โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

เปิดกลยุทธ์เศรษฐกิจไทย ขอเข้าทั้ง OECD-BRICS ไผ่ลู่ลมเป็นเพื่อนทุกฝ่าย

Amarin TV

เผยแพร่ 13 มิ.ย. เวลา 04.27 น.
ไทยยื่นขอเข้ากรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ OECD-BRICS และเร่งทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ยึดหลักไผ่ลู่ลม เป็นเพื่อนกับทุกฝ่าย

โลกที่กำลังผันผวนจากสงครามการค้าและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่การจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแบบนี้ ประเทศไทยต้องดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ “เชิงรุก” ซึ่งขณะนี้มี 3 กิจกรรมโดดเด่นที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทเศรษฐกิจไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก คือ การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป การเจรจาขอเข้าเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ OECD และ BRICS

SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับเอกอัครราชทูตและอุปทูตไทยที่ประจำการอยู่ 5 ประเทศทั่วโลก (ฝรั่งเศส เบลเยียม รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้) ถึงความคืบหน้า ความคาดหวัง และความท้าทายของกิจกรรมใหญ่ 3 อย่างนี้

เขตการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป

เพิ่ม FTA หรือข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศที่มีศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของประเทศไทย และ FTA หนึ่งที่ไทยมีความตั้งใจจะบรรลุก็คือ เขตการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป

ก่อนหน้านี้ ไทยร่วมกับอาเซียนเจรจาความตกลงการค้าเสรี ASEAN–EU เมื่อปี 2550 แต่เป็นอันต้องล้มแผนการไปภายใน 2 ปี และเริ่มการเจรจาไทย–EU ขึ้นใหม่ในปี 2556 ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา FTA กับสหภาพยุโรป โดยมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ขณะนี้เจรจาไปแล้ว 4 บทจากทั้งหมด 23 บท และเกิดการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรปและไทยไปแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ส่วนครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 23 มิถุนายนนี้

รัฐบาลไทยมีการตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานว่า มุ่งหวังจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ คุณกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ มองว่า สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการพิจารณา FTA ฉบับนี้

“ตอนนี้เป็นช่วงที่ EU ต้องการหาพันธมิตรประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ transatlantic ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปไม่เหมือนเดิมแล้ว […] ตอนนี้สหภาพยุโรปกำลังพยายามหาเพื่อนใหม่ อย่างในภูมิภาคเอเชียกลาง และเห็นความสำคัญของอาเซียนขึ้นเป็นอย่างมาก มีการเจรจาเขตการค้าเสรีอยู่กับประเทศอาเซียนถึง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และมี FTA อยู่แล้ว 2 ฉบับกับเวียดนามและสิงคโปร์”

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตประจำกรุงบรัสเซลส์ยังกล่าวว่า แม้สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง อาทิ การที่สหรัฐฯ จะลดการสนับสนุนด้านการเงินให้ NATO ปัญหาผู้อพยพ และกระแสความนิยมแนวคิดขวาจัด แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับไทย กลับกันอาจเป็นผลดีมากกว่า เพราะยุโรปกำลังเร่งหาเพื่อนใหม่

“ตั้งแต่คณะผู้บริหารใหม่ของสหภาพยุโรปเข้ามาเมื่อปีก่อน มีความคืบหน้า FTA หลายฉบับที่รอการอนุมัติมานาน อย่างเช่น FTA กับแอฟริกาใต้ และเม็กซิโก ที่ก่อนหน้าอยู่ในขั้นตอนรออนุมัติมานาน ขณะนี้ใกล้จะลุล่วงแล้ว และเริ่มการเจรจากับอาเซียนหลายประเทศ” กาญจนากล่าว แสดงถึงความกระตือรือร้นของสหภาพยุโรปในการหาเพื่อนใหม่ เป็นนิมิตหมายอันดีของประเทศไทย และหากถามว่าทำไมตอนนี้เวียดนามเป็นดาวรุ่งของประเทศตะวันตกในยุโรปมาก นั่นก็เพราะเขามี FTA ครบ 5 ปีแล้วที่ effective ซึ่งผลของ FTA ระหว่าง EU และเวียดนาม ทำให้การค้าเพิ่มขึ้น 40% และเรียกได้ว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ

