โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

SCB EIC ส่งออกทูน่ากระป๋องไทยปีนี้คาดโต 4% แม้เจอภาษีทรัมป์ ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ กักตุนสินค้าก่อนครบกำหนดเส้นตาย

BTimes

อัพเดต 07 ก.ค. เวลา 14.20 น. • เผยแพร่ 07 ก.ค. เวลา 07.20 น. • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Biz

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) ที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทย ขยายตัวได้ 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 6.5% YOY ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย เพื่อกักตุนสินค้าก่อนครบกำหนดเส้นตายปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบในวันที่ 8 ก.ค. 68 จากที่ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้ชะลอการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วัน

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังหลายประเทศ ในกลุ่มตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (MENA) ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ภายในภูมิภาค ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น

คาดส่งออกทูน่ากระป๋องปีนี้ โต 4% แม้จะโดนภาษีสหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มการส่งออกทูน่ากระป๋อง ในช่วงที่เหลือของปีนี้ SCB EIC คาดว่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อาจจะชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปี หลังการบังคับใช้ภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปี 68 เติบโตได้ที่ราว 4%YOY

ทั้งนี้คาดว่าการส่งออก จะยังได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคอาหารประเภทโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่มีราคาที่จับต้องได้ ท่ามกลางกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว จะมีส่วนช่วยให้หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง มีความต้องการกักตุนสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นาน เช่น ทูน่ากระป๋อง เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ขณะที่ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในระยะต่อไป คือการแข่งขันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญอย่างเอกวาดอร์ และจีน ทั้งนี้ กำแพงภาษีที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีทรัมป์ จะทำให้คู่แข่งหลักของไทยในตลาดสหรัฐฯ อย่างเอกวาดอร์ มีแต้มต่อที่ดีขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มโดนเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่ต่ำกว่าไทย

ปัจจัยดังกล่าว อาจมีผลให้คู่ค้าบางส่วน หันไปนำเข้าทูน่ากระป๋องจากเอกวาดอร์เพิ่มขึ้นแทน ขณะที่คู่แข่งอีกรายที่จะมองข้ามไม่ได้ คือจีน ซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน

ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผู้ประกอบการไทย จะต้องเร่งยกระดับมาตรฐาน และประสิทธิภาพการผลิต วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาพร้อม ๆ ไปกับขยายการส่งออกไปยังตลาดผู้บริโภคที่มีศักยภาพ เช่น ภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ยังต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง และการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG

ทั้งนี้ ยังรวมถึงความท้าทายจากการปรับโมเดลธุรกิจ และกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์รักสุขภาพ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...