมแห่งสงครามการค้าครั้งใหม่นี้ได้อย่างไร และจะยังคงรักษาบทบาท "ดาวรุ่งดวงใหม่" ในเวทีการค้าโลกไว้ได้หรือไม่?

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...