ปัจจุบัน มีประเทศอาเซียนที่มีความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปแล้ว 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งความตกลงระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนามที่ดำเนินอย่างเป็นทางการมาครบ 5 ปีแล้วนี่เอง เป็นผลให้การค้าของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 40% คุณกาญจนากล่าวว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ และคาดว่าหากไทยได้มี FTA กับสหภาพยุโรปก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการค้าไทยเช่นเดียวกัน

OECD องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา

OECD หรือ Organisation for Economic Co-operation and Development คือองค์การเพื่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า มีประเทศสมาชิกถาวรทั้งหมด 38 ประเทศ โดยมากเป็นกลุ่มประเทศตะวันตกในยุโรปและอเมริกาเหนือ และมีประเทศในอเมริกาใต้อย่างชิลี เอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่น และออสเตรเลียอยู่ด้วย ทำให้ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีรายได้สูง

นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส กล่าวว่า การตัดสินใจขอเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดำเนินการมานานกว่า 2 รัฐบาลและ 3 นายกรัฐมนตรีทีเดียว

“การตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่สมัครเป็นสมาชิก OECD นั้นสำคัญมาก เพราะจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในระยะยาว เพราะจะช่วยยกระดับมาตรฐานของประเทศไทยให้เท่าเทียมกับประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว OECD […] ประเมินว่าจะช่วยเพิ่ม GDP 1.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กฎระเบียบการค้า การลงทุน ทันสมัยมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น เน้นการสร้างความโปร่งใส ความยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจไทย”

คุณศรัณย์เล่าถึงขั้นตอนการสมัครขอเป็นประเทศสมาชิก OECD คือ:

1. แสดงเจตจำนง และถูกเชิญ

ประเทศสมาชิก OECD เชิญไทยเข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก ขั้นตอนนี้ผ่านมาแล้วเมื่อกลางปี 2567 หลังไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเป็นสมาชิก ก็ได้รับการพิจารณาภายใน 4 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่รวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น โดยประเทศสมาชิกทั้งหมดเห็นชอบเปิดการหารือกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของไทย

ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นได้เพราะประเทศสมาชิก OECD เชื่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่านิยมสอดคล้องกับ OECD อาทิ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจเปิด สิทธิมนุษยชน เป็นต้น คุณศรัณย์กล่าวว่า เป็นขั้นตอนที่ทำให้หลายประเทศไม่สามารถเป็นสมาชิกของ OECD ได้ เนื่องจากมีค่านิยมต่างกัน

2. มีแผนรับเข้า และเอกสารแสดงความพร้อม

หลังประเทศไทยผ่านการพิจารณาขั้นตอนที่ 1 ได้มีการจัดทำเอกสาร Roadmap หรือแผนในการรับไทยเป็นสมาชิก OECD ได้เสนอ Roadmap มาเมื่อปลายปี 2567 และไทยต้องทำเอกสาร initial memorandum คือเอกสารแสดงความพร้อมของไทยเพื่อแสดงต่อ OECD

ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการศึกษากฎหมายและกฎระเบียบของไทย ว่าแต่ละภาคส่วนมีความพร้อมแค่ไหนที่จะปรับให้กฎหมายและกฎระเบียบของไทยสอดคล้องกับ OECD ขั้นตอนนี้ไทยมีความตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จภายในปลายปี 2568

3. เจรจา

มีการจัดตั้งคณะกรรมการให้ไทยเป็นสมาชิก OECD ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าคณะเจรจา คณะกรรมการมีการประชุมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และกำหนดว่าอยากให้ไทยเป็นสมาชิก OECD ภายในปี 2030

การเข้าเป็นสมาชิกของไทยนั้น ระยะเวลา 5 ปีถือว่าเป็นระยะเวลาที่เร็วมาก แต่จะทำได้ไหม ขึ้นอยู่กับว่าไทยสามารถเปลี่ยนกฎระเบียบให้สอดคล้องกับแนวทางของ OECD ได้หรือไม่

ความท้าทายในการเข้าเป็นสมาชิก OECD คือ ขอบเขตที่ OECD ประกาศให้ไทยเจรจานั้นมีมากถึง 26 คณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการการเกษตร การศึกษา หรือการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมและสถานะกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 26 ด้าน ซึ่งแน่นอนว่าความเร็วจะไม่เท่ากัน

BRICS กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเติบโตเร็ว

BRICS คือกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เป็นกลุ่มประเทศสมาชิกดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2567 BRICS มีประเทศสมาชิกเพิ่มหลังเปิดรับสมัครสมาชิกเมื่อปลายปี 2566 ประกอบด้วย อียิปต์ เอธิโอเปีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตอนนี้มีประเทศที่รอพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ไนจีเรีย โบลิเวีย และตุรกี ปัจจุบันไทยมีสถานะเป็นประเทศหุ้นส่วนของ BRICS ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คุณกุนทินี อักษรวงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย กล่าวถึงความสำคัญของกลุ่ม BRICS

“BRICS เป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาและมีเป้าหมายเหมือนกันคือ เป็น global south ซึ่งมี GDP ประมาณ ¼ ของโลก และมีประชากรถึง 40% ของโลก คือเป็นกลุ่มที่ใหญ่และมีทรัพยากร การเข้าร่วมกลุ่มพวกนี้คือการหาตลาดใหม่ หาเทคโนโลยีใหม่”

เอกอัครราชทูตประจำกรุงบราซิเลียเน้นย้ำถึงแนวคิดของบราซิลและ BRICS ที่เน้นเรื่อง สภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม การขจัดความยากจน และสาธารณสุข ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกับไทย ทำให้เป็นผลดีต่อการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก

“เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยเองก็มีแนวคิดเหมือนกัน หากเราเข้ากลุ่ม BRICS ได้ เราก็จะมีสิทธิในการออกนโยบายของโลกภายในกลุ่มนี้ เราจะได้เทคโนโลยี และเราจะได้ตลาด”

คุณศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก กล่าวว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS นั้นขึ้นอยู่กับฉันทามติร่วมของประเทศสมาชิก ดังนั้นจึงไม่มีเส้นตายที่ชัดเจน

“การรับสมาชิกใช้หลักฉันทามติของสมาชิกถาวร ไม่ได้มีเดดไลน์ชัดเจน ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนเรื่องสมาชิก แต่เจ้าภาพจะมีความเห็นมาก อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องเห็นทางเดียวกัน”

“ปีนี้บราซิลโฟกัสการสร้างความแข็งแกร่งให้ BRICS ก่อน น่าจะเปิดรับสมาชิกปีหน้า ไทยติดตามใกล้ชิด” คุณกุนทินีเสริม

การเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS รวมถึง OECD และ FTA กับสหภาพยุโรป ไม่ใช่เพียงกิจกรรมสวยหรู แต่เป็นการทำงานเพื่อปากท้องของประชาชน

“ทั้ง 3 กิจกรรมนี้ไม่ใช่แค่การเข้าไปร่วม Talk Shop คือแค่เข้าไปพูดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้ง 3 เรื่องนี้ล้วนเกี่ยวกับปากท้องของประชาชน เกี่ยวกับภาคเอกชนของเราโดยตรง”

คุณศศิวัฒน์กล่าวถึงความท้าทายอีกข้อของไทยต่อการเข้าเป็นสมาชิก BRICS คือ ความตระหนักรู้ของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน และประชาชน […]

“เราต้องทำให้ประชาชนรู้และเข้าใจว่า การที่เราเป็นสมาชิก BRICS เป็นประโยชน์กับเขาอย่างไร วิธีการไม่ใช่แค่การเข้าร่วมการประชุม ซึ่งมีมากมาย แต่เราต้องเรียงลำดับความสำคัญ ว่าประเด็นความร่วมมือใดที่เราอยากได้ประโยชน์จาก BRICS มากที่สุด อย่างความร่วมมือด้านการเงิน” คุณศศิวัฒน์กล่าว และเน้นย้ำว่าประเด็นนี้ไม่ใช่การปฏิเสธเงินดอลลาร์ แต่เป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินการค้าระหว่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น”

“หากเราจะใช้ประโยชน์จาก BRICS เราต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และเป็นรูปธรรม” คุณศศิวัฒน์ย้ำ

เป็นกลาง เป็นเพื่อนกับทุกคน จุดขายการทูตไทยในเวทีโลก

ปัจจุบันไม่มีประเทศสมาชิก BRICS ประเทศใดเป็นประเทศสมาชิก OECD ด้วยความต่างด้านระยะทาง และอาจด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ไทยจึงมองว่า หากสามารถเป็นสมาชิกของทั้ง 2 กรอบความร่วมมือ ไทยอาจทำหน้าที่เป็น bridge builder หรือตัวเชื่อมระหว่าง 2 กลุ่มได้ ทั้งเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศยังยืนยันว่า การยื่นเข้าเป็นสมาชิก 2 องค์กรพร้อมกันไม่ได้ส่งผลต่อภาพลักษณ์หรือการพิจารณารับเข้า

“ทั้ง OECD และ BRICS เขาเคารพประเทศไทย เขามองว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะบริหารจัดการท่าทีได้ ไม่มีใครตั้งแง่ว่าทำไมไทยมาสมัคร BRICS มันเป็นคนละองค์กรกัน ดังนั้นเป็นสิทธิของประเทศไทยที่จะเลือก” คุณศศิวัฒน์ เอกอัครราชทูตประจำกรุงมอสโกเล่าถึงประสบการณ์การทำงาน กล่าวว่าไม่เคยมีทูตจากประเทศตะวันตกตั้งคำถามกับการยื่นเป็นสมาชิกทั้ง 2 องค์กรของไทย ซึ่งตรงกับประสบการณ์ของคุณศรัณย์ เอกอัครราชทูตประจำกรุงปารีส ที่กล่าวว่าประเทศสมาชิก OECD ไม่ได้แคลงใจกับการที่ไทยยื่นขอเข้าเป็นสมาชิก BRICS ในเวลาไล่เลี่ยกัน

กลับกัน แนวทางทางการทูตของไทยที่ “เป็นเพื่อนกับทุกคน” หรือที่ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศใช้ว่า “ไผ่ลู่ลม” อาจเป็นผลบวกต่อการยื่นเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ คุณไพสิฐ บุญปาลิต อุปทูต ณ กรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ขยายความ

“ตอนนี้เป็นสถานการณ์โลกที่เราต้องหาเพื่อนใหม่ๆ หาโอกาสใหม่ๆ เป็นเรื่องน่ายินดีที่โดยมากไทยเป็นที่ยอมรับอย่างดี และเป็นการแสดงออกว่าเราคบได้ ไม่ว่าจะเป็นโลกตะวันตก หรือตะวันออกบางส่วน และโลกที่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากตะวันตกเสียเท่าไหร่ เราก็เป็นเพื่อนกับเขาได้หมด”

คุณกุนทินี เอกอัครราชทูตประจำกรุงบราซิเลียกล่าวถึงบทบาทไทยในการเป็นตัวเชื่อม 2 กรอบความร่วมมือ

“การเป็น bridge builder ไทยน่าจะอยู่ในสถานะที่ดี เนื่องจากไม่มีสมาชิก BRICS เป็นสมาชิก OECD”

คุณกุนทินีกล่าวว่า ไทยและอาเซียนมีความเหมาะสมด้านระยะทางในการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง 2 กรอบความร่วมมือนี้ได้ ชี้ว่าไทยอาจเป็นประตูการค้าให้อาเซียนหรือเอเชียได้ นอกจากประเทศไทย ขณะนี้มีอินโดนีเซียที่รอพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก OECD เช่นกัน และเป็นประเทศสมาชิกถาวร BRICS อยู่แล้ว

โดยสรุป ไทยกำลังดำเนินการการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ด้วยการหาเพื่อนใหม่ ยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ มีข้อได้เปรียบคือภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร และการเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ แต่ยังมีความท้าทายคือ การยื่นเข้าเป็นสมาชิกส่วนใหญ่อาศัยฉันทามติ และการพิจารณาความคิดอ่านที่เหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกเห็นควร และความพร้อมด้านกฎหมายและหน่วยงานของไทย ว่ามีความตื่นตัวเพียงใด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...